ความเร้นลับแห่งพลังของมุสลิม
เมื่อชนมุสลิมได้เริ่มแผ่ขยายแสนยานุภาพทางทหารเพื่อปูทางสู่การเรียกร้องเชิญชวนสู่ศาสนาอิสลามยังแว่นแคว้นรายรอบที่มีเส้นพรหมแดนประชิดกับอาณาเขตรัฐอิสลาม ซึ่งการใช้มาตรการทางทหารของรัฐอิสลามนั้นถือเป็นมาตรการสุดท้าย และมุ่งเป้าสู่การทำลายปราการขวางกั้นการเผยแผ่ศาสนาอิสลามของอำนาจ อยุติธรรมในชนชั้นปกครองและนักการศาสนาที่ครอบงำพลเมืองซึ่งเมื่อปราการแห่งอำนาจอยุติธรรมถูกทำลายลง รัศมีแห่งอัลอิสลามก็จักซึมซับเข้าสู่หัวใจของพลเมือง โดยแรกเริ่มอาจเกิดจากการมองเห็นถึงระบบรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของอิสลามว่าเป็นสิ่งงดงามและทำให้พลเมืองเหล่านั้นซึ่งเคยถูกกดขี่มีความเสมอภาพและเสรีภาพในสังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน กอรปกับได้พบเห็นคลุกคลีกับเหล่าทหารทกล้าผู้ศรัทธามั่นต่ออิสลามซึ่งยอมพลีชีพเพื่อนำอิสลามมาสู่พลเมืองเหล่านั้น ตลอดจนได้รับความเป็นธรรมจากผู้ปกครองมุสลิมที่เคร่งครัดและดำเนินตามวิถีทางแห่งศาสนา ความซึมซับเช่นนั้นจักค่อยแปรเปลี่ยนสู่ความศรัทธา ในที่สุดพลเมืองเป็นอันมากในดินแดนที่ถูกอิสลามพิชิตจึงปวารณาตัวและหัวใจของตนสู่ร่มเงาแห่งอัลอิสลาม นี่คือ ชัยชนะอันแท้จริงของอัลอิสลาม และเป็นชัยชนะที่ยืนยงจวบจนกาลอวสาน
ปราการที่ประหนึ่งดังอุปสรรคขวางกั้นการแผ่ขยายหลักธรรมคำสอนของอัลอิสลามอย่างสันติวิธีนั้นคือ ชนชั้นผู้ปกครองและนักการศาสนาซึ่งมีความผูกพันซึ่งกันและกันในการเกื้อหนุนอำนาจและผลประโยชน์ เมื่ออิสลามได้ถูกคุกคามและขัดขวางมิให้เผยแผ่อย่างสันติวิธีในหมู่พลเมือง กอรปกับนโยบายทางการเมืองทางการทหารของรัฐที่มิใช่รัฐอิสลามมีความเป็นปฏิปักษ์และมุ่งทำลายรัฐอิสลาม การปะทะกันจนถึงขั้นใช้กำลังทางทหารจึงจำต้องเกิดเพื่อสลายอำนาจอยุติธรรมนั้นให้หมดไปและเพื่อปลดแอกพลเมือง จากการครอบงำทางความคิดและการกดขี่รีดนาทาเร้นจากระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินา
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ของอิสลามในยุคต้น โดยเกิดการปะทะกันถึงขั้นรบพุ่งระหว่างชนชั้นปกครองของอภิมหาอำนาจของโลกในยุคนั้น อันได้แก่ โรมันไบแซนไทน์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ ณ นครคอนแสตนติโนเปิ้ล กับกองทัพธรรมของอัลอิสลามในปลายยุคสมัยของท่านศาสนทูต และบรรดาผู้สืบทอดตามระบอบคิลาฟะห์ทั้ง 4 ท่านและยังมีต่อมาหลายอีกร้อยปีหลังจากนั้น จักรวรรดิโรมันไบแซนไทน์ หรือโรมันตะวันออกได้เคยแผ่จักรวรรดิของตนครอบครองดินแดนของชาวอาหรับในแคว้นชาม (ซีเรีย) โดยอาศัยแสนยานุภาพทางทหารและศาสนาคริสต์ซึ่งถูกบิดเบือนเป็นฉากบังหน้า เมื่อศาสนาอิสลามอุบัติขึ้นในคาบสมุทรอาหรับและประดิษฐานลงอย่างมั่นคงแล้วนับตั้งแต่สมัยของท่านศาสนทูต
พวกโรมันก็เริ่มหวั่นวิตกต่อพลังของอิสลามซึ่งคุกคามต่ออำนาจของตนมากทุกทีจนกระทั่งมีการใช้นโยบายร่วมมือกับพันธมิตรอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์และสวามิภักดิ์ต่อโรมันเพื่อขัดขวางการแผ่ขยายรัศมีของอิสลาม สงครามตะบู๊ก ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนรอญับ ราวปี ฮ.ศ. ที่ 9 ในเขตอัลบัลกออ์ แคว้นชาม (ปัจจุบันอยู่ในจอร์แดน) ถือเป็นการปะทะกันระหว่างโรมันกับมุสลิมครั้งแรก และเมื่อเข้าสู่รัชสมัยของเหล่าคอลีฟะห์ผู้สืบทอดต่อจากท่านศาสนทูต โดยเฉพาะในสมัยของท่านอบูบักร และท่านอุมัร สงครามขับเคี่ยวระหว่างสองฝ่ายได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจำนวนกำลังพลฝ่ายมุสลิมจะมีน้อยกว่าและตกเป็นรองเสมอ แต่ด้วยพลังแห่งอัลอิสลาม ชัยชนะได้ตกเป็นของฝ่ายมุสลิม และจากการพ่ายแพ้ปราชัยของกองทัพโรมันในเกือบทุกสมรภูมิตลอดจนการสูญเสียอาณาเขตแก่ฝ่ายมุสลิม
จักรพรรดิเฮราคลีอุส (หรือที่ชาวอาหรับขนานนามว่า ฮิรอกล์) จึงได้มีบัญชาเรียกเหล่าแม่ทัพนายกองโรมันเข้าเฝ้าขณะพระองค์บัญชาการรบในแคว้นชาม
จักรพรรดิเฮราคลีอุสได้ถามพวกนั้นว่า : ใครกัน! ที่พวกท่านทำการสู้รบด้วย พวกนั้นมิใช่มนุษย์อย่างพวกท่านกระนั้นหรือไร?
สิ้นคำถามในเชิงตำหนิของจักรพรรดิแม่ทัพใหญ่ฝ่ายโรมันก็ลุกขึ้นกล่าวว่า :
ข้าพระองค์จักขอบอกให้ทราบว่า พวกนั้นน่ะเป็นมนุษย์เหมือนพวกเราไม่ผิดเพี้ยน แต่พวกเขาก็หาได้เหมือนมนุษย์ธรรมดาไม่! เพราะพวกเขาจะเป็นดั่งนักพรตผู้บำเพ็ญศีลในยามค่ำคืน และเป็นอัศวินผู้ทแก้วกล้าในเพลากลางวัน พวกเขาจะทำการนมัสการ ถือศิลอด และไม่ดื่มสุราเมรัย อีกทั้งยังไม่ผิดประเวณีหรือล่วงละเมิดในกามคุณ หากมาตรแม้นว่า บุตรกษัตริย์ของพวกเขาได้ลักขโมยแล้วล่ะก็ แน่นอกพวกเขาก็จักตัดมือผู้นั้นโดยมิละเว้น และแต่ละคนจากพวกนั้นล้วนแต่ปรารถนาที่จะตายในสมรภูมิก่อนพี่น้องของเขา
เมื่อแม่ทัพใหญ่โรมันสาธยายสรรพคุณของเหล่าทหารมุสลิมให้เป็นที่ทราบเบื้องพระที่นั่งแล้ว จักรพรรดิเฮราคลีอุสจึงกล่าวว่า : ขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า หากมาตรแม้นว่าพวกทหารมุสลิมเป็นดังที่ท่านแม่ทัพว่าแล้ว แน่นอนพวกนั้นจะได้ครอบครองที่วางพระบาททั้งสองของข้าเป็นแน่แท้
ชาวมุสลิมในยุคนั้นเป็นดังเช่นที่แม่ทัพใหญ่โรมันได้บอกกล่าวต่อจักรพรรดิเฮราคลีอุส มิผิดเพี้ยน และคำสาบานของจักรพรรดิก็เป็นจริงในเวลาต่อมา กองทัพธรรมของชนมุสลิมก็ได้ครอบครองอาณาเขตที่เคยตกอยู่ภายใต้พระบาทของจักรพรรดิ อันได้แก่ แคว้นชามทั้งหมด (ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน ปาเลสไตน์) และจักรพรรดิโรมันผู้เกรียงไกรก็ต้องถอนทหารออกจากดินแดนดังกล่าวในที่สุด ซึ่งจักรพรรดิได้กล่าวคำอำลาแคว้นชามก่อนเดินทางสู่เมืองไบแซนไทน์ในฐานะผู้ปราชัยว่า ศานติจงมีแด่เธอ โอ้ ซีเรีย เป็นศานติและคำอำลาที่คงไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล
นี่คือ ความเร้นลับแห่งพลังของมุสลิม ซึ่งมิใช่อื่นใดนอกจากความศรัทธาในหลักความเชื่ออันมั่นคง และการปฏิบัติจริงตามหลักการของศาสนา ทั้งในรูปของการนมัสการ การถือศีลอด การบำเพ็ญศีล ความยุติธรรม และการปลีกตนห่างไกลจากสิ่งที่เอกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามไว้ทั้งเรื่องการดื่มสุรา การผิดประเวณีและอื่น ๆ และทั้งหลายทั้งปวงเราสามารถสรุปได้ถึงการยึดมั่นในหลักศรัทธาของมุสลิมอย่างมั่นคง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ท่านศาสนทูต ได้ทรงบ่งชี้เอาไว้ในพระวจนะของพระองค์ว่า : พระผู้อภิบาลได้ทรงมีพระดำรัสว่า
โอ้ มุฮัมมัดเอ๋ย เมื่อข้าได้ลิขิตแล้วการลิขิตนั้นย่อมมิอาจทัดทานได้
และข้าได้มอบให้แก่ท่านซึ่งสัญญาแก่ประชาชาติของท่านว่า ข้าจักมิให้พวกเขาวิบัติด้วยความแห้งแล้งกันดารเป็นแรมปี
และข้าจักมิให้ศัตรูมีชัยและมีอำนาจเหนือพวกเขา นอกเสียจากตัวของพวกเขาเอง
โดยศัตรูมิอาจทำลายล้างย่ำยีดินแดนของพวกเขาได้เลย ถึงแม้ศัตรูจากทั่วทุกสารทิศจักร่วมกันรุกรานพวกเขาก็ตาม
นั่นหมายถึงว่า
หากมนุษยชาติทั้งหมดได้ร่วมมือกันทำลายล้างต่อต้านชนมุสลิม พวกนั้นก็มิอาจสร้างผลอันใดแก่มุสลิมได้
ตราบใดที่ชนมุสลิมสามารถกำหราบเอาชนะจิตใจและตัวของพวกเขาเองอีกทั้งยังปฎิบัติตามคำบัญชาใช้ของพระองค์และยุติละเลิกจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้าม
ตราบใดที่มุสลิมยังมีคุณลักษณะเช่นที่ว่านี้ ตราบนั้นพลังความเข้มแข็งก็ยังเป็นของมุสลิม
โดย อ.อาลี เสือสมิง