มุฮัมมัดในสายตาของผู้ไม่ใช่มุสลิม (กาฟิร)
อิสลาม...เป็นศาสนาหนึ่งที่ถูกรุมโจมตีทำร้ายมากที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่เป็นศาสนาที่มีกระแสการตื่นตัวสูงมากในทุกมุมโลก หรือจะด้วยเพราะหลักการอิสลามเท่านั้นที่เป็นคำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมรอการสะสาง ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าบางประเด็นปัญหาเป็นปัญหาโลกแตกไม่มีคำตอบหรือการแก้ไขอันใด ฉะนั้นบทบัญญัติอิสลามคือทางออกหรือคำตอบของปัญหานั้นๆ จะด้วยเหตุผลที่กล่าวมาหรือจะด้วยการอิจฉาริษยาอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดต่อศาสนาอิสลาม จึงทำทำให้พวกเขาพยายามทุกวิธีในการสกัดกั้นไม่ให้อิสลามเติบโตขึ้นมา
บรรดาผู้นำโลกตะวันตกพยายามตะโกนบอกให้ใช้ความพยายามในการทำลายอิสลามทุกรูปแบบ จะด้วยการใส่ไคล้ต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม (ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่พวกเขาทำกันมากที่สุด) สร้างลัทธิที่เป็นบ่อนมาทำลายหลักการอิสลาม การพยายามทำลายคัมภีร์อัลกุรอานในรูปแบบต่างๆ บิดเบือนหลักธรรมคำสอนอิสลาม นำเสนอภาพที่แสดงถึงความทารุณโหดเหี้ยมของมุสลิม มุสลิมชอบความรุนแรง มุสลิมะฮฺถูกกดขี่ข่มเหง ขาดอิสรภาพ ถูกลิดรอนสิทธิแห่งมนุษยชน หรือภาพความขัดแย้งของโลกมุสลิม ในที่สุดอิสลามกลายเป็นศาสนาที่น่าหวาดกลัวและน่ารังเกียจมากที่สุด
ถามว่าที่มาของภาพการเยาะเย้ยล้อเลียนท่านนบีมุฮัมมัดครั้งแล้วครั้งเล่าที่ปรากฏตามหน้าสื่อสาขาต่างๆ มาจากไหน? ใครเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง?
มีใครบ้างที่ต้องการทำลายศาสนาที่ตัวเองนับถือ? หรือมีมุสลิมคนใดบ้างที่ต้องการทำลายศาสนาอิสลามของตนเอง?
คงจะไม่มีคำวิสัจนา(คำถาม).. หรือไม่จำเป็นต้องตอบคำปุจฉา(คำตอบ)นี้แต่ประการใดเลย..
เพราะวันนี้กลไกของสื่อ หรืออำนาจสื่อทั้งหมดอยู่ภายใต้การครอบครองของกาฟิร (กลุ่มชนผู้ปฏิเสธการศรัทธา) ฉะนั้นไม่เป็นเรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะใช้ สงครามสื่อ เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างอิสลามและทำร้ายมุสลิม แต่..ความพยายามอย่างหนักหน่วงของพวกเขาไม่สามารถทำอะไรแก่ศาสนาอิสลามและโลกมุสลิมได้มากมายนัก เหมือนอย่างที่พวกเราเห็นและเป็นอยู่
ในขณะที่แผนการในการทำลายล้างอิสลามยังคงดำเนินต่อไป แต่..ในอีกฟากหนึ่งที่พวกกาฟิรต้องจำนนต่อความเป็นจริงที่มีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวสรรเสริญยกย่องต่อท่าน และส่วนหนึ่งจากคำสรรเสริญยกย่องของชาวโลก หรือกาฟิรที่มีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนี้
1. Michael Hart ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา The 100 : A Ranking of the Most Influential Persons in History "100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลตลอดกาล" (หน้าที่ 13) เขาได้จัดให้นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม อยู่ในอันดับแรก โดยกล่าวว่า"เพราะมุฮัมมัดเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านทางโลกและทางด้านศาสนา
2. George Bernard Shaw ชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของงานเขียนที่ชื่อว่า มุฮัมมัด ซึ่งในเวลาต่อมาผู้มีอิทธิพลในอังกฤษได้เผาทำลายหนังสือเล่มนี้ทิ้ง เขากล่าวว่า"แท้จริงโลกนี้มีความต้องการนักคิดแบบมุฮัมมัด แต่ทว่าเพราะความงมงายและคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ทำให้บรรดานักวิชาการศาสนาในศตวรรษกลางได้ให้ร้ายป้ายสีต่อมุฮัมมัด พวกเขาได้วาดภาพของศาสดามุฮัมมัดเป็นสีเทาและพวกเขาหาว่ามุฮัมมัดเป็นศัตรูของคริสเตียน แต่สำหรับฉันได้พบว่าในศาสนามุฮัมมัดมีหลายคำตอบ และฉันก็ได้พบว่าท่านไม่ได้เป็นศัตรูของคริสต์ แต่นับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียกมุฮัมมัดว่าเป็นผู้ปลดปล่อยสู่ความเป็นมนุษย์ และในความเห็นของฉันหากมุฮัมมัดได้เป็นผู้ปกครองโลกในวันนี้ แน่นอนเขาจะแก้ปัญหาด้วยความสันติสุข ตามที่มนุษยชาติต่างเรียกร้องเพรียกหา"
3. Annie Besant กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้เลยกับผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของนบีชาวอาหรับ และรู้ถึงวิถีชีวิตของเขาอย่างละเอียดในทุกแง่มุม นอกจากเขาจะรู้สึกนับถือต่อท่านนบีผู้นี้ว่าเขาเป็นศาสนาทูตแห่งอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่"
4. Schabrak ชาวออสเตรียน กล่าวว่า"แท้จริงมนุษยชาติมีความภาคภูมิใจที่มีบุรุษอย่างมุฮัมมัด เพาะว่าเขาสามารถนำบทบัญญัติมาให้เราได้ตั้งสิบกว่าศตวรรษมาแล้วในขณะที่ตัวเองอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และพวกเราชาวยุโรปจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดหากเราได้ก้าวขึ้นเป็นเหมือนกับความสุดยอดของเขา"
5. Dr.Zwemer นักบูรพาคดีชาวแคนาดา กล่าวว่า"แท้จริงมุฮัมมัดเป็นนักปฏิรูปที่มีความสามารถ มีวาทศิลป์และมีความฉะฉาน กล้าหาญ เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ และไม่เป็นการบังควรที่พวกเราจะกล่าวหาพาดพิงท่านด้วยสิ่งที่ค้านกับคุณลักษณะเหล่านี้ อัลกุรอานที่เขานำมาและประวัติของเขาเป็นสิ่งการันตีได้เป็นอย่างดียิ่งถึงสิ่งที่เรากำลังกล่าวอ้างนี้"
6. Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลกล่าวไว้ในหนังสือ Heroes "วีรบุรุษ ของเขาว่าเป็นเรื่องน่าละอายมาก สำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันที่กล่าวหาว่าศาสนาของอัลลอฮฺเป็นศาสนาจอมปลอม และนบีมุฮัมมัดเป็นคนโกหกหลอกหลวง ตลอดการดำเนินชีวิตของเขาพวกเราพบได้ว่าเขามีความหนักแน่นในเจตนารมณ์และอุดมการณ์ มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ มีจิตใจที่เผื่อแผ่และเมตตา มีความยำเกรง เปี่ยมล้นด้วยศักดิ์ศรี อิสรภาพ เป็นบุรุษผู้ที่มีความจริงจัง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความอบอุ่น เป็นกัลยาณมิตรแก่ผู้ที่อยู่ร่วมและพบเห็น ยิ่งกว่านั้นในบางครั้งยังพบว่าเขาเป็นคนชอบหยอกล้อ เป็นคนที่มีความยุติธรรมอย่างสูง มีความมุ่งมั่น ชาญฉลาด ตัดสินใจฉับไว เป็นเสมือนผู้จุดเทียนที่คอยส่องแสงสว่างในยามกลางคืนอันมืดมิด ที่เต็มเปี่ยมด้วยแสงรัศมีอันเจิดจรัส เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ ไม่เคยผ่านระบบโรงเรียน ไม่มีครูผู้สอน เพราะเขาไม่ได้มีความจำเป็นอันใดต่อสิ่งเหล่านั้นเลย
7. Goethe กวีชาวเยอรมัน กล่าวว่า"เราชาวยุโรปตามนัยยะแห่งตัวตนของพวกเราทั้งหมด ยังไม่มีหนทางที่จะเข้าถึงเหมือนที่มุฮัมมัดเข้าถึง และคงไม่มีใครสามารถล้ำหน้าเกินเขาได้ แท้จริงฉันได้ค้นคว้าถึงตัวอย่างอันสูงส่งแห่งมวลมนุษยชาติจากหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และฉันได้พบว่าสิ่งนั้นมีปรากฏอยู่ในตัวของศาสนทูตมุฮัมมัด เช่นนี้แหล่ะที่สัจธรรมควรจะต้องโดดเด่นและสูงส่ง เหมือนที่มุฮัมมัดประสบความสำเร็จในการสยบโลกทั้งผองภายใต้ถ้อยคำแห่งเตาฮีด (การมอบความเป็นเอกภาพให้แก่อัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว)"
นี่เป็นเพียงการสรรเสริญยกย่องเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกแสนล้านคำสรรเสริญเยินยอที่ออกมาจากลมปากของชาวกาฟิรที่พวกเขาต่างยอมจำนนต่อความเป็นจริงที่ตำตาอยู่ หากเป็นดังที่เราได้กล่าวผ่านมา มันจึงเป็นหน้าที่ของมวลมนุษยชาติทั้งมวลโดยไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับพวกเขา นอกจากต้องยอมรับหรือต้องยอมศิโรราบต่อความยิ่งใหญ่ของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ในกลุ่มพวกเขาทั้งหลายให้อยู่เหนือความยิ่งใหญ่อันใด จะต้องยอมรับถึงความประเสริฐของท่านเหนือความประเสริฐอันใด ให้เกียรติต่อท่านเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด นับเป็นความจำเป็นสำหรับชาวโลกทั้งผองที่จะต้องศรัทธาต่อสาส์นของท่านบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงได้แต่ประการใดถ้าเป็นอย่างนั้นต้องรีบพิสูจน์กันแล้วกระมัง!!!...
ด้วยจิตอันคาราวะ
โดย ยุซุฟ อบูบักรฺ