การบริหารจัดการงานของอุมมะฮ์(ประชาชาติ)
นิพล แสงศรี
ความสำคัญของการบริหารและจัดการตำราอิสลามหลายเล่มระบุว่า ยุคของท่านนะบี ได้กำหนดตัวบุคคลที่จะรับผิดชอบงานในด้านต่างๆได้อย่างลงตัว ตลอดจนเน้นเลือกเฟ้นคนดีและมีความสามารถเข้ามารับผิดชอบงานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นด้านการเผยแพร่ สังคม เศรษฐกิจ การทหาร การปกครอง และการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการอพยพมาสู่นครมาดีนะฮ์ท่านได้นำกฎหมายอิสลามมาใช้ วิธีการดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบการปกครองแบบอิสลาม จนถูกเรียกว่า กิยาม อัดเดาละฮฺ (การสถาปณารัฐอิสลาม) อันเป็นผลมาจากการบริหารจัดการของท่าน เช่นเดียวกับความเจริญรุ่งเรืองและการขยายตัวในงานด้านต่างๆยุค 4 เคาะลีฟะฮฺ ราชวงศ์อุมมัยยะฮฺ และราชวงศ์อับบาซียะฮฺล้วนได้รับอิทธิพลมาจากรูปแบบการบริหารและจัดการของท่านนะบี ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและโลกอิสลามให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก้าวหน้า และยืนยงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
อัลกุรอานระบุว่า
แท้จริงอัลลอฮ์จะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขา และเมื่ออัลลอฮ์ทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใดแล้ว ก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ (อัรเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 11)
การโอนถ่ายอำนาจและหน้าที่เมื่อการบริหารการจัดการงานของอุมมะฮ์(ประชาชาติ)อย่างมีรูปแบบและแบบแผนในนครมะดีนะฮ์ ก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงตามมาในสังคมมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นด้านการเผยแพร่ศาสนา การศึกษา การจัดระเบียบสังคม การส่งเสริมให้รู้จักทำมาหากินสร้างรายได้ การสร้างฐานทางเศรษฐกิจ และการปกครอง ตลอดจนการใช้กฎหมายอิสลาม ดังนั้นภาระกิจและความรับผิดชอบต่างๆ ดังที่กล่าวมาจึงจำเป็นต้องมีการถ่ายเทจากรุ่นสู่รุ่น ท่านนะบี เคยกล่าวว่า
ทุกครั้งที่นะบีท่านหนึ่งได้จบชีวิตไป จะมีนะบีอีกท่านตามมา และแท้จริงหลังจากข้าพเจ้าจะไม่มีนะบีอีก แต่จะมีเพียงบรรดาตัวแทนเท่านั้น (รายงานสอดคล้องทั้งอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
นอกจากนั้นท่านยังได้กล่าวว่า
ผู้ใดภักดีต่อข้าพเจ้า แท้จริงเขาได้ภักดีต่ออัลลอฮ์แล้ว และผู้ใดทรยศต่อข้าพเจ้า แท้จริงเขาได้ทรยศต่ออัลลอฮ์แล้ว ผู้ใดภักดีต่อผู้นำ แท้จริงเขาได้ภักดีต่อข้าพเจ้า ผู้ใดทรยศต่อผู้นำ แท้จริงเขาทรยศต่อข้าพเจ้า (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
การกระจายอำนาจและหน้าที่การดำเนินงาน การบริหารและการจัดการงานอุมมะฮ์(ประชาชาติ) นั้นจะไม่อาจลุล่วงไปได้ด้วยดี หากปล่อยให้ผู้นำรับผิดชอบหรือผูกขาดอำนาจเพียงลำพัง โดยปราศจากการกระจายหน้าที่ แบ่งเบาภาระ และความรับผิดชอบให้แก่ผู้ที่เหมาะสมและมีความสามารถอย่างแท้จริง เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีใครสามารถกระทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง หรือเชี่ยวชาญในทุกๆเรื่องโดยไม่พึงพาใคร การกระจายอำนาจบริหารและหน้าที่ต่างๆเหล่านี้ สามารถพบได้จากช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในนครมะดีนะฮ์ ทั้งในรูปแบบมอบหมายให้รับผิดชอบงานเป็นรายบุคคลและกลุ่มคณะ นอกจากนั้นท่านนะบี ยังกำชับว่า
ทุกคนย่อมมีหน้าที่ และทุกคนต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ผู้นำก็มีหน้าที่และเขาต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขา ชายคนหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัว และเขาต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขา สตรีคนหนึ่งก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวของสามี และนางต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของนาง คนรับใช้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินของเจ้านาย และเขาต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขา ทุกคนต้องมีหน้าที่และต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขา (รายงานสอดคล้องทั้งอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
การบริหารและจัดการงานของอุมมะฮ์(ประชาชาติ)1) ระดับผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างเคาะลีฟะฮ์ (ผู้นำแห่งโลกมุสลิม) ผู้นำประเทศ และประมุขของรัฐอิสลาม ตลอดจนนักปกครอง ผู้บริหาร และบุคคลากรของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ บุคคลเหล่านี้จะต้องผ่านการเลือกสรรจากสภามติชูรอของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศ หรือแต่ละเขตด้วยความเป็นธรรมและด้วยความเหมาะสม ดังนั้นหากแกนนำระดับแนวหน้าไม่ขยับขับเคลื่อน หรือไม่สนใจ หรือให้ความสำคัญต่อหน้าที่และกิจการงานของอุมมะฮ์ แล้ว ความยากจน ความขัดแย้ง ความล้าหลัง และความด้อยพัฒนาจะเข้ามาแทรกในสังคมทุกด้าน ทุกระดับ และอาจจะจบลงด้วยความขัดแย้งหรือความหายนะ
2) ระดับครอบครัว ถือเป็นฐานของโครงสร้างของสังคมหรือองค์ประกอบทางสังคมขนาดใหญ่ที่สำคัญที่สุด หากแต่ละครอบครัวขาดระเบียบ ขาดการรับผิดชอบ ขาดการศึกษา และขาดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อคำสอนของอัลอิสลาม หรือผู้นำครอบครัว(พ่อบ้านและแม่บ้าน)ไม่สนใจ ไม่ดูแลรับผิดชอบในส่วนที่ตนเองต้องรับผิดชอบ หรือลูกไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองแล้ว ความบกพร่องความอ่อนแอและปัญหาต่างๆ ก็ย่อมจะเกิดขึ้นตามมาอย่างง่ายดาย ซึ่งไม่ใช่จะเกิดขึ้นเฉพาะกับครอบครัวหรือระดับรากหญ้าเท่านั้น แต่มันจะกระจายออกจากบ้านแต่ละบ้านเข้าฝังตัวอยู่ในสังคมส่วนรวม จนกลายเป็นปัญหาสังคมที่ยากแก่การแก้ไข และยากที่จะเยียวยา
3) ระดับทาส ปัจจุบันอาจจะรวมถึงคนรับใช้ ก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องดูแลและรับผิดชอบ ปฎิบัติงานให้ลุล่วงไปด้วยดีตามที่ได้รับมอบหมาย
4) ระดับประชาชน ทุกคนก็มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ ประสานงาน และดำเนินงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
หากทุกคนได้ตั้งใจหรือพยายามปฎิบัติตามหน้าที่อย่างพร้อมเพรียงกัน ตลอดจนให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นความดีถูกต้องตามหลักกฎหมายอิสลาม ความเข้มแข็ง ความมั่นคง และความน่าเกรงขามก็จะเกิดขึ้น และการเป็นประชาชาติ (อุมมะฮ์) ที่ดีก็ย่อมจะปรากฎให้เห็นทั้งในระดับครอบครัว สังคมส่วนรวม ระดับประเทศ และโลกมุสลิม
งานหลักที่ต้องปฎิบัติเมื่อบรรดาผู้นำ ผู้ปกครอง ผู้บริหาร และประชาชนทุกคนตระหนักในหน้าที่และรู้จักหน้าที่ๆ ของตน ตลอดจนมีความรับผิดชอบในด้านต่างๆ และสาขาต่างๆ ตามความสามารถและความเหมาะสมแล้ว การลงมือปฎิบัตถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
1) ด้านการศึกษา
เน้นคำสอนที่มีจากอัลกุรอานและอัลฮะดีษต้องมาก่อนเรื่องเล่าในนิยายปรัมปรา หรือค่านิยมความเชื่อ ความงมงายที่ผิดๆ จัดให้มีการเผยแพร่ตามคำสอนของบัญญิตศาสนา ทั้งในหมู่คนมุสลิมและคนต่างศาสนิกเพื่อความเข้าใจที่ดี ส่งเสริมการเรียนการสอนให้หลายหลาก และจัดลำดับการศึกษาประเภทต่างๆให้ถูกต้อง ตามสภาพความจำเป็นทางสังคม การเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ
2) ด้านสังคมและความเป็นอยู่
จัดระเบียบทางสังคมด้วยการนำข้อห้ามข้อใช้ของอัลอิสลามมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตระหนักถึงความสำคัญแห่งการดำเนินวิถีชีวิตตามแบบฉบับของท่านนะบี หรือตัวอย่างจากบรรดาเศาะฮาบะฮ์และชาวสะลัฟ เพื่อเป็นการเสริมสร้างบุคลากรในสังคมให้เข้มแข็ง ทั้งด้านศีลธรรมและจริยธรรม หากพบสิ่งใดที่เป็นความชั่ว ผิด บาป ชิริก อุตริกรรม ต้องรีบเข้ายับยั้ง หาทางแก้ไข และไม่สนับสนุนหรือให้การช่วยเหลือ และหากพบสิ่งใดที่เป็นความดีงามตามกฎหมายอิสลามต้องรีบหาทางส่งเสริม หรือดำเนินการให้ลุล่วงไปด้วยดี
3) ด้านเศรษฐกิจ
ส่งเสริมให้ทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต อดทน ไม่เบียดเบียนคนอื่น ข้อสำคัญธุรกิจ การลงทุน หรือช่องทางหากินนั้นๆ จะต้องไม่สวนทางกับคำสอนของอัลอิสลาม ตลอดจนรู้จักประหยัดไม่สุ่รุ่ยสุ่หร่าย รู้จักกินรู้จักใช้ในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต มีการเก็บออมเพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจทั้งในระดับบุคคลและระดับครอบครัว ข้อสำคัญคือ มีความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของความอยู่รอดของคนในสังคมโลกาภิวัฒน์ และนำพาสังคมไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและไม่ล้าหลัง สิ่งเหล่านี้สามารถศึกษาได้จากรูปแบบการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในยุคของท่านนะบี
4) ด้านการบริหารและปกครอง
ศึกษารูปแบบจากนะบี และเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่ นำมาเป็นแนวทาง ซึ่งได้ประความสำเร็จและสร้างความเจริญรุ่งเรืองมาให้เห็นแล้ว ในเวลาเดียวกันศึกษาจุดอ่อนแอ และสาเหตุของการขัดแย้ง สงคราม และความหายนะที่เกิดขึ้นในยุคหลังเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่ เพราะหากมองในแง่การบริหารจัดการถือว่า ความอยู่รอดและความปลอดภัยของอุมมะฮ์ ตกอยู่ในมือผู้นำที่มีวิสัยทรรศน์กว้างไกล หรือบรรดานักปกครองผู้มีความเป็นธรรม หรือนักบริหารและนักพัฒนาผู้มีความคิดสร้างสรรค์พร้อมกับลงมือปฎิบัติในทุกๆ ระดับอย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ชุมชน มัสยิด รัฐ ระดับประเทศ และโลกอิสลาม
ทุกสิ่งนั้นย่อมมีวัตถุประสงค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
พวกเจ้านั้นเป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกอุบัติขึ้นสำหรับมนุษย์ชาติ โดยพวกเจ้าจะต้องใช้ให้ปฎิบัติในสิ่งที่ชอบ และพวกเจ้าจะต้องละเว้นในสิ่งที่มิชอบ (อาลิอิมรอน อายะฮ์ 110)
และพระองค์ทรงตรัสว่า
พวกเจ้าจงช่วยเหลือสนับสนุนกันในการทำความดีและสร้างความยำเกรง และพวกเจ้าอย่าได้สนับสนุนกันในการความผิดและเป็นศัตรูกัน (อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 2)
และพระองค์ทรงตรัสว่า
แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงชนกลุ่มหนึ่งกุล่มใด จนกว่าชนกลุ่มนั้นจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตัวของพวกเขาเสียก่อน (อัรเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 11)
-Abd al-Salam. 1989. Tahsib Sirah Ibn Hisham. Egypt : Dar al-Sunnah.
-Abu Shubah, Muhammad Muhammad. 1999. al-Sirah al-Nabawi Fi Daw al-Quran Wa al-Sunnah. Syria : Dar al-Qalam.
-Alam al-din, Mustafa. 1992. al-Mujatama al-Islami. Lebanon : Dar al-Nahdha al-Arabia.
-al-Buti, Muhammad S. Ramadan. 1978. Fiqh al-Sirah al-Nabawiyah. Syria : Dar al-Fikr.
-al-Farra, Abu Yala. 1973. al-Ahkam al-Sultaniyah. al-Qahirah : al-Halabi.
-al-Qaradawi, Yusuf. 1998. al-Siyasah al-Shareyah Fi Daw al-Nusus al-Shareyah. al-Qahirah : Wahbah.
al-Sharif, Abd al-Salam Muhammad. 1996. Nathariyah al-Siyasah al-Shar e yah. Bangghazi : Jamiah Qariyunus.
-บางตอนคัดย่อมาจากบทความของ เชคยุซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์