เปรียบเทียบหลักเชื่อมั่นของ“อะฮฺลุซซุนนะฮฺ”กับกลุ่มอื่น
  จำนวนคนเข้าชม  5869

مقارنة بين عقيدة أهل السننة وعقيدة غيرهم في أهل البيت

การเปรียบเทียบหลักเชื่อมั่นของ “อะฮฺลุซซุนนะฮฺ” กับกลุ่มอื่นๆ เกี่ยวกับอะฮฺลุ้ลบัยติ

 

          จากที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า หลักการเชื่อมั่นของ “อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” เกี่ยวกับวงศ์วานของท่านนบี  เป็นการเดินตามสายกลาง ไม่เลยเถิด และไม่บกพร่องหย่อนยาน ไม่ยกย่องบุคคลเกินเลยฐานะ ไม่ทำตัวหมางเมิน กระด้างกระเดื่อง พวกเขารักและเคารพวงศ์วานของท่านนบีทุกท่าน เป็นมิตรกับบรรดาท่านเหล่านั้น ไม่หมางเมินและมิได้ยกย่องผู้ใดโดยเฉพาะ จนเกินฐานะความเป็นจริง

          “อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” จะรักและเคารพบรรดาซอฮาบะฮฺทุกท่าน โดยมิได้ยกเว้นผู้ใดทั้งสิ้น และถือว่าท่านเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรที่ดี

          “อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” รวมเอาความรักในซอฮาบะฮฺ และความรักในวงศ์วานไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน กรณีนี้จึงแตกต่างกันกับพวกที่มิใช่“อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ” อันได้แก่พวก “อัลอะฮฺว๊าอฺ” (พวกที่ยึดถืออารมณ์เป็นพระเจ้า) ที่ยกย่องให้เกียรติบุคคลในวงศ์วานของท่านนบีเป็นการเฉพาะ จนเกินเลยฐานะความเป็นจริง และทำเมินเฉย กระด้างกระเดื่องกับบุคคลในวงศ์วานของท่านนบีอีกมากมายหลายท่าน ตลอดจนบรรดาซอฮาบะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม ด้วยเช่นกัน

          ตัวอย่างต่างๆ จากการกระทำที่เลยเถิดจนเกินฐานะที่พวกเขามีให้กับบรรดาอิมามสิบสอง ผู้สืบเชื้อสายมาจากวงศ์วานของท่านนบี  บรรดาท่านเหล่านั้น คือ ท่านอะลีย์ ท่านฮะซัน ท่านฮุซัยนฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม และลูกๆของท่านอัลฮุซัยนฺ อีกเก้าท่าน

รายชื่อเหล่านั้นได้ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ “อุซูลุลกาฟีย์” ของอัลกุลัยนีย์ ในบทต่างๆมีดังนี้ ;

บทที่ว่า : 

       “แท้จริง บรรดาอิมาม อะลัยฮิมุสสลาม เป็นตัวแทนของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา บนหน้าแผ่นดินนี้ของพระองค์ และพวกเขาถูกนำออกมาจากประตูต่างๆของพระองค์” (เล่มที่ 1 หน้าที่ 193)

บทที่ว่า : 

         “แท้จริง บรรดาอิมาม อะลัยฮิมุสสลาม คือสัญญาณที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงระบุไว้ในคัมภีร์ของพระองค์” (อุซูลุลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 206) ในบทนี้มีอยู่สามฮะดีส ซึ่งเป็นฮะดีษที่พวกเขาได้ประมวลไว้ด้วยการอธิบายความหมายของดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลาที่ว่า :

 وَعَلامَاتٍ وَبِالنَّجْمِ هُمْ يَهْتَدُونَ  

          “และเครื่องหมายต่างๆ และด้วยกับดวงดาวนั้น พวกเขาอาศัยนำทาง” (ซูเราะฮฺ อัลนะฮฺลุ :16)

          พวกเขา (ชีอะฮฺ) อธิบายคำว่า “อันนัจญ์มุ” (ดวงดาว) นั้นว่า หมายถึง ท่านร่อซูล  และ “อัลอะลาม๊าต” (เครื่องหมายต่างๆ) นั้นหมายถึง บรรดาอิมาม (สิบสอง)

บทที่ว่า : 

         บรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม นั้น เป็นรัศมีของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 193)

          ซึ่งในบทนี้ ประมวลฮะดีษไว้มากมาย จากฮะดีษเหล่านั้น ที่มีสายสืบสุดอยู่เพียงแค่ท่าน อบี อับดุลลอฮฺ (คือ ท่านญะอฺฟัร อัซซอดิ๊ก) เป็นการอธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในซูเราะฮฺ อันนูร อายะฮฺที่ 35  ที่ว่า :

 اللَّهُ نُورُ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضِ…

          “อัลลอฮฺทรงเป็นแสงสว่าง (เป็นผู้นำทาง) แห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน....” 

           อบี อับดุลลอฮฺ กล่าวว่า ตามคำกล่าวอ้างของพวกเขาแล้ว

…مَثَلُ نُورِهِ كَمِشْكَاةٍ…

          “อุปมาแสงสว่างแห่งอัลลอฮฺ อุปมัยดั่งช่อง (ที่ทำไว้ตามผนังสำหรับตั้งตะเกียง)”
          ว่า หมายถึงท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ อะลัยฮัสสลาม

…فِيهَا مِصْبَاحٌ…

          (ณ ที่) “ตามช่องนั้นมีตะเกียง” หมายถึงอัลฮะซัน

…الْمِصْبَاحُ فِي زُجَاجَةٍ…

          “ตะเกียงนั้นอยู่ในโคมแก้ว” หมายถึงอัลฮุซัยนฺ

…الزُّجَاجَةُ كَأَنَّهَا كَوْكَبٌ دُرِّيٌّ…

          “โคมแก้วนั้นเสมือนดวงดาวที่ประกายแสงระยิบระยับ”
          ว่าหมายถึง ท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ ที่เป็นเสมือนดวงดาวที่ประกายแสง ท่านกลางบรรดาสตรีในโลกนี้

…يُوقَدُ مِنْ شَجَرَةٍ مُبَارَكَةٍ…

          “(ตะเกียงนั้น) ถูกจุดขึ้นจากน้ำมัน ที่มาจากต้นไม้ที่เป็นมงคล (ให้ประโยชน์มากมาย)”
          ว่าหมายถึง ท่านนบี อิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม

…زَيْتُونَةٍ لا شَرْقِيَّةٍ وَلا غَرْبِيَّةٍ …

          “คือต้นซัยตูน ซึ่งมันมิได้อยู่ทางด้านตะวันออก และมิได้อยู่ทางด้านตะวันตก” (อยู่ในจุดที่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน)
          ว่าหมายถึง (บรรดาคนเหล่านั้น) ไม่ใช่พวกยิวและไม่ใช่พวกคริสต์

…يَكَادُ زَيْتُهَا يُضِيءُ …

          “น้ำมันของมันนั้นเกือบจะมีประกายแสงออกมา”
          ว่าหมายถึง วิชาความรู้นั้นเกือบจะระเบิดพุ่งออกมาจากแสงนั้น

…وَلَوْ لَمْ تَمْسَسْهُ نَارٌ نُورٌ عَلَى نُورٍ …


          “ถึงแม้ว่าแสงไฟนั้นจะไม่มากระทบกับมัน (มันก็จะประกายแสง) (เมื่อ) แสง (จากไฟตะเกียงส่องมากระทบ) กับแสง (ประกายที่ออกมาจากน้ำมันซัยตูนนั้น) ก็จะมีแสงสว่างเพิ่มมากขึ้นไปอีก”
          ว่าหมายถึง อิมาม (ของพวกเขา) ออกมาจากแสงสว่างนั้น ซึ่งจะตามกันมาเป็นลำดับ

… يَهْدِي اللَّهُ لِنُورِهِ مَنْ يَشَاءُ …

          “อัลลอฮฺ จะทรงนำผู้ที่พระองค์ประสงค์ไปสู่แสงสว่างของพระองค์”
          ว่าหมายถึง อัลลอฮฺ จะทรงนำทางให้แก่บรรดาอิมามที่พระองค์ทรงประสงค์

 

 

บทที่ว่า :

          “เครื่องหมายต่างๆ ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงระบุไว้ในคัมภีร์ของพระองค์นั้น หมายถึง บรรดาอิมามนั้นเอง” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 207)

          และในบทนี้ได้อธิบาย ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า :

 وَمَاتُغْنِي الآيَاتُ وَالنُّذُرُ عَنْ قَوْمٍ لاَ يُؤْمِنُوْنَ   

          “สัญญาณต่างๆ และบรรดารอซูลผู้ให้การตักเตือน มิได้ให้คุณประโยชน์อันใดแก่กลุ่มคนที่ไม่ศรัทธา”
          พวกเขา (ชีอะฮฺ) อธิบายดำรัสของพระองค์ ที่ว่า    الآيات    นั้นคือ บรรดาอิมาม!

 และได้อธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า

كَذَّبُوا بِآيَاتِنَا كُلِّهَا… 

          “พวกเขาปฏิเสธสัญญาณต่างๆของเราทั้งหมด” 
             (ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัรฺ : 42)

          พวกเขา(ชีอะฮฺ) ให้ความหมายของคำว่า الآيات นั้นหมายถึงบรรดาผู้ที่ถูกสั่งเสีย ผู้ที่ถูกกำชับให้ดูแล (บรรดาอิมามทั้ง 12) และความหมายของคำว่า  الآيات  ที่กล่าวมาแล้วนั้นคือ “เอาว์ซิยาอฺ” (ผู้ถูกสั่งเสีย ผู้ถูกกำชับเอาไว้) ฉะนั้น การลงโทษที่เกิดกับฟิรเอาวน์สาเหตุเกิดจากพวกเขาปฏิเสธต่อบรรดาผู้ถูกสั่งเสีย ผู้ถูกกำชับเอาไว้ (เอาซิยาอฺ) ก็คือบรรดาอิมามนั่นเอง !!

บทที่ว่า : 

         “อะฮฺลุซซิกรฺ” ก็คือ บรรดาผู้ที่อัลลอฮฺได้ใช้ให้มวลมนุษย์วิงวอนขอต่อพวกเขา ฉะนั้น พวกเขา คือ บรรดาอิมาม (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 210)

บทที่ว่า :

         “อัล-กุรอาน ได้นำทางให้แก่อิมาม” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 216)

 ในบทนี้ได้อธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

إِنَّ هَذَا الْقُرْآنَ يَهْدِي لِلَّتِي هِيَ أَقْوَمُ …

 “แท้จริง อัลกุรอานนี้นำไปสู่ทางที่เที่ยงตรง” (ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ : 9)

 (พวกเขาได้อธิบายไว้ว่า) “อัลกุรอานนี้ นำไปสู่หนทางเที่ยงตรงให้แก่อิมาม”

 และในบทนี้ (พวกเขา) ได้ให้การอธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

…وَالَّذِينَ عَقَدَتْ أَيْمَانُكُمْ ... 

 “และบรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเขาได้ทำข้อผูกพันกันไว้” (ซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ : 33)

          (พวกเขา) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “แท้จริง บรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม นั้น ได้ดูแลเอาใจใส่ต่อข้อผูกพันดังกล่าวนั้นอย่างจริงจัง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงได้กำหนดเป็นเงื่อนไขผูกมัดพวกท่านด้วยการที่จะต้องผูกพันอยู่กับพวกเขา (อิมาม)”

บทที่ว่า :

            ความกรุณา (นิอฺมะฮฺ) ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงระบุไว้ในคัมภีร์ของพระองค์นั้น ก็คือ บรรดาอิมาม อะลัยฮิมุสสลาม (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 217)
 
          ในบทนี้มีการอธิบายความหมายดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

 

أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِينَ بَدَّلُوا نِعْمَةَ اللَّهِ كُفْرًا …

          “เจ้า (มุฮัมมัด) ไม่เห็นดอกหรือว่า บรรดาผู้ที่เปลี่ยนความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา” (ซูเราะฮฺ อิบรอฮีม : 28 ) 

          (พวกเขาอธิบาย) โดยอ้างว่า ท่านอะลีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า “เราคือ อันเนี๊ยะมะฮฺ (ความโปรดปราน) ที่อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานมาให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ และผู้ที่จะได้รับความสำเร็จในวันกิยามะฮฺนั้นก็ด้วย เพราะเรานั่นเอง!!”
 
และในบทนี่ ได้มีการอธิบายดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในซูเราะฮฺ อัรเราะฮฺมาน ที่ว่า :

فَبِأَيِّ آلاءِ رَبِّكُمَا تُكَذِّبَانِ  

          “และด้วยความโปรดปรานอันใดเล่า แห่งพระเจ้าของพวกเจ้าทั้งสอง ที่พวกเจ้าทั้งสองปฏิเสธ” (ซูเราะฮฺ อัรเราฮฺมาน)

           “อัลกุลัยน์” ให้ความหมายว่า เจ้าทั้งสองปฏิเสธต่อนบี หรือว่าปฏิเสธต่อ “วะซีย์” (ผู้ถูกกำชับสั่งเสีย) กันแน่ !!

บทที่ว่า : 

         "มีการนำเสนอการกระทำต่างๆ ต่อทานนบี  วะอะฮฺลิฮี และต่อบรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลามด้วย”
(อัลกาฟิย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 219)

 

บทที่ว่า :

         “บรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม นั้น มีคัมภีร์ทั้งหมดที่ประทานลงมาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อยู่ที่พวกเขา และพวกเขาสามารถรู้ความหมายของคัมภีร์เหล่านั้นทั้งหมด แม้ว่าภาษาของคัมภีร์นั้นจะแตกต่างก็ตาม” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 227)

 

บทที่ว่า :

         “อัลกุรอานไม่ได้ถูกรวบรวมไว้ครบสมบูรณ์ในช่วงนั้น จนกระทั่งบรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม ได้มาทำการรวบรวมจนครบถ้วนสมบูรณ์ในภายหลัง และพวกเขารู้ และเข้าใจในวิชาการของอัลกุรอานทั้งหมด” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 228)

 

บทที่ว่า :

         “บรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม จะรู้ดีถึงความรู้ทั้งหมดที่มีมาถึงมลาอิกะฮฺ  ที่มีมาถึงบรรดานบี และบรรดาร่อซูล อะลัยฮิมุสสลาม” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 255)

 

บทที่ว่า :

         “บรรดาอิมาม อะลัยฮิมุสสลาม จะรู้ว่า เมื่อไหร่พวกเขาถึงจะตาย และพวกเขาจะไม่ตายนอกจากความตายนั้น ต้องอยู่ในดุลยพินิจ และขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของพวกเขาเสียก่อนเท่านั้น” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 258)

บทที่ว่า : 

         “บรรดาอิมาม อะลัยฮิมุสสลาม จะรู้ถึงความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้น และไม่มีสิ่งใดที่จะมาปกปิดซ่อนเร้นพวกเขา (อะลัยฮิสสลาม) ได้เลย” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 260)

บทที่ว่า : 

         “อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะไม่สอนความรู้ใดแก่นบีของพระองค์ นอกจากจะมีบัญชาแก่นบีของพระองค์ให้นำเอาไปสอนต่อ แก่อะมีรุลมุอฺมินีน (ท่านอะลีย์) อะลัยฮิสสลาม และท่านอะมีรุลมุอฺมินีนนั้น เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมกับท่านนบี ในวิชาความรู้” (ที่อัลลอฮฺ ทรงให้มา) (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 263)

บทที่ว่า :

         “สิ่งที่มีปรากฏอยู่ในมือของผู้คนทั้งหลายนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง นอกจากสิ่งนั้นจะต้องออกมาจากบรรดาอิมาม อะลัยฮิสสลาม เท่านั้น และแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มิได้ออกมาจากบรรดาอิมามของพวกเขา มันคือ สิ่งเท็จ” (อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 399)

          บทต่างๆเหล่านี้ ได้ประมวลฮะดีษไว้หลายฮะดีษ ซึ่งฮะดีษมากมายเหล่านั้นมาพวกชีอะ และ(ฮะดีษเหล่านั้น) ได้ถูกคัดลอกออกมาจากฉบับที่พิมพ์เผยแพร่ โดยสำนักพิมพ์ “อัซซอดู๊ก” ณ กรุงเตหะราน ในปี ฮิจเราะฮฺศักราชที่ 1381 และนับว่าตำราเล่มนี้ (อัลกาฟีย์) เป็นตำราที่ล้ำค่าสูงสุดในบรรดาตำราของพวกชีอะ เพราะไม่มีตำราใดสูงค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

          และในคำนำของตำราเล่มนี้ มีการกล่าวสรรเสริญยกย่องอย่างยิ่งใหญ่ต่อตำรา และเจ้าของตำราเล่มนี้(อัลกุลัยนีย์ เจ้าของตำรา)ได้เสียชีวิตลงในฮิจเราะฮฺศักราชที่ 329 นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้า ได้คัดลอกเอามาจากตำราเล่มนั้น เพื่อเป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นถึงการกระทำที่เกินเลยขอบเขตของคนรุ่นแรกที่มีต่อบรรดาอิมาม ส่วนการกระทำที่เกินขอบเขตของคนรุ่นหลังๆ ที่มีต่อบรรดาอิมาม ดังที่ปรากฏชัดเจนจากคำพูดผู้อาวุโสของพวกชีอะฮ์ ซึ่งเป็นคนร่วมสมัย คือ “โคมัยนีย์” ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “อัลฮุกูมะฮฺ อิลอิสลามียะฮฺ” (ในหน้าที่ 52) จากวารสารที่พิมพ์เผยแพร่ของสำนักพิมพ์ “อัลอิสลามียะฮฺ” อัลกุบรอ ณ กรุง เตหะราน ว่า :

          “การยืนยันยอมรับในความเป็นจริงของการปกครอง การตัดสินชี้ขาด นับเป็นสิทธิของอิมาม อะลัยฮิสสลาม ซึ่งมิได้หมายความว่าเป็นเพียงอิมามเท่านั้น เขาไม่มีฐานะตำแหน่งอะไร ณ ที่อัลลอฮฺเลย และไม่ใช่ว่าท่านจะทำให้เขานั้นเป็นเหมือนกับบรรดาผู้นำคนอื่นๆ แท้จริง สำหรับอิมามนั้น จะมีฐานะ ตำแหน่งที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ และมีระดับชั้นอันทรงเกียรติ และเป็นตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ปรมาณูทั้งหลายของจักรวาลนี้ จะต้องสวามิภักดิ์ให้แก่อำนาจการปกครอง อำนาจการดูเลของผู้ปกครองที่ถูกแต่งตั้งมานี้ เพราะฉะนั้น จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นประการหนึ่งของมัซฮับเรา (แนวทางของเรา)ที่จะต้องเชื่อว่า สำหรับบรรดาอิมามนั้น มีตำแหน่งซึ่งแม้แต่มลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ และนบีที่ถูกส่งมา ก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปสู่ตำแหน่งนี้ได้

ทั้งนี้เป็นไปตามรายงาน และฮะดีษมากมายที่เรามี ระบุว่า “ร่อซูลผู้ยิ่งใหญ่ และอิมามนั้น ก่อนจะสู่โลกนี้ พวกเขาเคยเป็นแสงรัศมี และอัลลอฮฺได้ทรงแต่งตั้งให้พวกเขาได้มาห้อมล้อมอยู่ ณ บริเวณบัลลังก์ของพระองค์อัลลอฮฺ ทรงกำหนดตำแหน่ง และกำหนดให้พวกเขาได้มีความใกล้ชิดกับพระองค์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถรู้ถึงความใกล้ชิดที่พวกเขามีกับอัลลอฮฺได้ นอกจากพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น และแน่แท้ ญิบรีลได้กล่าวไว้ (ดังที่ปรากฏในรายงานมากมายเกี่ยวกับเรื่อง “อัลเมี๊ยะอฺรอจญ์”) ว่า “หากฉัน ได้เข้าไปใกล้กับพระองค์เพียงปลายนิ้วมือเท่านั้น แน่นอน ฉันต้องไหม้เป็นจุล” ปรากฏรายงานมาจากพวกชีอะฮ์ (อิมาม) ว่า แท้จริง สำหรับพวกเรากับอัลลอฮฺนั้น มีความใกล้ชิดอยู่หลายสภาพด้วยกัน ซึ่ง (สภาพความใกล้ชิดของพวกเรากับอัลลอฮฺนั้น) บรรดามลาอิกะฮฺ และบรรดานบี ที่ถูกแต่งตั้งมาก็ไม่เคยได้ยินถึงสภาพนั้นๆเลย”

          เมื่อทุกคนที่เห็นหรือที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว แน่นอน เขาจะไม่มีสิทธิ์กระทำการใดๆได้ นอกจากจะกล่าวว่า :

 رَبَّنَا لا تُزِغْ قُلُوبَنَا بَعْدَ إِذْ هَدَيْتَنَا وَهَبْ لَنَا مِنْ لَدُنْكَ رَحْمَةً إِنَّكَ أَنْتَ الْوَهَّابُ 

          “โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์อย่าได้ให้หัวใจของพวกเราหันเออกจากความจริงเลย ภายหลังจากที่พระองค์ได้ทรงนำทางให้แก่พวกเราแล้ว และขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ ให้แก่พวกเราด้วยเถิด แท้จริง พระองค์นั้น เป็นผู้ทรงประทานให้อย่างแท้จริง” (ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน : 8)

           และแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ยังไม่ลึกซึ้ง มีความเข้าใจยังไม่กว้างไกลก็ยังยืนยันว่า สิ่งที่ได้มีการคัดลอกมาจากพวกชีอะฮ์ (อิมาม) และสิ่งที่มีความคล้ายคลึงกัน ตามที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น มันเป็นเรื่องโกหก เป็นการกล่าวเท็จต่อบรรดาอิมาม แท้จริง บรรดาท่านเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลยกับผู้กระทำเกินเลยขอบเขตในตัวของบรรดาอิมาม และความเชื่อของพวกชีอะฮ์ที่เกินเลยขอบเขตนั้น เป็นการฟุ่มเฟือยจนออกนอกกรอบของศาสนา
 
 

  ประเด็นต่างๆในการศึกษา  ความประเสริฐ และฐานะอันสูงส่งของ “อะฮฺลุ้ลบัยติ”  ณ อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ