ความเข้าใจผิดบางประการเกี่ยวกับสตรีในอิสลาม
ขอยกบางประเด็นซึ่งเป็นข้อสงสัยของบางกลุ่มเพื่อโจมตี และทําลายภาพพจน์อันดีงามของอิสลามเกี่ยวกับสิทธิของสตรี เรื่องข้อสงสัยดังกล่าวนี้ถูกนําเสนอและถกเถียงกันอย่างแพร่หลายในงานพบปะหรืองานสัมมนาซึ่งล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์แอบแฝงลึกเกินกว่าที่จะให้ความอิสระจอมปลอมแก่สตรีเสียอีกทําไมพวกเขาไม่พูดคุยเรื่องสิทธิของเด็กๆ หรือ ไม่ก็สิทธิของคนพิการ หรือคนว่างงาน หรือคนด้อยโอกาสทั้งชายหญิงซึ่งถูกคุกคามด้านศาสนา การเป็นอยู่ บ้านเรือนของพวกเขาถูกยึดแล้วถูกขับไล่ที่เราเห็นในหลายๆ ที่ ทําไมไม่มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพื่อร้องขอสิทธิของพวกเขาจากบรรดาโจรที่คอยดูดเลือดประชาชน แล้วทําไมพวกเขาไม่ยกอ้างนอกจากประเด็นที่พวกเขาเชื่อว่าจะเกิดผลเสียในความคิดของคนที่ไม่เข้าใจและไม่รับรู้สิ่งที่แท้จริงเกี่ยวกับอิสลาม ทว่าประเด็นต่างๆ ที่สมควรจะมาเรียกร้องกลับถูกลืมอย่างสิ้นเชิง
เราขอกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของพวกเขาพอสังเขปดังนี้ :
สร้างกระแสในสังคมที่เกี่ยวกับอิสลามหรือประเด็นอื่นๆ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของกลุ่มผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะเป้าหมายหลักของพวกเขาคือ สร้างกระแสในสังคม และขจัดพลังของสังคม และชักชวนคนในสังคมไปสู่ประเด็นที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ แต่ที่ไหนได้ ตามความเป็นจริงแล้วพวกเขากําลังละทิ้งประเด็นที่สําคัญมากกว่านั้น พวกเราในฐานะมุสลิมทั้งหลายเชื่อและขอยํ้าว่า ประเด็นเหล่านั้นไม่สมควรที่จะกุขึ้นมาเป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน เพราะอิสลามได้ยุติมันและได้อธิบายมันอย่างชัดแจ้งแล้วดังนั้นพวกเขาต้องการที่จะแสดงตนให้ดูเหมือนคนที่ตักเตือนและแสวงหาความสัจธรรมเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรี แล้วดึงตัวพวกนางให้เข้าในแถวเดียวกันกับพวกเขา โดยที่พวกนางเปรียบเสมือนหมากบนกระดานที่พวกเขาบังคับได้ตามความต้องการ สุดท้ายก็เอาตัวพวกนางเป็นเหยื่อสําหรับคนที่ต้องการล่าตัวของพวกนางหรือ แย่งชิงพวกนางให้อยู่ในแถวเดียวกันกับพวกเขา
ต้องการที่จะกระจายความเสื่อมเสียและความชั่วร้ายให้กับสังคม เพราะสังคมที่แพร่ระบาดด้วยสิ่งชั่วร้ายและสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างความเสื่อมเสียแก่จริยธรรมอันดีงามง่ายแก่การล่าอาณานิคมและการยึดครองทรัพย์สมบัติอันลํ้าค่าเพื่อผลประโยชน์ของเหล่าศัตรูและกลุ่มคนที่ถูกความโลภครอบงํา สืบเนื่องจากพลังแห่งมนุษย์ที่เปรียบเสมือนเกราะที่คอยปกป้องถูกทําลายไป ณ สถานที่บันเทิงและหลุมบ่อแห่งความสุขส่วนตัวอย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งมันห่างไกลจากความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งในด้านการเงินและด้านสังคม ตามที่ Ph.D Henry Makow ได้กล่าวว่า :แท้จริงแล้วการทำสงครามของโลกตะวันตกที่มีต่อประชาชาติอาหรับและอิสลาม ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง อารยธรรมและจริยธรรม เพราะสงครามที่ว่านี้ได้มุ่งไปที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่าของประชาชาติ ตลอดจนการยึดครองสิ่งที่มีค่าที่สุดสําหรับพวกเขา นั่นคือ ศาสนา ซึ่งเป็นคลังสําคัญทางวัฒนธรรมและจริยธรรม สําหรับสตรีแล้วคือการเปลี่ยนแปลงจากการปิดหน้าไปยังสภาพการเปลือยกาย
การให้ความสําคัญแก่สตรีนั้น ถ้าพวกเขาจริงใจไม่เพียงแค่การเรียกร้องเพื่อสิทธิของเธอในบางวัยเท่านั้นแล้ว แต่วัยต่างๆ ของเธอกลับถูกทอดทิ้งละเลยไม่มีใครมาเลียวแล ดังที่เห็นว่าสิทธิของเธอในฐานะแม่อยู่ไหนเหตุใดไม่มีการเรียกร้อง และไหนเล่าสิทธิของเธอในวัยชราซึ่งเป็นวัยที่เธอต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
อิสลามถือว่า การทําดีต่อสตรีโดยเฉพาะในวัยที่เธอแก่ชรานั้น เป็นผลบุญที่ทําให้เราได้ใกล้ชิดพระเจ้า - สาเหตุเช่นนี้แหละที่ทําให้จํานวนหญิงชราเพิ่มขึ้นสูงในประเทศที่เรียกร้องเพื่อความอิสระและปกป้องสิทธิความชอบธรรมของสตรี มันช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินกับการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถเรียกร้องสิทธิของเธอกลับคืนมาได้ โดยที่เขากระทำไปด้วยความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ เขาย่อมได้รับผลตอบแทนและความโปรดปรานจากพระองค์
น่าแปลกใจนักที่เห็นวารสารหลายๆ ฉบับล้วนแล้วแต่นำเสนอรูปผู้หญิงสาวสวยๆ แต่ลืมรูปหญิงในวัยอื่นๆ ที่สวยเหมือนกันหรือรูปหญิงอื่นในวัยชรา พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่สตรีหรือ ? หรือมันเป็นการล่าเหยื่อหรือการเสนอสินค้าโดยอาศัยสตรีและฐานะของเธอเป็นเครื่องมือกันแน่. !!??
ความเกลียดชังของกลุ่มผู้ที่นับถือศาสนาอื่นที่มีอคติต่อศาสนาอิสลามและคนมุสลิมทั่วไป แซมมวล ซวิมเมอร์ หัวหน้าสโมสรมิชชันนารี กล่าวต่อหน้าบรรดามิชชันนารีในงานสัมมนาเมืองกุดส์ ปี 1935 ว่า : งานสําคัญของการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่หลายๆ ประเทศคริสเตียนฝากไว้กับพวกคุณมิใช่เฉพาะเพื่อต้องการให้พวกมุสลิมเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพราะการเข้ารับคริสเตียนถือว่าเป็นของขวัญสําหรับพวกเขามากกว่า แต่งานสําคัญของพวกคุณคือการทําให้พวกเขาออกจากศาสนาอิสลาม ... ให้พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างซึ่งไร้ความผูกพันใดๆ กับพระเจ้า...ต่อไปพวกเขาจะไม่มีความผูกพันใดๆ ที่เชื่อมต่อกับจรรยามารยาทที่หลายๆ ประชาชาติได้ยึดมันมาใช้ในการดํารงชีวิต...ดังนั้น งานของพวกคุณในลักษณะนี้ถือว่า เป็นประตูสู่การพิชิตประเทศราชในหลายๆ ประเทศมุสลิม
และอีกคนกล่าวว่า : เมื่อไหร่ที่เราเอาสตรีออกนอกบ้าน เมื่อนั้นแหละเราได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่พวกเราต้องการ !...
พวกเขาไม่ต้องการนอกจากเพื่อกระจายความเสื่อมเสีย และความชั่วร้ายจนกระทั่งการยึดครองประเทศและพลเมือง ดังนั้นการกระทําของพวกเขาแท้จริงแล้วคือ ต้องการโจมตีอิสลาม และเสนอจุดบกพร่องพร้อมด้วยประเด็นต่างๆ ที่น่าสงสัยโดยหวังที่จะสร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพพจน์อันดีงามของอิสลาม และพวกเราไม่พบการเป็นศัตรูในลักษณะนี้นอกจากต่ออิสลามและผู้นับถืออิสลามเท่านั้น
ดังที่พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿وَلَن تَرْضَى عَنكَ الْيَهُودُ وَلاَ النَّصَارَى حَتَّى تَتَّبِعَ مِلَّتَهُمْ قُلْ إِنَّ هُدَى اللهِ هُوَ الْهُدَى وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءهُم بَعْدَ الَّذِي جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ مَا لَكَ مِنَ اللهِ مِن وَلِيٍّ وَلاَ نَصِيرٍ﴾ (البقرة : 120 )
ความว่า และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา
จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้นคือทางนำที่แท้จริง
แน่นอน ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มาแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้
จุดมุ่งหมายของการนำเสนอประเด็นที่เป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับสตรีในอิสลามเป็นระยะๆ นั้น คือการดึงตัวนางให้ออกห่างจากความบิรสุทธิ์และเกียรติของนาง จนทําให้นางต้องตกหลุมพรางแห่งความชั่วร้ายและต้องสูญเสียมารยาทอันงดงามไป ด้วยการเอาสตรีตะวันตกมาเป็นต้นแบบที่นางสมควรปฏิบัติตาม ดังนั้น ขอให้แต่ละคนถามตนเองและพิจารณาสมองตนเองว่า ทั้งมุสลิมะฮฺ และไม่ใช่มุสลิมะฮฺ สิ่งที่สตรีแถบตะวันตกในยุคปัจจุบันได้นําเสนอมันคือภาพลักษณ์ของสตรีที่น่าชื่นใจและเหมาะสมกับเพศสตรี หรือมันเป็นภาพลักษณ์ที่น่าสลดใจยิ่ง ??Ph.D Henry Makow ได้กล่าวว่า :
แท้จริงแล้ว สตรีหนึ่งคนในอเมริกากำลังใช้ชีวิตอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งผู้ชายหลายคนเป็นสิบๆ ต่างรู้จักเธอก่อนแต่งงาน และเธอต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ไปทั้งๆ ที่มันคือส่วนหนึ่งแห่งแรงดึงดูดความสนใจในตัวเธอ ทำให้เธอต้องกลายเป็นสตรีที่มีจิตใจแข็งกระด้างไม่สามารถที่จะสัมผัสกับความรักได้อีก จากการสำรวจสตรีในอเมริกาพบว่า ตัวของเธอกําลังเอนเอียงไปยังพฤติกรรมของเพศชาย เป็นเหตุทําให้พวกเธอกระวนกระวายงุ่นง่านไม่สามารถที่จะเป็นภรรยาหรือแม่ได้ ดังนั้นเธอจึงมีฐานะเพียงแค่เครื่องผ่อนคลายความสุขทางเพศเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความรักหรือการคลอดบุตร
แท้จริงแล้ว ช่วงระยะเวลาการเป็นเเม่คือ จุดสูงสุดแห่งการเจริญวัยของมนุษย์ ซึ่งเป็นวัยที่มนุษย์เริ่มปลีกห่างจากหลุมแห่งความใคร่ใฝ่ตํ่าจนกระทั่งเราเป็นบ่าวที่ภักดีต่ออัลลอฮฺ ...เป็นการเรียนรู้และการดำรงชีวิตในมุมใหม่ ต่างกับระบบความเป็นอยู่ในโลกปัจจุบันซึ่งไม่ปรารถนาให้เราถึงจุดแห่งการเจริญวัยที่สมบูรณ์แบบได้ แต่สิ่งที่สังคมในโลกปัจจุบันต้องการก็คือ การทำให้มนุษย์มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง กระหายแต่การร่วมเพศ และจะเสนอให้เราเห็นแต่แง่มุมการมีชีวิตที่น่าอับอายแทนการมีชีวิตด้วยการสมรส
มนุษย์ผู้มีสติปัญญาทุกคนย่อมทราบดีว่า การฉวยโอกาสกับเพศตรงข้ามอย่างสตรีเพราะความสวยงามของนางนั้น เมื่อใดที่ความสวยของนางจางหายไปนางก็จะถูกโยนทิ้งอย่างไร้คุณค่า พวกเขาพยายามดึงพวกนางมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกัน ซื้อขายพวกเธอในโลกของสื่อหลากหลายชนิดทั้งสิ่งตีพิมพ์ สิ่งที่ฟังได้ หรือ มองเห็นกับตาได้ จะเห็นได้ว่าพวกนางเป็นแค่สินค้าเพื่อเสพสุขทางเพศหรือเพื่อตอบสนองความใคร่เท่านั้น
พวกเขาเหล่านี้แหละที่ทําลายชีวิตหญิงสาว ทําลายชีวิตของภรรยา อกตัญญูต่อสตรีผู้เป็นแม่ พวกเขานี่เองที่ประพฤติไม่ดีต่อเพื่อนบ้านด้วยกัน และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาคือบรรดาผู้ที่กลืนกินสิทธิความชอบธรรมของสตรี พวกเขาลิดรอนความอิสระของพวกนางจนทําให้พวกนางเข้าสู่เวทีแห่งความชั่วร้าย เคยครุ่นคิดถึงคํากล่าวของท่าน ศาสนทูตของอัลลอฮฺบ้างไหม ซึ่งท่านเคยกล่าว
ความว่า พวกเจ้าจงตักเตือนระหว่างกัน เพื่อให้ทำดีกับเหล่าสตรีอยู่เสมอ
ความตกต่ำของสถานภาพสตรีชาวตะวันตกตลอดจนความเป็นอยู่ของนางที่เราเห็นกับตาในสังคมปัจจุบันนี้ เป็นผลมาจากความอิสระอันเกินขอบเขต ซึ่งสืบเนื่องจากการที่สตรีถูกนําเสนอในโบสถ์ในยุคกลาง เป็นหลักการที่ขัดศีลธรรมและอธรรมต่อสิทธิความชอบธรรมของกุลสตรี เหล่าผู้เเสวงหาผลประโยชน์เเละความโลภ ต่างฉกฉวยโอกาสนี้เพื่อปรับเปลี่ยนสมาชิกสังคมให้มีอิสระเต็มที่ปราศจากจรรยามารยาทเเละหลักการใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต่อไปพวกเขาพร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของเหล่าศัตรู
อิสลามนั้นไม่มีการอธรรมต่อสตรีเเละไม่ลิดรอนสิทธิของเธอ เเต่อิสลามจะยินยอมให้นางอยู่ในฐานะเสมือนชายในทุกเรื่อง ยกเว้นในประเด็นที่เพศชายเหนือกว่าเพศหญิงเนื่องจากความแตกต่างทางด้านโครงร่างและจิตใจเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เพราะทั้งสองไม่ใช่เพศเดียวกัน ดังนั้น ข้อเเตกต่างระหว่างทั้งสองจะถูกวางอยู่บนรากฐานดังที่ว่านี้
Dr. G. Lebon กล่าวในหนังสือของท่าน (วัฒนธรรมอาหรับ) ว่า :ถ้าเราต้องการรู้ระดับอิทธิพลของอัลกุรอานต่อเรื่องราวของสตรีแล้ว เราจําเป็นต้องมองสถานภาพของนางในสมัยที่อารยธรรมอาหรับกําลังรุ่งเรือง ตามที่นักประวัติศาสตร์รายงานมาว่า บรรดาสตรีในยุคนั้นมีฐานะที่น่าชมเชย เนื่องจากชาวยุโรปเหล่านั้นได้นําเอาแนวคิดและเรื่องราวเกี่ยวกับการให้เกียรติสตรีมาจากชาวอาหรับ ดังนั้นอิสลามเท่านั้น ที่ยกระดับของสตรีจากฐานะที่ตํ่าต้อยสุด ผิดกับความเชื่อที่เขาลือกัน
ถ้าท่านคิดย้อนหลังไปถึงชนชาวคริสต์สมัยต้นของยุคกลาง ท่านจะพบว่าพวกเขามิได้ให้เกียรติสตรีเลย ถ้าท่านได้พลิกอ่านหนังสือหลายๆ เล่มในประวัติศาสตร์สมัยดังกล่าวท่านจะพบสิ่งที่ทําให้ท่านหายข้องใจในเรื่องนี้ และท่านจะได้รู้ว่าเหล่าเผด็จการในสมัยนั้นช่างโหดเหี้ยมกับสตรีเหลือเกิน ก่อนที่พวกคริสเตียนจะเรียนรู้ระเบียบการคลุกคลีกับเหล่าสตรีจากชาวอาหรับเสียอีก ...
ทุกคนที่มีสติสมบูรณ์ตามธรรมชาติย่อมปฏิเสธที่จะให้เกียรติและศักดิ์ศรีของเขาถูกทําให้ป็นสินค้าอย่างหนึ่งเพื่อสนองตอบความต้องการของเหล่ามนุษย์ที่เปรียบเหมือนหมาป่าทั้งหลาย ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาเพียงแค่การสนองตอบอารมณ์ของพวกเขาเยี่ยงสัตว์เท่านั้น
เหล่าสตรีผู้มีสติครบสมบูรณ์ตามธรรมชาติก็เช่นเดียวกันย่อมปฏิเสธที่จะเป็นเสมือนสินค้าที่แลกเปลี่ยนในการซื้อขาย หรือเป็นเสมือนดอกไม้ที่ถูกดมโดยคนทั่วไปซึ่งเมื่อไหร่ที่พวกเขาบรรลุความปรารถนาแล้วพวกเขาจะทิ้งเธอไปให้อยู่อย่างเหี่ยวแห้งเเละไร้คุณค่า จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าสิ่งที่อิสลามเน้นและสนับสนุนนั้นชัดแจ้งและสมเหตุสมผลตามธรรมชาติของมนุษย์ในการพิทักษ์เหล่าประชาชาติอิสลาม เป็นการส่งเสริมที่งอกงามมาจากระบบการดูแลรายบุคคลที่อยู่บนฐานแห่งความห่วงใย
ดังนั้น ครอบครัวในอิสลามจึงอบรมบุตรหลานที่เป็นสตรีทั้งหลายให้รู้จักการสงวนตัว รักษาความบริสุทธิ์และการรักในเกียรติและศักดิ์ศรี สิ่งที่อิสลามสนับสนุนและส่งเสริมถือว่าสมบูรณ์แบบเเละมาจากระบบการดูแลรายบุคคลบนพื้นฐานเเห่งความห่วงใย ซึ่งโดยระบบนี้จะสามารถควบคุมพฤติกรรมของแต่ละคนได้
เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ อนุญาตให้ฉันทําซินาเถิด (กระทําผิดประเวณี ) !!!ผู้คนต่างหันมามองเขาเเละพยายามขับไล่เขา พวกเขาต่างส่งเสียงว่า มะฮฺ มะฮฺ (เตือนให้เขาหยุดเพราะความไม่พอใจ)
ท่านนบีกล่าวว่า เข้ามาใกล้ๆ สิ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ๆ ท่านได้บอกกับเขาว่า นั่งลงสิ
เมื่อเขานั่งลง ท่านได้ถามเด็กหนุ่มคนนี้ว่า เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับมารดาของเจ้าหรือไม่ ?
เขาตอบว่า : ไม่ ขอสาบานด้วยนามอัลลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน
ท่านนบีได้กล่าวว่า และเช่นเดียวกันนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ชอบที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับมารดาของเขา
แล้วท่านจึงถามต่อว่า เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับน้องสาวหรือพี่สาวของเจ้าหรือไม่ ?
เขาตอบว่า : ไม่ ขอสาบานด้วยนามอัลลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน
ท่านนบีกล่าวว่า และเช่นเดียวกันนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ชอบที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวหรือน้องสาวของเขา
แล้วท่านนบีได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับอาหญิงหรือป้าฝ่ายพ่อของเจ้าหรือไม่ ?
เขาตอบว่า : ไม่ ขอสาบานด้วยนามอัลลลอฮฺ ขอให้อัลลอฮฺทรงทําให้ตัวฉันเป็นผู้เสียสละแก่ท่าน
ท่านกล่าวว่า และเช่นเดียวกันนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ชอบที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับอาหญิงหรือป้าของเขา
แล้วท่านนบีได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับน้าสาวหรือป้าฝ่ายแม่ของเจ้าหรือไม่ ?
เขาตอบว่า : ไม่ ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮฺ ขอให้อัลลอฮฺทรงทําให้ตัวฉันเสียสละแก่ท่าน
ท่านกล่าวว่า และเช่นเดียวกันนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ชอบที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับน้าสาวหรือป้าของเขา
หลังจากนั้นท่านได้วางมือบนตัวเขา และอ่านดุอาอ์ ( ขอพร ) ความว่า โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงปลดบาปเขา และจงทําให้หัวใจของเขาสะอาด และจงสงวนอวัยวะเพศของเขาเถิด
หลังจากนั้นไป ชายคนนี้ไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
อับดุรเราะห์มาน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮฺ
แปลโดย : อิบนุ ร็อมลี ยูนุส / Islam House