ท่าทีของมนุษย์ ต่อบรรดานะบี (ผู้นำสาสน์)
  จำนวนคนเข้าชม  5130

ท่าทีของมนุษย์ ต่อบรรดานะบี (ผู้นำสาสน์)

 

          ท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อนะบีของพระผู้เป็นเจ้านั้นแตกต่างกันออกไป  ขั้นแรกเขาปฏิบัติต่อนบีอย่างเลวร้ายและปฏิเสธที่จะรับฟังและยอมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน  นะบีบางท่านได้ถูกขับไล่ออกนอกดินแดนบ้างก็ถูกรอบฆ่า  ส่วนบางท่านแม้จะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากผู้ใดเลยก็ได้พยายามที่จะสั่งสอนต่อไปจนสิ้นชีพ  ซึ่งในตลอดชีวิตของท่านจะมีสาวกเพียงสองสามคนเท่านั้น  และอยู่ท่ามกลางการก่อกวน  การเย้ยหยันและการดูถูก  ผู้เผยแผ่ศาสนาเหล่านี้ก็ไม่เคยหยุดยั้ง  ในการเทศนาสั่งสอน

          ในที่สุดความตั้งใจอันแน่วแน่ก็บรรลุผลสำเร็จ  คำสอนของท่านไม่ได้ไร้ผลเสียทีเดียว  มีชนกลุ่มใหญ่และชาติอีกหลายชาติที่ยอมรับคำสั่งสอนนั้น  และยอมหันกลับมานับถือศาสนาที่ท่านได้บอกไว้  การยึดถืออย่างผิดของมนุษย์ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีแต่ความดึงดันและออกนอกลู่นอกทาง  ความโง่เขลาและการปฏิบัติอย่างผิดๆ ได้เปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง  อย่างไรก็ดี! แม้ว่าในระหว่างสมัยนะบีต่างๆ ชนกลุ่มนั้นจะยอมรับนับถือและปฏิบัติตามคำสั่งสอน  แต่หลังสมัยของนะบีแล้ว  ชนเหล่านั้นกลับนำเอาความคิดเห็นเก่าๆ ปะปนเข้าไปในศาสนาอีกครั้ง  และได้เปลี่ยนแปลงคำสอนของนะบีเสีย  

          พวกเขารับเอาวิธีการแปลกๆ ใหม่ในการเคารพพระผู้เป็นเจ้า  บางพวกถึงกับบูชานะบี  บางพวกถือว่าการบูชานะบีเป็นอวตารปางหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาถือว่านะบีคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า  บางพวกติดจ่อกับนะบีในฐานะที่ท่านเป็นพระเจ้า  จะกล่าวโดยสั้นๆ ก็คือท่าทีต่างๆของมนุษย์ในแง่นั้นเป็นการล้อเลียนเหตุผลของตัวเอง  และเป็นการเยอะเย้ยตนเอง  พวกเขาเคารพบูชาผู้ที่อุทิศตนและทำงานไปในการปราบปรามรูปเคารพ  โดยการผสมลัทธิศาสนาเข้ากับประเพณีข้อปฏิบัติอันโง่เขลา  และผสมเข้ากับเรื่องราว  และกฎที่มนุษย์กำหนดขึ้นเอง  มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงคำสอนของนะบี  และเมื่อเวลาล่วงไปเป็นศตวรรษ ๆ คำสอนเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นของผสมระหว่างความจริงและเรื่องที่นึกฝัน 

          คำสอนของนะบีถูกลบเลือนไป และผสมกลมกลืนระหว่างของที่ประดิษฐ์คิดฝันขึ้นจนกระทั่งแยกไม่ออกว่า ส่วนใดเป็นเนื้อส่วนใดเป็นเปลือก  แม้จะบิดเบือนคำสอนของนะบีแล้วก็ตามพวกเขาก็ยังไม่พอใจแต่เพียงเท่านั้น  เขายังได้ตัดต่อ เติมเสริมเรื่องราวต่าง ๆ และประเพณีที่ไม่สมควรเข้ากับประวัติของนะบี  จึงทำให้เรื่องราวในชีวิตของท่านมัวหมองไป  จนกระทั่งไม่สามารถค้นพบสิ่งที่แท้จริงในชีวิตของท่านได้ 

          อย่างไรก็ตาม!  แม้ว่าสาวกจะทำให้คำสอนและประวัติชีวิตของท่านบิดเบือนไป  งานของนะบีก็ไม่ไร้ผลไปเสียทีเดียว  ทั้ง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงและต่อเติมสัจธรรม  แต่ยังคงเหลืออยู่ในหมู่  ประชาชาติทั้งหลาย ความรู้ในพระผู้เป็นเจ้าและชีวิตภายหลังความตายยังคงมีอยู่ หลักการเกี่ยวกับความดีสัจธรรม  และศีลธรรมก็ยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในโลก  ดังนั้น!  นะบีจึงเป็นผู้จัดเตรียมพื้นฐานทางจิตใจแก่มวลชนไว้อย่างดี  จนสามารถที่จะนำเอาศาสนาสากล มาเผยแผ่ภายหลังได้อย่างปลอดภัย  ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์  ศาสนาซึ่งก่อร่างแต่ความดีในทุกๆ สังคมและลัทธิ  และเป็นที่ยอมรับของมนุษยชาติ

               ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า  ในชั้นแรก  นะบีทั้งหลายเกิดมาในหมู่ชนที่แตกต่างกัน  และคำสอนของแต่ละท่านได้มีความหมายพิเศษ  และมุ่งเฉพาะเจาะจงให้สอดคล้องกับสภาพกลุ่มชนนั้นๆ เพราะในแต่ละสมัยชนชาติต่างๆ ตั้งถิ่นฐานอยู่แยกจากกัน  แต่ละกลุ่มถูกตัดขาดจากกัน  ต่างกลุ่มต่างอยู่ในดินแดนของตนเท่าที่สภาพในภูมิศาสตร์จะอำนวยให้ นอกจากนั้นยังขาดความสะดวกสบายที่จะสามารถทำให้แต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์กันได้ด้วย  ในสภาพการเช่นนี้ย่อมเป็นการลำบากที่จะเผยแผ่สัจธรรมและกฎต่างๆ ในการดำเนินชีวิต  และความโง่เขลาได้ทำให้มนุษย์ปฏิบัติไปในทางคลาดเคลื่อนต่อความจริง  และศีลธรรมในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป  

          จึงเป็นการจำเป็นที่นะบีทั้งหลายจะถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ชี้ทางแห่งสัจธรรมให้มวลมนุษย์  และเอาชนะมวลมนุษย์นั้นด้วยวิถีทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้นะบีเป็นผู้ถอนความชั่วร้ายและความคลาดเคลื่อนแห่งความจริงทีละน้อยๆ  เป็นผู้ขุดถอนรากแห่งความโง่เขลา  และสอนให้มนุษย์ปฏิบัติแต่หลักการที่สูงส่ง  ง่ายดายในความดีงามและทางถูกต้อง   ได้ฝึกหัดและนำมนุษย์ขึ้นมาสู่ศิลปะแห่งการดำรงชีวิต  ซึ่งจะมีแต่พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้ว่าจะใช้เวลาสักกี่พันปีในการให้ความรู้แก่มนุษย์  การยกระดับมนุษย์ทั้งทางจิตใจ  ทางสมองและทางศีลธรรม 

          อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งถึงเวลาที่มนุษยชาติเจริญจากสภาพเริ่มแรกเข้าสู่สภาวะแห่งความสมบูรณ์  ด้วยความก้าวหน้า  การขยายการค้า  อุตสาหกรรมและศิลปะจึงได้เกิดการติดต่อระหว่างชนชาติต่างๆ ขึ้น  จนจากประเทศในญี่ปุ่น  ไปยังยุโรป ต่อไปอาฟริกา  ทางเดินที่ใช้ได้เปิดเพื่อติดต่อกันไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางทะเล  มีมนุษย์ไม่น้อยที่ได้เรียนศิลปะแห่งการเขียน  ดังนั้น! ความรู้ศิลปะจึงได้มีโอกาสขยายตัวออกไป  ความคิดเห็นของแต่ละชาติก็เริ่มหมุนเวียนถ่ายเทกัน และเริ่มมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างประเทศ  ผู้พิชิตผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้น  และทำการปราบปรามพิชิตแว่นแคว้นต่างๆ แผ่ขยายอาณาเขตออกไปเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่  และผนวกเอาชาติหลายๆ ชาติเข้าอยู่  ใต้ระบบการปกครองอันเดียวกัน ชาติต่างๆจึงได้มีความใกล้ชิดกันและความแตกต่างของแต่ละชาติก็ค่อยๆ น้อยลงตามลำดับ

               ด้วยสภาพการเช่นนี้  ก็เป็นไปได้ที่สมควรจะมีการศรัทธาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้มนุษย์ได้เผชิญและเข้าใจทางแห่งชีวิต  ได้เข้าใจศีลธรรมทั้งทางจิตใจ  สังคม  ขนบธรรมเนียมประเพณีทางการเมืองเศรษฐกิจ  และสิ่งต่างๆที่มนุษย์ต้องการ ทำให้เกิดพื้นฐานทางโลกและทางธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์  มากกว่าสองพันปีมาแล้วที่มนุษย์ประสบความสำเร็จ  ทางด้านความสามารถสติปัญญา  จนกระทั่งดูเหมือนว่ามีการเรียกร้องของศาสนาหนึ่ง  ซึ่งเป็นศาสนาสากล

          พุทธศาสนาแม้ว่าจะเป็นศาสนาที่มีหลักธรรมบางอย่างแต่ไม่ได้เป็นศาสนาที่สมบูรณ์ ซึ่งได้เกิดขึ้นที่อินเดีย  และแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ  จนถึงญี่ปุ่นและมองโกเลียด้านหนึ่ง  และอีกด้านหนึ่งแผ่ไปถึงอาฟกานิสถาน  และบุคอรอ  พวกหมอสอนศาสนาได้เดินทางเป็นระยะทางไกลๆ สองสามศตวรรษ

          ต่อมาได้เกิดศาสนาคริสต์ขึ้น  ศาสนาที่พระเยซู (นะบีอีซา ) สั่งสอนนั้นก็มิใช่สิ่งใดอื่นนอกจากระบบอิสลาม  แต่สาวกของพระเยซูได้ดัดแปลง  และผสมจนเปลี่ยนรูปไปและเรียกศาสนาว่า “คริสเตียน”  แม้ว่ารูปของศาสนาจะถูกดัดแปลง  ศาสนานี้ก็ได้แพร่หลายออกไปในดินแดนอันไกลพ้นของเปอร์เซียและเอเชียน้อย  และได้เลยไปถึงยุโรปและอาฟริกา 

          จากเหตุการณ์นี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าสภาพของมนุษย์  ในยุคนั้นต้องการศาสนาอันเป็นหนึ่ง  ซึ่งใช้คุ้มครองเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด  และมนุษย์ได้รับการตระเตรียมได้ล่วงหน้าแล้วอย่างดีแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พบศาสนาที่สมบูรณ์  และได้เริ่มโฆษณาเผยแผ่ในเวลานั้น  แม้จะไม่สมบูรณ์หลอกลวงและไม่เป็นที่น่าพอใจก็ตาม

               ในระยะที่อยู่ในขั้นสำคัญของอารยธรรมของมนุษย์  เมื่อจิตใจมนุษย์  กำลังกระวนกระวายเพื่อที่จะเสาะแสวงหาศาสนาแห่งโลก จึงได้มีนะบีท่านหนึ่ง  กำเนิดขึ้นที่อาระเบีย   เพื่อเป็นผู้นำแห่งโลก  และแห่งประชาชาติทั้งปวง  ศาสนาที่ท่านเผยแผ่ครั้งนี้คือ ระบอบอิสลามเช่นเดิม  แต่อยู่ในระบบที่สมบูรณ์ครอบคลุมหมดทุกลักษณะ  ทั้งในส่วนบุคคลและส่วนรวม  ทั้งทางศีลธรรมและวัตถุ  ท่านได้รับเลือกให้เป็นนะบีของมนุษย์  และได้รับการมอบหมายให้เผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก  นะบีผู้นี้  คือ “นะบีมูฮัมมัด” ผู้เผยแผ่ศาสนาอิสลาม

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา”