ข้อแตกต่างของนะบีกับมนุษย์
บรรดานะบีจะแตกต่างกับคนอื่นๆ ในสังคมด้วยความสามารถพิเศษ มีความสนใจในการทำความดีและดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย ถ้าจะเปรียบเทียบก็เปรียบได้กับอัจฉริยะในทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ ซึ่งแตกต่างกับคนอื่นๆ ด้วยความสามารถพิเศษ และความมีอัจฉริยภาพของบุคคลย่อมเป็นสิ่งบ่งบอกในตัวของตัวเอง และย่อมจะชักนำให้มนุษย์สังเกตเห็นและยอมรับ เช่น
เมื่อเราได้ฟังกวีซึ่งมีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด เราย่อมเห็นความเป็นอัจฉริยะของเขาได้ในทันทีทันใด ถ้าเป็นผู้ไม่มีพรสวรรค์ดังกล่าวแล้วแม้ว่าจะพยายามจนสุดความสามารถที่จะหาความสำเร็จทางกวีให้ดีเลิศก็ย่อมไม่อาจจะบรรลุผลสำเร็จได้ ในทำนองเดียวกันกับนักพูด-นักประพันธ์ ผู้นำและนักประดิษฐ์ผู้มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด อัจฉริยะนั้นได้แสดงโดยพลังของตัวเอง และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่อาจมีผู้ใดแข่งขันได้
สำหรับท่านนะบี ก็เช่นกัน สมองของท่านสามารถขบคิดปัญหาที่ท้าทายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ท่านบอกเล่าและเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเล่าเรื่องได้ และไม่สามารถรู้ซึ้งไปถึงรายละเอียดและความลึกซึ้งของปัญหาต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดจะเข้าใจได้เลย แม้จะคิดค้นโดยใช้เวลานานก็ตาม และก็ต้องยอมรับเหตุผลในทุกๆ สิ่งตามที่ท่านนะบีได้กล่าวไว้ หัวใจรู้สึกถึงความจริง ความชำนาญ และการสังเกตในปรากฏการณ์ของโลกต่างก็พิสูจน์ให้เห็นว่า คำพูดทุกๆ คำที่ออกมาจากปากของท่านนะบี นั้นมีแต่ความจริง
อย่างไรก็ตาม-ถ้าเราพยายามที่จะทำงานชิ้นนี้หรืองานที่คล้ายคลึงกันนี้ เราก็จะไม่พบอะไรนอกจากความล้มเหลว ธรรมชาติและอารมณ์ของท่านนะบี นั้นบริสุทธ์จนกระทั่งทุกสิ่งในกิจการที่ท่านปฏิบัติ เป็นไปด้วยความสัตย์จริงเที่ยงตรงและสูงส่ง ท่านไม่เคยทำหรือกล่าวผิดๆ ท่านไม่เคยประพฤติชั่ว ท่านประกอบแต่ความดีและสิ่งที่ถูกต้อง และท่านก็ปฏิบัติทุกๆ อย่างเช่นเดียวกับที่ท่านสั่งสอนผู้อื่น ไม่มีเหตุการณ์ใดเลยในชีวิตของท่านปฏิบัติขัดกับอุดมคติของท่าน ไม่มีแม้แต่คำพูดของท่าน หรือการกระทำของท่านที่จะแสดงออกถึงความสนใจแต่เฉพาะตนเอง ท่านยอมทนทุกข์เพื่อผู้อื่นแต่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพื่อผลประโยชน์ของท่านเลย ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเป็นตัวอย่างของความสัตย์จริง ความมีเกียรติ ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ความคิดอันสูงส่ง และการเป็นแบบอย่างอันมีเกียรติของมนุษย์ ลักษณะของท่านนั้นไม่มีข้อด่างพร้อย แม้ว่าจะมีการตรวจตรากันอย่างละเอียดที่สุด จะไม่พบแม้แต่จุดเล็กๆ ของความผิดในชีวิต ความจริงเหล่านี้ ทำให้เห็นเด่นชัดว่า ท่านเป็นนะบีซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกและมนุษย์ต้องมีศรัทธาในตัวท่าน
เมื่อเป็นที่เชื่อแน่ว่า คนๆ นั้นเป็นนะบีที่แท้จริงแห่งพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ความรู้แจ้งนี้จะทำให้มนุษย์รับฟังคำพูดของท่าน ทำให้คำสอนเป็นที่เชื่อถือ และคำสั่งของท่านมีผู้ปฏิบัติตาม เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะรับนับถือผู้หนึ่งว่าเป็นนะบี แห่งพระผู้เป็นเจ้าแต่ยังไม่ยอมที่จะรับฟังทุกสิ่งที่ท่านกล่าวหรือไม่ยอมกระทำตามที่ท่านปฏิบัติ
และนั่นย่อมหมายความว่าทุกคนยอมรับว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า และทุกสิ่งที่ท่านกระทำย่อมเป็นไปตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น! การขัดขืนต่อท่านก็ย่อมหมายถึงการขัดขืนต่อพระผู้เป็นเจ้า และการขัดขืนต่อพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่นำผลอะไรเลย นอกจากความพินาศสูญเสีย
ดังนั้น! การยอมรับนับถือท่านนะบี จึงเป็นหน้าที่ ที่จะต้องเคารพต่อการสั่งสอน และเชื่อฟังทุกอย่างโดยมิต้องลังเล เราอาจไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ทั้งหมดถึงความมีประโยชน์หรือความมีเหตุผลของคำสอนแต่ละข้อ ความจริงที่ว่า คำสอนนั้นมาจากท่านนะบีย่อมเป็นหลักประกันเพียงพอว่าเป็นความจริงที่จะไม่มีความสงสัยใดๆ เคลือบแคลงเป็นอันขาด การที่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ มิได้หมายความว่าสิ่งนั้นๆ มีข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดใดๆ แต่เพราะว่าความเข้าใจของมนุษย์ปุถุชนนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ ความเข้าใจของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด และก็ไม่ควรลืมขีดจำกัดที่ว่า ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักศิลปะชนิดหนึ่งๆ อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ย่อมไม่อาจจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งของศิลปะนั้นๆ ได้ และถ้าคนๆ นั้นจะปฏิเสธสิ่งที่ผู้ชำนาญกล่าวหรือเพียงแต่จะร้องอุทธรณ์ว่า ไม่เข้าใจผู้ชำนาญคนนั้น ก็นับว่าเป็นคนโง่เขลาทีเดียว
ย่อมจะเป็นที่กล่าวกันได้ว่า ในการดำเนินกิจการที่สำคัญๆ ทางโลกทั้งหมดย่อมต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น และเมื่อได้ฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญนั้นแล้วก็ต้องเชื่อถือคำแนะนำนั้น และยอมทำตามคำแนะนำทุกอย่าง เราต้องยอมสละสิทธิ์แห่งการตัดสิน การเข้าแทรกแซงและต้องทำตามผู้นำโดยดุษฎี มนุษย์ทุกคนไม่อาจเป็นผู้ชำนาญในศิลปะหรืองานฝีมือทุกอย่างในโลกได้ ทางที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ธรรมดาคือสิ่งที่เขาทำได้ และสำหรับสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ก็ต้องใช้สติปัญญาความสุขุม ในการเลือกหาบุคคลที่เหมาะสมที่จะนำทางให้เขาและช่วยเหลือเขา หลังจากได้พบแล้วก็ต้องยอมรับฟังคำแนะนำของผู้นั้นพร้อมทั้งปฏิบัติตาม เมื่อแน่ใจว่าบุคคลนั้นๆ เป็นคนดีที่สุดที่จะหาได้ตามจุดประสงค์แล้ว ก็ต้องขอคำแนะนำและมอบความไว้วางใจให้เขาอย่างเต็มที่ การที่จะเข้าไปแทรกแซงในกิจการของเขาทุกๆ ก้าวพร้อมกับกล่าวว่า ให้ฉันเข้าใจเสียก่อน ก่อนที่ท่านจะดำเนินงานต่อไป นั้น ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย
ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเมื่อเราแจ้งทนายความแล้ว ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทนายความนั้น เป็นเพราะเราเชื่อถือในตัวทนายและทำตามคำแนะนำของเขา สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็เช่นกัน เมื่อไปหาแพทย์เราย่อมจะไม่ไปก้าวก่ายในการรักษาพยาบาลหรือโต้แย้งกับแพทย์เป็นอันขาด สิ่งนี้แหละเป็นทางปฏิบัติอันถูกต้องในการดำรงชีวิต ในเรื่องของศาสนาก็ต้องดำเนินไปโดยวิธีเดียวกันนี้ เราต้องการความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นจ้า ต้องการทราบวิธีการดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงโปรดปราน ตัวเราเองนั้นไม่สามารถที่จะรับความรู้นี้ได้ ดังนั้น! จึงเป็นหน้าที่ ที่จะแสวงหาท่านนะบีที่แท้จริง และต้องใช้ความระมัดระวังการพิจารณา และความฉลาดรอบคอบในการเลือกเฟ้น ถ้าเลือกผิดเขาผู้นั้นก็ย่อมชักนำไปในทางที่ผิด เมื่อเราได้ใช้วิจารณญาณอย่างถูกต้องเหมาะสม และได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในการเลือกบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นนะบีที่แท้จริงแล้ว เราก็ต้องไว้ใจเขาอย่างสมบูรณ์และทำตามคำสอนของเขาอย่างสัตย์ซื่อ
บัดนี้ก็เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ทางที่ถูกต้องสำหรับมนุษย์มีทางเดียวคือ ทางที่นะบีได้ชี้ให้และวิถีทางที่ถูกต้องสำหรับการดำรงชีวิต คือทางที่ผู้ชี้ทางได้แจ้งให้เราทราบ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จากความจริงข้อนี้ มนุษย์สามารถเข้าใจได้โดยง่ายว่าการมีศรัทธาในท่านนะบี เชื่อฟังและทำตามเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน และมนุษย์ผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อคำสั่งสอนของนะบี และพยายามที่จะค้นหาทางของตนเอง ย่อมที่จะหันเหออกไปจากทางที่ถูกต้อง และเขาจะหลงไปสู่ทางที่ผิด
มีมนุษย์ที่การกระทำผิดด้วยความน่าพิศวง เนื่องจากมีมนุษย์ที่ยอมรับในการเป็นนะบี แต่ก็ไม่มีศรัทธา (อีมาน) ในตัวของบรรดานะบี และไม่ยอมที่จะดำเนินชีวิตตามที่ผู้ชี้ทางนั้นบอกกล่าว มนุษย์จำพวกนั้นไม่เพียงแต่เป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธ) เท่านั้น เขายังเป็นผู้ปฏิบัติการด้วยความโง่เขลา และปฏิบัติไปในทางที่ผิดธรรมชาติอีกด้วย เพราะการที่ไม่ยอมทำตามท่านนะบีหลังจากยอมรับว่าท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความจริง ย่อมหมายความว่ามนุษย์ผู้นั้นเดินตามทางที่ผิดทั้ง ๆ ที่รู้ความจริง และความอัปยศอันใดเล่าที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้
บางคนกล่าวว่า เราไม่ต้องการนะบีมานำทางให้เรา ตัวเราเองนี้แหละ จะเป็นผู้ค้นหาทางไปสู่ความจริงนั้นให้ได้ คำกล่าวเช่นนี้เป็นแง่คิดที่ผิด ท่านอาจจะได้เรียนเรขาคณิต และก็รู้ว่าระหว่างจุด 2 จุดจะมีเส้นตรงเพียง 1 เส้นเท่านั้น เส้นอื่นๆ ต้องเป็นเส้นคดหรือมิฉะนั้นก็เป็นเส้นที่ไม่สัมผัสจุด เช่นเดียวกับทางที่จะนำไปสู่ความจริงซึงในอิสลามเรียกว่า ศิรอฎ็อลมุสตะกีม(ทางเที่ยงตรง) ทางนี้เริ่มจากมนุษย์และตรงไปสู่พระผู้เป็นเจ้า และทางนั้นก็มีเพียงหนึ่งทางเท่านั้น ทางอื่นๆ เป็นความคลาดเคลื่อน และนำไปสู่ทางหลงผิด
บัดนี้ท่านนะบีได้ชี้ให้เห็นทางตรงนั้นแล้ว และจะไม่มีทางตรงที่ไหนอื่นอีก มนุษย์ผู้ซึ่งไม่สนใจทางนั้นและพยายามหาทางอื่นๆ อีก ก็ไม่ผิดอะไรกับผู้ที่ถูกหลอกลวงด้วยความคิดเพ้อฝันของตนเอง เขาเลือกทางและเข้าใจเอาเองว่าเป็นทางที่ถูก ในไม่ช้าเขาก็จะพบว่าเขาอยู่ในฐานะที่ยากลำบากและหลงอยู่ในความคดเคี้ยววกวน ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยความเพ้อฝันของตนเอง ท่านรู้สึกอย่างไรกับมนุษย์ผู้ซึ่งหลงทางและ เมื่อมีคนดีมาชี้ทางที่ถูกให้ เขาก็กลับปฏิเสธคำแนะนำนั้นอย่างไม่ใยดี พร้อมกลับกล่าวว่า
ฉันไม่ต้องการคำแนะนำของท่าน และจะไม่ยอมเลือกทางที่ท่านชี้ให้ แต่ฉันจะคลำหาทางในถิ่นที่ฉันไม่รู้จักนี้แหละ และจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่ฉันต้องการด้วยวิธีของฉันเอง
การปฏิเสธคำแนะนำของท่านนะบี คือความโง่เง่าอย่างแท้จริง ถ้าทุกๆ คนพยายามที่จะตั้งต้นใหม่จากจุดเริ่มต้น ก็ย่อมเป็นการเสียเวลาและเสียพลังไปเปล่าๆ และเราจะไม่ทำเช่นนี้ในด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ เหตุใดเล่าจึงจะปฏิบัติในแง่ของศาสนา
เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดธรรมดาสามัญ และถ้าหยุดคิดก็จะได้เห็นความผิดและข้อบกพร่องนั้น แต่ถ้าลองคิดให้ลึกซึ้งจะสังเกตเห็นว่าผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาจะไม่สามารถพบทางตรง หรือทางที่ไปสู่พระผู้เป็นเจ้าได้เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะรับฟังคำแนะนำของผู้ทรงไว้ซึ่งความจริง ย่อมจะรับทางที่ตรงกันข้าม ความจริงจะเหินห่างออกไปทุกทีๆ และเขาจะกลายเป็นเหยื่อของการดื้อรั้น ความอวดดี ความไม่มั่นคงของการตัดสินของตนเอง การปฏิเสธนี้เกิดขึ้นจากความอวดดีอย่างผิดๆ หรือการยึดมั่นอยู่กับสิ่งเก่าๆ อย่างงมงายและความดื้อดึงที่จะยึดถือตามบรรพบุรุษ หรือเป็นทาสของความต้องการฝ่ายต่ำของตนเอง ซึ่งทำให้ไม่อาจยอมรับคำสั่งสอนของท่านนะบีได้ ถ้ามนุษย์ยังยึดมั่นอยู่กับสภาพใดสภาพหนึ่งดังกล่าวนี้แล้ว หนทางแห่งความจริงก็จะถูกปิดตาย เขาจะไม่อาจมองสิ่งต่างๆ ตามสภาพแห่งความเป็นจริงได้ คนชนิดนั้นย่อมไม่สามารถที่จะพบทางไปสู่ความเป็นจริงได้
ในทางตรงกันข้าม ถ้าคนๆ หนึ่งมีความจริงใจเป็นผู้รักความจริง และไม่เป็นทาสของความยุ่งยากทั้งหลาย ทางที่จะนำไปสู่ความจริงก็จะได้รับการจัดเตรียมไว้ และเขาก็จะไม่ปฏิเสธเลย เขาจะพบว่าในคำสอนของท่านนะบีนั้นมีเสียงสะท้อนของวิญญาณ และเขาจะพบตัวเองจากการพบท่านนะบี
นอกเหนือไปจากนั้น ท่านนะบี ที่แท้จริงนั้นได้รับการเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง พระองค์เป็นผู้ส่งนะบีมาให้มนุษย์เพื่อให้นำสาส์นของพระองค์มาสู่มวลมนุษย์ เพื่อพระบัญชาของพระองค์ให้มนุษย์มีความศรัทธาในผู้ที่ชี้ทาง และปฏิบัติตาม
ดังนั้น! ผู้ปฏิเสธที่จะเชื่อผู้ถือสาส์นของพระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับว่าปฏิเสธที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์ และจะกลายเป็นผู้ทรยศ ดังเช่น การปฏิเสธความจริงที่จะรับทราบอำนาจอุปราชของกษัตริย์ ก็ย่อมเท่ากับว่าปฏิเสธอำนาจของกษัตริย์นั่นเอง การไม่เชื่อฟังนี้ย่อมทำให้เขากลายเป็นคนขบถ ทรยศต่อแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้าของจักรวาลเป็นราชาที่แท้จริง เป็นราชาของราชา และเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องยอมรับในอำนาจของทูตสวรรค์ (รสูล) และยอมปฏิบัติตามท่าน โดยถือว่าท่านเป็นนะบีที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ใดที่หันหนีจากท่านนะบีแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธ) แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชื่อถือในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม
จากหนังสือ มาเข้าใจ อิสลาม กันเถิด
แปลและเรียบเรียง จินตนา