การบอกหย่าที่เกิดจากการล่อลวงของชัยฏอนและการป้องกัน
คำถาม
ชัยฏอนได้ทำการล่อลวงผม จนกระทั่งบางเวลาเมื่อภรรยาได้พูดคุยกับผม ผมไม่ต้องการที่จะทำการโต้ตอบกับเธอ ซึ่งสาเหตุนั้นอาจเกิดมาจากการล่อลวงของชัยฏอนหรืออาจเป็นเพราะเธอนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ชัยฏอนมาล่อลวงผม และเป็นความจริงหรือไม่ ในการที่ผมไม่ได้ทำการพูดคุยกับเธอนั้น จะนับเป็นการบอกหย่ากับนาง หรือถ้าผมได้พูดกับเธอด้วยอารมณ์โกรธ การพูดจาด้วยอารมณ์โกรธกับเธอนี้ จะนับเป็นการบอกหย่าด้วยหรือไม่
คำตอบ
บรรดาการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮฺ
ในขณะที่คุณไม่ได้ทำการพูดจากับภรรยา หรือการพูดจากับภรรยาด้วยความโมโหนั้น ไม่นับว่าเป็นการบอกหย่ากับภรรยาของคุณ
ไม่ว่าพฤติกรรมใด ๆ ก็ตาม ที่คุณคิดว่ามันเป็นการกระทำที่บ่งบอกของการบอกหย่ากับภรรยา หรือในสิ่งที่คุณตั้งใจจะกระทำหรือสิ่งที่คุณคิดจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น สิ่งนั้นยังไม่ถือเป็นการบอกหย่ากับภรรยา ตราบใดที่คุณไม่ได้กล่าวคำว่า หย่า ออกมา เนื่องมาจาก
ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวเอาไว้ว่า
พระองค์อัลลอฮฺ ได้ทรงอภัยโทษให้แก่บรรดาปวงบ่าวของพระองค์ ในสิ่งที่พวกเขาได้ถูกล่อลวงหรือในสิ่งที่เขาตั้งใจจะกระทำ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้กระทำสิ่งนั้นหรือพูดสิ่งเหล่านั้นออกไป
(รายงานโดย อัล-บุคคอรีย์ 6664 และมุสลิม 127)
จากหลักฐานดังกล่าว บรรดาผู้รู้จึงได้มีความเห็นว่า ความคิดในการหย่าร้างนั้นไม่ถือว่าเป็นการบอกหย่า ตราบใดที่ไม่ได้กล่าวมันออกไป
นอกจากนี้บรรดาผู้รู้ ได้มีความคิดเห็นว่า การที่ฝ่ายชายได้ถูกล่อลวงจากชัยฏอนการบอกหย่าของเขาก็จะถือว่าใช้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะได้กล่าวคำว่า หย่า ออกมาแล้วก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำการหย่าร้างจริง ๆ
ซึ่ง ท่าน Shaykh Ibn Uthaymeen (ขอพระองค์อัลลอฮฺ ทรงโปรดประทานความเมตตาแก่ท่านด้วยเทอญ) ได้กล่าวเอาไว้ว่า
การบอกหย่าของบุคคลใดที่เกิดมาจากการล่อลวงจากชัยฏอนนั้น จะยังไม่นับเป็นการบอกหย่า ถึงแม้ว่าเขาจะได้กล่าวคำว่า หย่า ออกมาแล้วก็ตาม เพราะการพูดคำว่า หย่าในครั้งนี้ ขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หรือไม่ตั้งใจ หรือไม่ได้คิดที่จะพูดมันออกไป แต่เป็นการพูดอันเนื่องมาจากการถูกล่อลวงจากชัยฏอน โดยที่เขาขาดสติในการควบคุมตนเองอยู่"
ท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวเอาไว้ว่า
ไม่ถือเป็นการบอกหย่า หากการกล่าวออกนั้นเป็นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ
ดังนั้นการหย่าในครั้งนี้ จึงไม่ถูกนับว่าเป็นการบอกหย่า เพราะเป็นการพูดที่ได้ไม่เกิดจากความตั้งใจจริง ๆ (ฟัตวาอิสลามมิยา รวบรวมโดย Shaykh Muhammad ibn Abd al-Azeez al-Musnad, 3/277)
เราขอแนะนำให้คุณอย่าใส่ใจกับการล่อลวงของชัยฏอน และเพิกเฉยต่อสิ่งที่มันยั่วยุคุณ และให้คุณกระทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่มันคอยล่อลวงคุณ เพราะบุคคลใดก็ตามที่เชื่อและกระทำตามในสิ่งที่ชัยฏอนล่อลวงแล้ว เขาก็จะพบกับความเศร้าเสียใจ และทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือ ให้ระลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺ ให้มาก ให้พระองค์อัลลอฮฺ เป็นที่พึ่งจากการถูกล่อลวงโดยชัยฏอน และให้หลีกห่างจากสิ่งผิดบาปและการทำความชั่วทั้งหลาย ซึ่งอิบลีสได้รับอำนาจในการที่จะล่อลวงบรรดาลูกหลานของอาดัม ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสเอาไว้ในอายะกุรอ่านว่า
แท้จริง(ชัยฏอน) มันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือบรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาได้มอบหมายการงานต่อพระเจ้าของพวกเขา
(ซูเราะฮฺ al-Nahl 16:99)
ท่าน Ibn Hajar al-Haythami ได้กล่าวถึงการล่อลวงของชัยฏอน เอาไว้หนังสือของท่าน ที่ชื่อว่า al-Fataawa al-Fiqhiyyah al-Kubra,1/149 ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ดีมาก ซึ่งท่านได้ถูกถามถึงการถูกล่อลวงจากชัยฏอนและแนวทางในการแก้ไขมัน และท่านก็ได้ตอบว่า
มีวิธีในการแก้ไขการล่อลวงจากชัยฏอนที่ได้ผลดี คือการไม่ใส่ใจต่อการล่อลวงจากชัยฏอนทั้งหมด ไม่ว่าชัยฏอนจะมาล่อลวงบ่อยแค่ไหนก็ตาม ซึ่งเมื่อเราไม่ใส่ใจต่อการการกระซิบกระซาบของชัยฏอนแล้ว ชัยฏอนก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้และจะห่างหายไปจากเราเองในระยะหนึ่ง ดังที่หลาย ๆ คนได้เคยมีประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้ว แต่ถ้าใครก็ตามที่ให้ความใส่ใจต่อสิ่งที่ชัยฏอนได้พยายามล่อลวง ชัยฏอนจะมีอิทธิพลมากขึ้นในการทำให้คนนั้นเชื่อมันหรือทำให้กระทำในสิ่งที่ผิด ดังตัวอย่างของหลาย ๆ คนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการเชื่อฟังการล่อลวงจากชัยฏอน ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัด ซล. ได้กล่าวเตือนพวกเราให้ทำการป้องกันชัยฏอนว่า
จงใช้น้ำในการป้องกันการล่อลวงจากชัยฏอน ที่ชื่อว่า al-Walhaan
ซึ่งการป้องกันที่จะทำให้ห่างไกลจากชัยฏอนได้มากที่สุดก็คือ การทำน้ำละหมาด ดังที่ได้ถูกอธิบายรายละเอียดไว้ใน Sharh Mishkaat al-Anwaar
ใน al-Saheehayn ได้มีการรายงานที่สนับสนุนเนื้อหาข้างต้นว่า ใครก็ตามที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการล่อลวงจากชัยฏอน เขาควรแสวงหาความคุ้มครองจากพระองค์อัลลอฮฺ และให้เขาหลีกให้ห่างจากการล่อลวงของชัยฏอน ซึ่งการแก้ไขการล่อลวงจากชัยฏอนที่ได้ผลนั้นได้ถูกสั่งสอนมาจากบุคคลที่ไม่เคยพูดถึงเรื่องเพ้อฝัน และได้บอกกล่าวมายังประชาชาติของเขา และได้เข้าใจว่าใครก็ตามที่จิตใจของเขาถูกครอบครองด้วยชัยฏอนแล้ว ความดีงามต่าง ๆ ของเขาก็จะหายไปด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการล่อลวงของชัยฏอน
บรรดานักวิชาการโดยส่วนใหญ่ต่างมีความคิดเห็นว่า ชัยฏอนนั้นมันจะทำให้บรรดาผู้ศรัทธาหลงทาง ทำให้ผู้ศรัทธาเกิดความสับสนขึ้น ทำให้ชีวิตของผู้ศรัทธานั้นพบกับความทุกข์ยาก กังวลใจ จนกระทั่งผู้ศรัทธานั้นได้ละทิ้งอิสลามไปอย่างไม่ทันยั้งคิด
แท้จริง มารชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงถือมันเป็นศัตรู
(ซูเราะฮฺ ฟาฏิร 35 : 6)
จากอีกฮะดีษหนึ่งที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่า ใครก็ตามที่รับความทุกข์ทรมานจากการล่อลวงจากชัยฏอน ก็ให้กล่าว่า อามันตุ บิ้ลลาฮิ วะ บิ รูซูลิฮี แปลว่า ฉันศรัทธาในอัลลอฮฺ และศาสนฑูตของพระองค์
และไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยว่าผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาศาสดาของอัลลอฮ์ ท่านนะบีมุฮัมมัด เขาจะได้พบว่า แนวทางและข้อปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านศาสดานั้นเป็นสิ่งที่ง่ายและถูกต้อง ซึ่งเขาจะไม่พบกับความทุกข์ยากในนั้น ดังอายะในอัลกุรอ่านที่ว่า
และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา
(ซูเราะฮฺ อัล-ฮัจญ์ 22 : 78)
และใครก็ตามที่ตระหนักและเชื่อมั่นในสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสเอาไว้อย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว ปัญหาที่จะเกิดมาจากการล่อลวงหรือการกระซิบกระซาบของชัยฏอนก็จะห่างไกลจากเขา ในหนังสือของ Ibn al-Sunni ได้มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ว่า
ใครก็ตามที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการล่อลวงของชัยฏอนก็ให้เขากล่าวว่า อามันตุ บิ้ลลาฮิ วะ บิ รูซูลิฮี แปลว่า ฉันศรัทธาในอัลลอฮฺ และศาสนฑูตของพระองค์ จำนวน 3 ครั้ง แล้วชัยฏอนก็จะหนีห่างจากเขาไป
นอกจากนี้ท่าน Al-Izz ibn Abd al-Salaam และบุคคลอื่น ๆ ได้มีรายงานที่คล้ายคลึงกับรายงานข้างต้น ซึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า การป้องกันการล่อลวงจากชัยฏอนนั้น คือการที่ต้องเชื่อว่าความคิดดังกล่าวมาจากชัยฏอนและอิบลีสนั้นเป็นผู้ที่นำสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในความคิดของมนุษย์ ดังนั้นเขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะต่อสู้กับอิบลีส ซึ่งรางวัลในการต่อสู้นี้ คือรางวัลของผู้ที่ทำการญิฮาด เนื่องมาจากเขาได้ทำการต่อสู้กับศัตรูของอัลลอฮ์ ถ้าเขาได้ต่อสู้แล้ว ชัยฏอนก็จะหนีห่างจากเขาไป ซึ่งการล่อลวงของชัยฏอนนั้น เป็นสิ่งที่มนุษยชาติได้ถูกทดสอบจากพระองค์อัลลอฮ์ มาตั้งแต่อดีต และพระองค์อัลลอฮฺ นั้น ได้มอบอำนาจให้กับอิบลีสในการที่มันจะมีอำนาจเหนือมนุษย์เพื่อที่จะทำการล่อลวงเขา เพื่อเป็นบทบทสอบสำหรับอิบลีสเช่นกัน และพระองค์อัลลอฮฺนั้นจะทรงชี้นำแนวทางให้กับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ว่าสิ่งใดที่เป็นความสัจจริง สิ่งนั้นก็คือความถูกต้อง และสิ่งใดที่เป็นความเท็จ สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ผิด แม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะเกลียดชังก็ตาม
ในฮะดีมุสลิม หมายเลข 2203 ได้มีรายงานว่าท่าน Uthmann ibn Abil-Aas ได้กล่าวว่า
ชัยฏอนนั้น ได้มารบกวนฉันในการละหมาดและในการอ่านกุรอ่านของฉัน
และท่านนบี มุฮัมมัด ได้กล่าวว่า นั้นมาจากมารที่ชื่อว่า Khanzab ดังนั้น ท่านจงแสวงหาความคุ้มครองจากพระองค์อัลลอฮฺ และให้ถ่มน้ำลายไปด้านซ้าย 3 ครั้ง และเมื่อฉันไปปฏิบัตติดังกล่าวแล้ว พระองค์อัลลอฮฺ ก็ได้นำมารตัวนั้นหนีห่างจากฉันไป"
ซึ่งฮะดีษนี้ ชี้ให้เราเห็นว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นจะถูกชัยฏอนเข้ามาทำการล่อลวงได้ก็เฉพาะผู้ที่ขาดความเอาใจใส่ในเรื่องที่กำลังกระทำอยู่หรือเป็นผู้ที่กำลังได้รับความสับสน และไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้และมีความเข้าใจนั้น เขาจะปฏิบัติตามซุนนะฮฺ และหลีกห่างจากบิดดะอะฮฺ ซึ่งผู้ที่กระทำในสิ่งที่เป็นอุตริกรรมนั้น เป็นผู้ที่กระทำตามชัยฏอน ดังนั้น ท่านมาลิก (ของพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาแก่ท่านด้วยเทอญ) ได้รายงานว่า ท่าน shaykh al-Rabee ซึ่งเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งอีหม่ามในสมัยนั้น เป็นผู้ที่เร่งรีบที่สุดในการชำระล้างร่างกายและทำน้ำละหมาด
ส่วนท่าน Ibn Hurmuz ได้เคยล่าช้าในการชำระล้างร่างกายและล่าช้าในการทำน้ำละหมาด และท่านได้เคยกล่าวว่า ฉันนั้นมีปัญหาและอย่าได้ถือเอาฉันเป็นแบบอย่างเลย
ท่าน Al-Nawawi (ของพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาแก่ท่านด้วยเทอญ) ได้กล่าวว่า มีนักวิชาการท่านหนึ่งมีความคิดว่า สำหรับคนที่ถูกล่อลวงจากชัยฏอนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องปกป้องตัวของเขาเองด้วยกับการทำน้ำละหมาดหรือเมื่อผู้ทำละหมาดได้กล่าวว่า ลา อิลาฮะ อิลลั้ลลอฮฺ จะทำให้ชัยฏอนค่อย ๆ หนีห่างจากเขาไป เมื่อมันได้ยินผู้ทำการกล่าวรำลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺ และคำว่า
ลา อิลาฮะ อิลลั้ลลอฮฺ นี้ เป็นการรำลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺที่ดีที่สุดและเป็นการป้องกันชัยฏอนที่ได้ผลอย่างมากที่สุด ดังนั้นในการป้องกันการล่อลวงจากชัยฏอนก็ให้ผู้ศรัทธาทำการรำลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺ ให้มาก
พวกเราวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮฺ ในการปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานที่เกิดมาจากล่อลวงของชัยฏอน และให้พระองค์ทรงเพิ่มพูนความศรัทธา หนทางที่ถูกต้องและการยืนหยัดในการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ ให้แก่พวกเราด้วยเทอญ
และพระองค์อัลลอฮฺ นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
ที่มา http://www.islamqa.com/en/ref/62839
แปลโดย นูรุ้ลนิซาอ์