ปีที่ 40 ปีแห่งการเริ่มต้นเป็นนะบี
  จำนวนคนเข้าชม  5584

ปีที่ 40 ปีแห่งการเริ่มต้นเป็นนะบี

       เป็นเวลา 40 ปีที่มุฮัมมัดมีชีวิตอยู่ท่ามกลางชาวอาหรับ  และมิได้เป็นที่รู้จักในฐานะของรัฐบุรุษ  นักเทศน์หรือนักพูด  ไม่มีใครเคยได้ยินว่ามุฮัมมัดได้แสดงสติปัญญาหรือความรู้ตราบจนกระทั่งท่านได้เริ่มงานที่ยิ่งใหญ่  ไม่เคยมีใครเห็นท่านสนทนาเกี่ยวกับเรื่องกฎของวิชาที่ว่าด้วยจิตของมนุษย์  หลักธรรมจรรยา กฎหมาย  การเมือง  เศรษฐกิจ สังคมวิทยา  และย่อมไม่ต้องพูดถึงการเป็นนายพล  เพราะไม่เคยมีใครรู้จักท่านในฐานะทหารหาญ  ท่านไม่เคยเอ่ยถึงพระผู้เป็นเจ้า  ทูตมลาอิกะฮ์  พระคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ท่านก่อน ๆ ชาติต่าง ๆ ที่ผ่านมา  วันตัดสินชีวิตหลังความตาย  นรกหรือสวรรค์ 

ถึงแม้ท่านนะบีจะเป็นผู้ดำรงลักษณะบุคคลิกภาพที่เป็นเลิศ  มีมารยาทนุ่มนวลและมีอารยธรรมสูงส่ง  แต่ก็ยังไม่มีลักษณะใดที่น่าสนใจและแปลกประหลาด ที่ทำให้กลุ่มชนทั้งหลายหวังจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือการเปลี่ยนแปลงที่มาจากท่านในอนาคต  คนที่รู้จักก็รู้แต่เพียงลักษณะที่สุขุม  สงบ  เรียบร้อย  และเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมายเท่านั้น  แต่เมื่อท่านออกมาจากถ้ำพร้อมกับสาสน์ใหม่  ท่านได้รับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน

               เมื่อท่านได้เริ่มเผยแผ่ความรู้  ชาวอาหรับทั้งชาติต่างตื่นกลัวประหลาดใจและเคลิบเคลิ้มไปด้วยสุนทรพจน์อันซาบซึ้ง ความรู้ที่กล่าวออกมานั้นเป็นข้อความซึ่งประทับใจ  จับใจเสียจนกระทั่งศัตรูของท่านขยาดกลัวที่รับฟัง  ด้วยเกรงว่าความรู้นั้นจะซึมซาบดื่มด่ำเข้าในส่วนลึกของจิตใจหรือแทรกซึมเข้าในทุกส่วนของร่างกายเข้าครอบงำตัวเขา และทำให้เขาต้องเลิกยึดถือประเพณีและศาสนาดั้งเดิม  ความรู้นั้นเป็นความรู้ที่หาที่เปรียบไม่ได้จนทำให้นักกวีทั้งอาระเบีย  นักเทศน์  และนักพูดที่มีความสามารถที่สุด  ไม่สามารถที่จะเรียงร้อยถ้อยคำหรือข้อความ  ให้มีภาษาที่ไพเราะเพราะพริ้งและงดงาม  เมื่อท่านศาสดาร้องขอให้ศัตรูช่วยกันคิดค้น นักกวีทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะแต่งเทียบเทียมได้แม้เพียงบรรทัดเดียวก็ตาม


สาสน์รวมของท่านนะบี

         ตั้งแต่นั้นมาท่านศาสดามุฮัมมัด ได้ปรากฏกายในฐานะนักปรัชญา นักปฏิรูปที่น่าพิศวง  ท่านเป็นแบบฉบับอันเลื่องลือของวัฒนธรรมและอารยธรรมการเมือง  เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรม เป็นนายพลที่หาคู่แข่งมิได้  บุรุษผู้ไร้การศึกษาเผ่าเบดูอิน ( บัดฺวี )  บุรุษผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทราย ปราศจากความรอบรู้และสติปัญญาชนิดที่ยังไม่มีผู้ใดกล่าวขานมาก่อน 

ท่านได้อธิบายปัญหาอันซับซ้อนของวิชาที่ว่าด้วยจิตใจมนุษย์  และศาสนศาสตร์  ท่านแสดงสุนทรพจน์เกี่ยวกับกฎของความเสื่อมและการสลายตัวของจักรวรรดิต่างๆ สนับสนุนทฤษฎีโดยการอ้างอิงถึงเรื่องราวรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ในอดีต  พิจารณางานของนักปฏิรูปท่านก่อน ๆ ท่านให้คำตัดสินศาสนาในโลกและให้การตัดสินเกี่ยวกับข้อขัดแย้งและปัญหาระหว่างชาติ 

สอนหลักจรรยาวินัยและกฎต่าง ๆ ของวัฒนธรรม ตั้งกฎทางสังคม  ตั้งระบบเศรษฐกิจ  ตั้งกฎแห่งความประพฤติของกลุ่มชนและกฎเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  การกระทำที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น  นักคิดหรือนักปราชญ์จะได้ความรู้เหล่านี้มาอย่างจริงจังก็ต่อเมื่อได้ทำการค้นคว้าตลอดชีวิต  และมีการประสบอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ  แท้จริงแล้วเมื่อมนุษย์ได้มีความรู้ทางศาสนศาสตร์และมีประสบการณ์ ความงดงามของความรู้เหล่านี้จะเผยตัวเองออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
 
              พ่อค้าผู้เงียบขรึมและรักสันติ ผู้ที่ไม่เคยจับดาบ  ไม่เคยฝึกฝนทางยุทธศาสตร์  เคยไปร่วมทางสงครามแต่เพียงในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้น  ในฉับพลันกลับกลายเป็นทหารกล้าผู้ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว  แม้กระทั่งในการรบที่น่าสะพรึงกลัว  ท่านได้กลายเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถพิชิตดินแดนอาระเบียทั้งดินแดนภายในเวลา 9 ปี 

อาวุธที่ใช้ในการสงครามยังล้าสมัยอีกทั้งการคมนาคมยังไม่สะดวกสบาย  ความเฉียบแหลมและประสิทธิภาพทางการทหารของท่าน  ค่อย ๆ วิวัฒนาการขึ้นจนสู่จุดสูงสุด  จิตใจอันหาญกล้าซึมซาบอยู่ในสายเลือดและฝึกฝนทางทหารให้แก่กลุ่มชนอาหรับที่ต่ำต้อย  ภายในเวลาไม่กี่ปีทหารอาหรับสามารถที่จะโค่นกำลังทางทหารที่น่ากลัว 2 กลุ่มลงได้และกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาต่อ

               บุรุษผู้ซึ่งเก็บตัวและเงียบขรึมอยู่ตลอดเวลา 40 ปีเต็ม ไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นเลยแม้แต่น้อยว่า  ได้ให้ความสนใจหรือเข้าร่วมปฏิบัติงานทางการเมือง  กลับปรากฏแก่สายตาของชาวโลกเป็นนักปฏิรูปการเมืองและรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  ได้ทำให้พลเมืองที่กระหายสงคราม  ป่าเถื่อน  ปราศจากวัฒนธรรมและหมกมุ่นอยู่ในการทำสงครามระหว่างเผ่าที่กระจัดกระจายกันอยู่ในทะเลทรายที่กว้างใหญ่  120,000 ตารางไมล์ สามารถเข้ามาร่วมกันภายใต้ประมุขคนเดียวกัน กฎหมายระบอบเดียว  อารยธรรมวัฒนธรรมเดียว และรัฐบาลหนึ่งเดียว

              ท่านได้เปลี่ยนแปลงแนวความคิดของชนเหล่านั้นตลอดจนอุปนิสัยและจรรยามารยาท  ท่านเปลี่ยนคนโง่ให้เป็นคนมีวัฒนธรรม  ท่านเปลี่ยนคนป่าเถื่อนให้เป็นคนอารยะ  เปลี่ยนผู้ประพฤติชั่วให้เป็นผู้ใจบุญ  เกรงกลัวในพระเจ้าและยึดมั่นแต่ในจริยธรรม  ความนอกคอกดื้อดึงของชนเหล่านั้น  ถูกเปลี่ยนให้เป็นการเชื่อฟังและเคารพต่อกฎระเบียบ  เป็นเวลาหลายศตวรรษที่อาหรับไม่เคยมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่เพียงผู้เดียว  แต่ภายใต้การนำและอิทธิพลของท่านนะบี  ได้ให้กำเนิดบุคคลที่สูงส่งซึ่งเดินทางไปทั่วมุมโลก  เทศนาและสั่งสอนศาสนา  จริยธรรมและอารยธรรม “ 1”

"1"  คงจะเป็นการทำให้เข้าใจกระจ่างขึ้น  ถ้าจะได้อ้างถึงคำกล่าวอันสำคัญของ  ญะอฺฟัรฺ  บิน-อบีฏอลิบ  ( Jafar Ibn Abi Tolib )  เมื่อความกดดันเหนือกลุ่มชนมุสลิมแห่งมักกะฮฺได้ขึ้นถึงขีดสุด  ศาสดามูฮัมมัด ก็ขอให้บางกลุ่มไปยังแคว้นอบิสสิเนีย ซึ่งมีดินแดนอยู่ใกล้ชิดกัน มีชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งได้อพยพไปยังที่นั้น  แต่ชนเผ่ากุร็อยชฺผู้ซึ่งกระทำการกดขี่พวกมุสลิมทุกวิถีทางก็หาได้หยุดยั้งเพียงเท่านั้นไม่  เขาได้ติดตามผู้อพยพเหล่านั้นไปและขอให้กษัตริย์  เนกุส  ( Negus )  แห่งอบิสสิเนียส่งผู้ที่  อพยพเหล่านั้นกลับดินแดนในราชสำนักแห่งกษัตริย์ เนกุส ( Negus )   ญะอฺฟัรฺ ( Jafar )  ได้แสดงสุนทรพจน์  และได้ให้ความสว่างแก่การปฏิวัติซึ่งศาสดามูฮัมมัด  ได้นำมา  ต่อไปนี้คือข้อความบางตอนซึ่งคัดมาจากสุนทรพจน์

"เรากินซากศพของสัตว์ที่หาชีวิตไม่แล้ว  และกระทำการที่น่ารังเกียจนานาประการ  เราไม่เคยทำดีต่อญาติพี่น้องและเราเคยปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อเพื่อนบ้านของเรา  ผู้ที่แข็งแรงในหมู่เราก็เบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่า  จนกระทั่งในที่สุดพระผู้เป็นเจ้าก็ได้โปรดให้มีศาสดาขึ้นในหมู่เรา  เพื่อปรับปรุงให้พวกเราดีขึ้น  ความถ่อมตน  ความมีธรรมะ  ความยุติธรรมและความใจบุญของท่านย่อมเป็นที่รู้จักดีในหมู่พวกเรา 

ท่านนำเราไปเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า  ท่านสอนให้เราเลิกบูชารูปเคารพและหินกรวดต่าง ๆ ท่านสอนให้เรากล่าวแต่วาจาสัตย์  ให้ยึดมั่นแต่ความดี  ให้เคารพรักญาติพี่น้อง  ให้ทำดีต่อเพื่อนบ้าน  ท่านสอนให้เราเกรงกลัวความชั่วและให้หลีกหนีจากสงคราม  ท่านห้ามมิให้กระทำการอันไม่เหมาะสม เช่น  กล่าวเท็จ  คดโกงสมบัติของเด็กกำพร้า  และมิให้กล่าวร้ายต่อความบริสุทธิ์ของสตรี  ดังนั้นเราจึงเชื่อท่าน  ทำตามท่านและประพฤติตามที่ท่านสอน"

               ท่านนะบีได้ดำเนินงานไม่ใช่เพราะต้องการสิ่งล่อใจทางโลก  ลักษณะมรรยาทที่นุ่มนวล  บุคคลจริยาที่เป็นเสน่ห์และคำสอนที่น่าเสื่อมใส  ด้วยความประพฤติที่สูงส่งและสุภาพ  ท่านเป็นมิตรแม้แต่กับศัตรูของท่าน  ท่านผูกใจคนทั่ว ๆ ไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ปกครองด้วยความเป็นธรรม  และไม่เคยหันเหไปจากสัจจะและทางที่ถูกต้อง  ไม่เคยกดขี่แม้กระทั่งศัตรูที่ร้ายกาจ ศัตรูซึ่งตามล้างชีวิต  ผู้ซึ่งขว้างปาด้วยก้อนหินผู้ซึ่งเคี้ยวตับสด ๆ ของลุงผู้วายชนม์ด้วยความแค้น ท่านให้อภัยต่อทุกคนที่ท่านมีชัยชนะ  ไม่เคยแก้แค้นเพื่อความโกรธส่วนตัว หรือแก้แค้นสำหรับความเลวร้ายที่พวกศัตรูได้ทำไว้

              เมื่อท่านได้กลายเป็นผู้ปกครองประเทศ  ท่านปราศจากความเห็นแก่ตน และถ่อมตนจนกระทั่งยังดำรงชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ และยังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันต่อไปเช่นเดิม  ท่านมีความเป็นอยู่ในกระท่อมที่สร้างด้วยดินดังเช่นแต่ก่อน  นอนบนเสื่อ  สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ๆ กินอาหารแบบคนจน และบางครั้งก็ออกจากบ้านโดยมิได้กินอะไรเลย  ท่านใช้เวลาทั้งคืนยืนอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า  ท่านช่วยเหลือคนที่ถูกทอดทิ้งและคนที่ตกทุกข์ได้ยาก  ท่านไม่รู้สึกว่าเป็นการต่ำต้อยแม้แต่น้อยในการที่จะทำงานอย่างกรรมกร  จนในวาระสุดท้ายก็ไม่มีแม้แต่จุดเล็ก ๆ ของความถือตัวหรือการแสดงออกซึ่งความสูงส่งและร่ำรวย  ท่านจะนั่ง เช่นเดียวกับคนสามัญทั้งหลาย เดิน และดำรงชีวิตอยู่กับชนทั่วไปพร้อมทั้งร่วมทุกข์สุขกับชนเหล่านั้น  ท่านจะอยู่ปะปนกับกลุ่มชนในปกครอง เมื่อคนภายนอกมาพบจะรู้สึกว่าเป็นการยากลำบาก  ที่จะชี้ตัวผู้นำ ผู้ปกครองออกจากกลุ่มชนนั้น

               แม้ว่าท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท่าทีที่แสดงต่อบุคคลที่ต่ำต้อยที่สุดก็เป็นท่าทีของมนุษย์สามัญ  ตลอดชีวิตท่านมิได้หารางวัลหรือผลตอบแทนสำหรับตัวเองหรือทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้ทายาท  ท่านอุทิศชีวิตเพื่อศาสนา  และยังห้ามมิให้ลูกหลานของท่านรับซากาต ( เงินที่จ่ายแก่คนจนตามบัญญัติศาสนากำหนด ) 

 

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา”