ผู้ที่ถูกแขวนตรึงบนไม้กางเขนคือผู้ถูกสาปแช่ง
แปลโดย อบูยุซรอ อิสมาอีล อะหมัด
ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าท่านมะซีฮฺถูกพวกยิวนำไปแขวนและสิ้นชีพบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นคำสั่งของ บีลาตีส อัล บันตี และคัมภีร์ใบเบิลได้ประกันต่อความมดเท็จของความเชื่อดังกล่าวนี้ ดังมีปรากฏในคัมภีร์ของท่านว่า ผู้ที่ถูกแขวนบนไม้กางเขนนั้นคือผู้ถูกสาปแช่ง มีปรากฏอยู่ในบทเพลงสรรเสริญบทที่ ๒๒ โองการที่ ๒๓
"เมื่อมนุษย์มีความผิดโทษทัณฑ์ของเขาคือความตาย ฉะนั้นต้องถูกฆ่าแขวนบนไม้ หากศพผู้นั้นไม่ยึดอยู่บนไม้ให้ฝังเขาในวันนั้น เพราะว่าคนถูกแขวนนั้นคือคนถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อไม่ให้แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่เจ้าได้เปรอะเปื้อน"
ลองพิจารณาดูซิว่าพระเจ้าของพวกท่านถูกสาปแช่งได้อย่างไร?!! นี่เป็นตัวบทจากคัมภีร์ของพวกท่าน
เราพบในคัมภีร์ใบเบิลอีกที่ได้ระบุไว้ในลูกา บทที่ ๔ โองการที่ ๒๙ - ๓๐ ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านมะซีฮฺจากแผนประทุษร้ายของพวกยิว พวกเขาจึงไม่สามารถแขวนท่านบนไม้กางเขนได้
"พวกเขาเหล่านั้นได้นำเขา (คือมะซีฮฺ) ออกนอกเมือง จนกระทั่งนำเขามาถึงเขตแดนแห่งภูเขา ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเมืองของพวกเขาแล้วพวกเขาก็ได้โยนเขาลงไปเบื้องล่าง ส่วนตัวเขาได้เดินผ่านท่ามกลางพวกเขาหายไป"
ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๘ โองการที่ ๕๙ ว่า
"พวกเขาได้หยิบก้อนหินขึ้นขว้างเขา ส่วนยาซูอฺได้หลบซ่อนตัวและได้ออกไปจากโครงร่าง ท่ามกลางพวกเขาพ้นไปเช่นนี้"
ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๑๐ โองการที่ ๓๙ ว่า
"พวกเขา -ทหารโรมันได้ขอร้องให้จับตัวเขา ดังนั้นเขาจึงรอดพ้นจากเงื้อมมือพวกเขา"
ตัวบทพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ยังมีอีกมากได้ระบุยืนยันว่าพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ได้ทรงปกป้องท่านมะซีฮฺ จากแผนการร้ายและความเกียจชังของพวกยิวชั่ว ทว่ายังมีตัวบทที่ระบุยืนยันว่าพวกยิวไม่สามารถทราบถึงบุคลิคภาพของท่านมะซีฮฺจึงได้ว่าจ้างคนให้นำทางติดตามไล่ล่าหาตัวเขา ด้วยการให้ค่าจ้างตอบแทน (ดู มัดทายบทที่ ๒๗ โองการที่ ๓-๔)
ท่านมะซีฮฺ ได้แจ้งให้ทราบว่าพวกฝูงชนได้เกิดมีความสงสัยต่อข่าวคราวของท่านในค่ำคืนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้น ดังท่านได้กล่าวไว้ใน มัรกูศ บทที่ ๑๔ โองการที่ ๒๗ ว่า
"พวกท่านทุกคนจะสงสัยในค่ำคืนนี้"
ฉะนั้นอะไรคือจุดจบของท่านมะซีฮฺบนพื้นแผ่นดินนี้? พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยกท่านขึ้นสู่เบื้องบนยังพระองค์ นี่เป็นหลักฐานจากพระคัมภีร์ใบเบิลของพวกท่าน
"แท้จริงยาซูอฺ คนนี้แหละที่ได้ถูกยกขึ้นไปจากท่านสู่ชั้นฟ้า"
กิจการอัครทูตบทที่ ๑ โองการที่ ๑๑ และในมัดทายบทที่ ๔ โองการที่ ๖ และลูกาบทที่ ๔ โองการที่ ๑๐-๑๑ กล่าวว่า
"ได้ถูกกำหนดว่าพระองค์ท่านทรงได้สั่งใช้ให้บรรดามลาอิกะฮฺ –ทูตสวรรค์ อยู่กับเขา และด้วยมือของพวกเขาได้ยกเขา (มะซีฮฺ) ขึ้น"
ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าคัมภีร์ของพวกท่านได้นำข้อเท็จจริงดังนี้มาเสนออย่างไร?
๑) ผู้ที่ถูกแขวนตรึงบนไม้กางเขนคือผู้ถูกสาปแช่ง
๒) พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน
๓) ท่านมะซีฮฺได้บอกว่าฝูงชนจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับตัวท่านในค่ำคืนนั้น
๔) พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺตะอาลา) ได้ยกท่านยังพระองค์
ตอนนี้เรามาตั้งคำถามดูว่าอะไรคือสาเหตุและเงื่อนงำของไม้กางเขนที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ในเมื่อมันเป็นเหตุของภัยพิบัติที่มีต่อตัวท่านมะซีฮฺ ดังที่ท่านทั้งหลายเชื่อถือ? มันมิใช่เป็นการรำลึกถึงอาชญากรรมที่พวกยิวได้ก่อขึ้นหรือ? มันไม่ใช่สัญญานและหลักฐานอาชญากรรมหรือ? ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าเหตุการณ์ร้ายแห่งไม้กางเขนเกี่ยวเนื่องกับท่านมะซีฮฺเช่นไร? และทำไมท่านถึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อความเชื่อนี้ ?
หากท่านยังจะพึงพอใจอยู่กับความเชื่อนี้อีก ท่านจงตอบด้วยความสัตย์จริงต่อข้อซักถามเหล่านี้ซิว่า?
ใครเป็นผู้บริหารกิจการแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในขณะที่พระเจ้าและผู้ทรงสร้างของมันถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขน?
ท่านจะจินตนาการอย่างไรถึงการมีอยู่ของสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายสามวันโดยปราศจากเจ้าผู้ทรงบริหารกิจการและทรงรักษาดูแลมันไว้อย่างมั่นคง?
ใครคือผู้ทรงอำนาจจัดการจักรวาล ดวงดาวต่างๆที่มันโคจรตามที่พระองค์ทรงประสงค์
ใครเป็นผู้ประทานเครื่องยังชีพแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
สภาพของการมีอยู่จะเป็นเช่นไร ต่อเมื่อพระผู้อภิบาลของมันอยู่ในหลุมศพ?
ใครคือผู้ให้มันตาย และใครคือผู้ให้ชีวิต? พระองค์อัลลอฮฺทรงสูงส่งยิ่งกว่าที่พวกเขากล่าวอ้าง
ชาวคริสต์เชื่อว่าท่านมะซีฮฺได้ตายบนไม้กางเขนทั้งนี้เพื่อปกป้องและไถ่บาปมวลมนุษย์ชาติที่เป็นมรดกตกทอดกันมา
หลักความเชื่อเช่นนี้เป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งกับหลักตรรกวิทยาและสติปัญญามนุษย์ ขัดแย้งต่อหลักพื้นฐานและตัวบทหลักของพระคัมภีร์ของพวกท่านดังนี้
(๑) บิดาจะไม่ถูกลงโทษฆ่าแทนบุตร
(๒) ทุกชีวิตจะต้องตายด้วยบาปกรรมของมัน
(๓) ชีวิตที่ผิดพลาดจะต้องตาย
(๔) พระผู้เป็นเจ้า ทรงยอมรับการขอลุหโทษของบรรดาผู้กลับตัว
สำหรับหลักฐานตัวบทพระคัมภีร์ที่ปรากฏตามหลักฐานดังกล่าวคือ
(๑) บิดาจะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบุตร และบุตรก็จะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบิดา มนุษย์ทุกคนจะถูกนำไปฆ่าด้วยความผิดที่เขาได้ก่อกรรมขึ้น (บทเพลงสรรเสริญ บทที่ ๒๔ โองการที่ ๑๖)
(๒) ในวันนั้นพวกเขาจะไม่กล่าวภายหลังจากที่บิดาของพวกเขาได้กินผลองุ่นว่าฟันของลูกๆของเขาเป็นภัยร้าย แต่ทว่าทุกชีวิตจะตายด้วยบาปกรรมของเขา มนุษย์ทุกคนที่กินผลองุ่นฟันของเขาเองเป็นภัย (บทเพลงร้องทุกข์อิระมะยาบทที่ ๓๑ โองการที่ ๒๙-๓๐)
(๓) และพวกเจ้ากล่าวว่าทำไมเล่าบุตรจึงไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา ส่วนบุตรได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม รักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ และได้กระทำมัน ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ชีวิตใดที่มีบาปก็จะตายจากไป
บุตรจะไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา และบิดาก็จะไม่แบกภาระบาปกรรมของบุตร คุณธรรมก็จะได้แก่ผู้ทำความดีงาม ความชั่วช้าก็จะได้แก่ผู้ทำความชั่ว (ทำชั่วได้ชั่วทำดีได้ดี-ผู้แปล) หากคนชั่วกลับตัวจากบาปกรรมทั้งหลายที่ได้กระทำขึ้น และรักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ ได้ปฏิบัติตามความถูกต้องและเที่ยงธรรม ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ไม่ตาย การฝ่าฝืนของพวกเขาทุกอย่างที่ได้ก่อกรรมขึ้น จะไม่ถูกนำมากล่าวถึง ในความดีงามของเขา (ฮัซ กียาล บทที่ ๑๘ โองการที่ ๑๙-๒๒)
เรียบเรียงโดยดร.มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ อัสสิฮีม
ที่มา : Islam House