หน้าที่ของมุสลิมที่พึงมีต่อคนต่างศาสนิก
  จำนวนคนเข้าชม  29825

 

 

หน้าที่ของมุสลิมที่พึงมีต่อคนต่างศาสนิก

 

คำถาม

           อะไรคือหน้าที่ของมุสลิมที่พึงมีต่อผู้ที่ไม่ได้รับนับถือศาสนาอิสลาม  โดยไม่ว่าคนต่างศาสนิกนั้นจะอาศัยอยู่ในประเทศของมุสลิมหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระผมใคร่ขอทราบข้อพึงปฏิบัติทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกล่าวคำทักทาย  จนกระทั่งถึงการเข้าร่วมงานพิธีกรรมต่าง ๆ ของคนต่างศาสนิก  และเป็นการอนุญาตสำหรับเราหรือไม่  ในการที่เราจะทำการติดต่อหรือประสานงานกับคนต่างศาสนิก  ผมขอคำแนะนำด้วยครับ  ขอพระองค์อัลลอฮฺ ทรงโปรดประทานรางวัลให้กับท่านด้วยเทอญ
 

บรรดาการสรรเสิรญเป็นเอกสิทธิ์ แด่พระองค์อัลลอฮฺ

 

คำตอบ

 หน้าที่ของมุสลิมที่พึงมีต่อคนต่างศาสนิกนั้นมีอยู่หลายข้อด้วยกันดังนี้


          1. มุสลิมนั้น  มีหน้าที่ในการเรียกร้องเชิญชวนคนต่างศาสนิก  ให้มาสู่หนทางของพระองค์อัลลอฮฺ โดยเมื่อมีโอกาสเราจะต้องทำการอธิบายถึงศาสนาอิสลามที่แท้จริงให้กับคนต่างศาสนิก  ในเรื่องที่เขาสงสัยหรือได้รับรู้มา  ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะเป็นรูปแบบการเผยแพร่ศาสนาที่ดีที่สุด  เนื่องจากเมื่อเขาได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแล้ว  เขาก็จะสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปบอกกล่าวแก่บรรดาเพื่อนฝูงหรือคนที่เขารู้จักต่อไป  ซึ่งบุคคลเหล่านั้น  อาจจะเป็นชาวยิว      คริสต์ รวมถึงผู้ที่นับถือพระเจ้าหลายองค์  (มุชรีกีน) ด้วย  ดังที่ท่านนบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวเอาไว้ว่า 

“ใครก็ตามที่แนะนำบุคคลอื่นในเรื่องของความดีงาม  เขาก็จะได้รับรางวัลตอบแทนเท่ากับผู้ที่ได้ลงมือกระทำความดีนั้น ๆ ด้วย”
 
         และท่านนบี ได้กล่าวกับท่านอาลี  ว่า  เมื่อท่านได้เดินทางไปถึงกะบะฮฺแล้ว  ให้ท่านทำการเรียกร้องเชิญชวนชาวยิวให้มาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม  และ

“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ    ในการที่จะให้ทางนำแก่ผู้ใดโดยผ่านการเผยแพร่ของท่านนั้น

ย่อมเป็นการดีกว่าที่ท่านจะรับฝูงอูฐพันธุ์ที่ดีที่สุด”

         และท่านนบี   ยังได้กล่าวอีกว่า 

“บุคคลใดก็ตามที่เรียกร้องเชิญชวนผู้อื่นมาสู่หนทางที่ถูกต้อง  เขาจะได้รับรางวัลเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เขาได้แนะนำเอาไว้

โดยรางวัลของเขาจะไม่ถูกตัดทอนให้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย” 

         ดังนั้นการเรียกร้องเชิญชวนผู้อื่นมาสู่หนทางของอิสลาม  จึงเป็นการกระทำที่แสดงออกให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจที่เรามีต่อพระองค์อัลลอฮฺ  ซึ่งจะเป็นแนวทางที่จะทำให้เราได้เข้าใกล้ต่อพระองค์อัลลอฮฺ


         2. มุสลิมนั้น  จะต้องไม่ตำหนิหรือว่าร้ายต่อคนต่างศาสนิก  ไม่ว่าบุคคลดังกล่าวนั้นจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศของมุสลิม  หรือบุคคลดังกล่าวนั้นจะอยู่ภายใต้หรือไม่ได้อยู่ภายใต้กฏหมายของอิสลาม  มุสลิมก็จะต้องไม่ตำหนิเขาทั้งในเรื่องของรูปร่าง ฐานะ หรือเกียรติยศของเขา   และเราจะต้องมอบสิทธิอันชอบธรรมให้แก่เขา  ไม่ริดรอนหรือเอาเปรียบเขาในเรื่องของทรัพย์สิน  ไม่ว่าจะโดยการลักขโมย หรือหลอกลวงเอาทรัพย์สินของเขามาโดยไม่ชอบธรรม  และจะต้องไม่ทำร้ายร่างกายของเขา  ทั้งด้วยการใช้กำลังหรือเข่นฆ่าเขา  เพราะผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามนั้น  เขาได้รับการคุ้มครองตามกฎของชารีอะฮ์


         3. มุสลิมนั้น  สามารถที่จะทำการติดต่อหรือประสานงานกับคนต่างศาสนิกได้  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการค้าขาย  การให้เช่า หรือการว่าจ้าง  และอื่น ๆ  ซึ่งมีรายงานจากฮะดีษที่ซอเฮี้ยะว่า  ท่านนบี ได้ทำการซื้อของจากชาวกุฟฟาร  ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการเคารพภักดีต่อรูปปั้น  และท่านนบี ได้ทำการจากซื้อของจากชาวยิวด้วย  ซึ่งนี้แสดงถึงหลักฐานของการติดต่อระหว่างชาวมุสลิมและคนต่างศาสนิก  และครั้นเมื่อท่านนบี   ได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺแล้ว    โล่ห์ของท่านได้ถูกนำไปใช้ในการแลกเป็นเงินจากชาวยิว  เพื่อที่จะนำเงินที่ได้มานั้น  มาใช้ในการซื้ออาหารให้แก่คนในครอบครัวของท่านนบี

 
         4. สำหรับกรณีของการกล่าวคำทักทายนั้น  มุสลิมจะต้องไม่ให้สลามแก่คนต่างศาสนิกก่อน  แต่เราสามารถตอบรับคำกล่าวทักทายได้  ดังที่ท่านนบี ได้กล่าวเอาไว้ว่า

 “ท่านอย่าเป็นผู้กล่าวให้สลามแก่ชาวยิวหรือชาวคริสต์ก่อน”    

และท่านนบี   ได้กล่าวว่า

“ถ้าชาวคัมภีร์ได้ทักทายท่านด้วยคำว่า “อัสลามมุอะลัยกุม”  ก็ให้ท่านจงกล่าวตอบว่า “วะอะลัยกุม” 

          กล่าวคือ  มุสลิมนั้นจะไม่ให้สลามแก่กาเฟรก่อน  แต่ถ้าคนต่างศาสนิกไม่ว่าจะเป็น กาเฟร ยิว คริสต์  หรือใครก็ตาม  ได้กล่าวสลามแก่เรา  ก็ให้เราตอบกลับว่า  วะอะลัยกุม  ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ท่านนบี  ได้กล่าวเอาไว้

สำหรับเรื่องสิทธิต่าง ๆ ที่มุสลิมพึงมีแต่คนต่างศาสนิกนั้น  มีอยู่ด้วยกันหลายประการดังนี้

          - สิทธิของเพื่อนบ้าน  มุสลิมนั้นจะต้องปฏิบัติอย่างดีต่อเพื่อนบ้านของเรา  ต้องไม่ทำการรบกวนเพื่อนบ้าน  และต้องให้ความช่วยเหลือแบ่งปัน  หากเพื่อนบ้านนั้นเป็นผู้ที่ขัดสน  จงมอบของขวัญให้กับเขา  ให้คำแนะนำที่ดีแก่เขา  เนื่องจากท่านนบี ได้กล่าวถึงสิทธิของเพื่อนบ้านเอาไว้

“ท่านญิบลีส  ได้กล่าวย้ำแก่ฉันว่าให้ทำดีต่อเพื่อนบ้าน  จนกระทั่งฉันคิดว่าเขาสามารถที่จะเป็นผู้รับมรดกจากฉันได้” 

         ซึ่งมีฮะดีษที่ซอเฮี้ยะ  รายงานสอดคล้องกันว่า  แม้ว่าเพื่อนบ้านนั้นจะเป็นชาวกาเฟร  เขาก็มีสิทธิของเพื่อนบ้านที่เขาพึงจะได้รับจากชาวมุสลิม  และถ้าหากชาวกาเฟรนั้นเป็นญาติของเราด้วย  เขาก็จะได้รับสิทธิถึง 2 สิทธิ์ด้วยกัน  คือสิทธิของเพื่อนบ้านและสิทธิของญาติที่พึงจะได้รับจากเรา

          หนึ่งในสิทธิของเพื่อนบ้านที่ควรจะได้รับคือ  การได้รับเงินช่วยเหลือ  ถ้าหากเขาเป็นผู้ที่ยากจน  (ซึ่งเงินดังกล่าวนี้ไม่ใช่เงินซะกาต)  ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ   ได้ตรัสเอาไว้ว่า 
 
          “อัลลอฮฺ  มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา  แท้จริงอัลลอฮฺ  ทรงรักผู้มีความยุติธรรม”

(ซูเราะฮฺ al-Mumtahanah 60 : 8)

         และมีฮะดีษซอเฮี้ยะ ที่รายงานโดยท่านหญิง อัสมา บิน อะบีบักร (ขอความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺ ทรงมีแด่ท่านด้วยเทอญ) ได้กล่าวว่า

           “แม่ของเธอซึ่งเป็นชาวมุชรีก  ได้มาหาเธอในช่วงที่มีการสงบศึกระหว่างท่านนบี  และชาวมักกะฮฺ  ซึ่งแม่ของเธอนั้นต้องการความช่วยเหลือ  ท่านหญิงอัสมา  จึงได้ถามท่านนบี   เพื่อขออนุญาตจากท่านว่าเธอจะสามารถให้ความช่วยเหลือแด่แม่ของเธอได้หรือไม่ 

ซึ่งท่านนบี ได้กล่าวตอบว่า “จงให้การดูแลช่วยเหลือแม่ของเธอเถิด”

 

         - แต่สำหรับการเข้าร่วมงานในพิธีการต่าง ๆ ของคนต่างศาสนิกนั้น  ชาวมุสลิมจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ยกเว้นเป็นการแสดงความเสียใจต่อการจากไปของบุคคลซึ่งเป็นที่รักของท่านที่เป็นคนต่างศาสนิก  ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ถือเป็นความผิดแต่อย่างใด  ซึ่งท่านสามารถที่จะกล่าวว่า 

ขอพระองค์อัลลอฮฺ  ทรงโปรดประทานสิ่งที่ดีทดแทนให้แก่คุณ  เนื่องจากการที่คุณสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป” 

หรือการกล่าวถ้อยคำที่ดีๆ    แต่คุณไม่ควรจะกล่าวว่า 

“ขอให้พระองค์อัลลอฮฺ  ทรงโปรดอภัยในความผิดบาปของเขา หรือขอความเมตตาพระองค์จากพระองค์ทรงมีแด่เขา” 

         ถ้าหากว่าผู้ตายนั้นเป็นชาวกาเฟร  และเราต้องไม่ทำการละหมาดคนตายให้กับเขา  แต่เราสามารถที่จะทำการละหมาดและขอดุอาให้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่  เพื่อขอให้พระองค์อัลลอฮฺ   โปรดประทานทางนำหรือขอให้พระองค์ทดแทนสิ่งที่ดีต่าง ๆ ให้กับเขาได้

 

ตอบคำถามโดย Shaykh ‘Abd al-‘Azeez ibn Baaz (ขอพระองค์อัลลอฮฺ โปรดประทานความเมตตาแก่ท่านด้วยเทอญ)


ที่มา  http://www.islamqa.com/en/ref/islamqa/131777

แปลโดย นูรุ้ลนิซาอ์