ข้อแตกต่างของนะบีกับมนุษย์
  จำนวนคนเข้าชม  4521

ข้อแตกต่างของนะบีกับมนุษย์

 

          บรรดานะบีจะแตกต่างกับคนอื่นๆ ในสังคมด้วยความสามารถพิเศษ  มีความสนใจในการทำความดีและดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย  ถ้าจะเปรียบเทียบก็เปรียบได้กับอัจฉริยะในทางศิลปะและวิทยาศาสตร์  ซึ่งแตกต่างกับคนอื่นๆ ด้วยความสามารถพิเศษ  และความมีอัจฉริยภาพของบุคคลย่อมเป็นสิ่งบ่งบอกในตัวของตัวเอง  และย่อมจะชักนำให้มนุษย์สังเกตเห็นและยอมรับ  เช่น 

          เมื่อเราได้ฟังกวีซึ่งมีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด  เราย่อมเห็นความเป็นอัจฉริยะของเขาได้ในทันทีทันใด   ถ้าเป็นผู้ไม่มีพรสวรรค์ดังกล่าวแล้วแม้ว่าจะพยายามจนสุดความสามารถที่จะหาความสำเร็จทางกวีให้ดีเลิศก็ย่อมไม่อาจจะบรรลุผลสำเร็จได้   ในทำนองเดียวกันกับนักพูด-นักประพันธ์  ผู้นำและนักประดิษฐ์ผู้มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด  อัจฉริยะนั้นได้แสดงโดยพลังของตัวเอง และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่อาจมีผู้ใดแข่งขันได้ 

          สำหรับท่านนะบี ก็เช่นกัน  สมองของท่านสามารถขบคิดปัญหาที่ท้าทายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา  ท่านบอกเล่าและเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเล่าเรื่องได้ และไม่สามารถรู้ซึ้งไปถึงรายละเอียดและความลึกซึ้งของปัญหาต่างๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดจะเข้าใจได้เลย  แม้จะคิดค้นโดยใช้เวลานานก็ตาม  และก็ต้องยอมรับเหตุผลในทุกๆ สิ่งตามที่ท่านนะบีได้กล่าวไว้  หัวใจรู้สึกถึงความจริง  ความชำนาญ และการสังเกตในปรากฏการณ์ของโลกต่างก็พิสูจน์ให้เห็นว่า  คำพูดทุกๆ คำที่ออกมาจากปากของท่านนะบี นั้นมีแต่ความจริง

          อย่างไรก็ตาม-ถ้าเราพยายามที่จะทำงานชิ้นนี้หรืองานที่คล้ายคลึงกันนี้  เราก็จะไม่พบอะไรนอกจากความล้มเหลว  ธรรมชาติและอารมณ์ของท่านนะบี นั้นบริสุทธ์จนกระทั่งทุกสิ่งในกิจการที่ท่านปฏิบัติ  เป็นไปด้วยความสัตย์จริงเที่ยงตรงและสูงส่ง  ท่านไม่เคยทำหรือกล่าวผิดๆ  ท่านไม่เคยประพฤติชั่ว  ท่านประกอบแต่ความดีและสิ่งที่ถูกต้อง   และท่านก็ปฏิบัติทุกๆ อย่างเช่นเดียวกับที่ท่านสั่งสอนผู้อื่น  ไม่มีเหตุการณ์ใดเลยในชีวิตของท่านปฏิบัติขัดกับอุดมคติของท่าน  ไม่มีแม้แต่คำพูดของท่าน  หรือการกระทำของท่านที่จะแสดงออกถึงความสนใจแต่เฉพาะตนเอง  ท่านยอมทนทุกข์เพื่อผู้อื่นแต่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพื่อผลประโยชน์ของท่านเลย  ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเป็นตัวอย่างของความสัตย์จริง  ความมีเกียรติ  ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ  ความคิดอันสูงส่ง  และการเป็นแบบอย่างอันมีเกียรติของมนุษย์  ลักษณะของท่านนั้นไม่มีข้อด่างพร้อย  แม้ว่าจะมีการตรวจตรากันอย่างละเอียดที่สุด  จะไม่พบแม้แต่จุดเล็กๆ ของความผิดในชีวิต  ความจริงเหล่านี้  ทำให้เห็นเด่นชัดว่า ท่านเป็นนะบีซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกและมนุษย์ต้องมีศรัทธาในตัวท่าน

               เมื่อเป็นที่เชื่อแน่ว่า  คนๆ นั้นเป็นนะบีที่แท้จริงแห่งพระผู้เป็นเจ้าแล้ว  ความรู้แจ้งนี้จะทำให้มนุษย์รับฟังคำพูดของท่าน  ทำให้คำสอนเป็นที่เชื่อถือ  และคำสั่งของท่านมีผู้ปฏิบัติตาม  เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะรับนับถือผู้หนึ่งว่าเป็นนะบี  แห่งพระผู้เป็นเจ้าแต่ยังไม่ยอมที่จะรับฟังทุกสิ่งที่ท่านกล่าวหรือไม่ยอมกระทำตามที่ท่านปฏิบัติ 

          และนั่นย่อมหมายความว่าทุกคนยอมรับว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า  และทุกสิ่งที่ท่านกระทำย่อมเป็นไปตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น!  การขัดขืนต่อท่านก็ย่อมหมายถึงการขัดขืนต่อพระผู้เป็นเจ้า และการขัดขืนต่อพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่นำผลอะไรเลย  นอกจากความพินาศสูญเสีย 

          ดังนั้น!  การยอมรับนับถือท่านนะบี จึงเป็นหน้าที่ ที่จะต้องเคารพต่อการสั่งสอน  และเชื่อฟังทุกอย่างโดยมิต้องลังเล  เราอาจไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ทั้งหมดถึงความมีประโยชน์หรือความมีเหตุผลของคำสอนแต่ละข้อ  ความจริงที่ว่า คำสอนนั้นมาจากท่านนะบีย่อมเป็นหลักประกันเพียงพอว่าเป็นความจริงที่จะไม่มีความสงสัยใดๆ เคลือบแคลงเป็นอันขาด  การที่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้  มิได้หมายความว่าสิ่งนั้นๆ มีข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดใดๆ แต่เพราะว่าความเข้าใจของมนุษย์ปุถุชนนั้นย่อมไม่สมบูรณ์  ความเข้าใจของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด  และก็ไม่ควรลืมขีดจำกัดที่ว่า ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักศิลปะชนิดหนึ่งๆ อย่างแจ่มแจ้งแล้ว  ก็ย่อมไม่อาจจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งของศิลปะนั้นๆ ได้  และถ้าคนๆ นั้นจะปฏิเสธสิ่งที่ผู้ชำนาญกล่าวหรือเพียงแต่จะร้องอุทธรณ์ว่า  ไม่เข้าใจผู้ชำนาญคนนั้น  ก็นับว่าเป็นคนโง่เขลาทีเดียว

          ย่อมจะเป็นที่กล่าวกันได้ว่า  ในการดำเนินกิจการที่สำคัญๆ ทางโลกทั้งหมดย่อมต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น  และเมื่อได้ฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญนั้นแล้วก็ต้องเชื่อถือคำแนะนำนั้น  และยอมทำตามคำแนะนำทุกอย่าง  เราต้องยอมสละสิทธิ์แห่งการตัดสิน  การเข้าแทรกแซงและต้องทำตามผู้นำโดยดุษฎี  มนุษย์ทุกคนไม่อาจเป็นผู้ชำนาญในศิลปะหรืองานฝีมือทุกอย่างในโลกได้  ทางที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ธรรมดาคือสิ่งที่เขาทำได้  และสำหรับสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ก็ต้องใช้สติปัญญาความสุขุม ในการเลือกหาบุคคลที่เหมาะสมที่จะนำทางให้เขาและช่วยเหลือเขา  หลังจากได้พบแล้วก็ต้องยอมรับฟังคำแนะนำของผู้นั้นพร้อมทั้งปฏิบัติตาม  เมื่อแน่ใจว่าบุคคลนั้นๆ เป็นคนดีที่สุดที่จะหาได้ตามจุดประสงค์แล้ว   ก็ต้องขอคำแนะนำและมอบความไว้วางใจให้เขาอย่างเต็มที่  การที่จะเข้าไปแทรกแซงในกิจการของเขาทุกๆ ก้าวพร้อมกับกล่าวว่า “ให้ฉันเข้าใจเสียก่อน ก่อนที่ท่านจะดำเนินงานต่อไป” นั้น  ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย 

          ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเมื่อเราแจ้งทนายความแล้ว  ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทนายความนั้น   เป็นเพราะเราเชื่อถือในตัวทนายและทำตามคำแนะนำของเขา  สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็เช่นกัน  เมื่อไปหาแพทย์เราย่อมจะไม่ไปก้าวก่ายในการรักษาพยาบาลหรือโต้แย้งกับแพทย์เป็นอันขาด  สิ่งนี้แหละเป็นทางปฏิบัติอันถูกต้องในการดำรงชีวิต  ในเรื่องของศาสนาก็ต้องดำเนินไปโดยวิธีเดียวกันนี้  เราต้องการความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นจ้า  ต้องการทราบวิธีการดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงโปรดปราน  ตัวเราเองนั้นไม่สามารถที่จะรับความรู้นี้ได้ ดังนั้น!  จึงเป็นหน้าที่ ที่จะแสวงหาท่านนะบีที่แท้จริง  และต้องใช้ความระมัดระวังการพิจารณา  และความฉลาดรอบคอบในการเลือกเฟ้น  ถ้าเลือกผิดเขาผู้นั้นก็ย่อมชักนำไปในทางที่ผิด  เมื่อเราได้ใช้วิจารณญาณอย่างถูกต้องเหมาะสม  และได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในการเลือกบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นนะบีที่แท้จริงแล้ว เราก็ต้องไว้ใจเขาอย่างสมบูรณ์และทำตามคำสอนของเขาอย่างสัตย์ซื่อ 

          บัดนี้ก็เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า  ทางที่ถูกต้องสำหรับมนุษย์มีทางเดียวคือ  ทางที่นะบีได้ชี้ให้และวิถีทางที่ถูกต้องสำหรับการดำรงชีวิต คือทางที่ผู้ชี้ทางได้แจ้งให้เราทราบ  ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า  จากความจริงข้อนี้ มนุษย์สามารถเข้าใจได้โดยง่ายว่าการมีศรัทธาในท่านนะบี  เชื่อฟังและทำตามเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน  และมนุษย์ผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อคำสั่งสอนของนะบี  และพยายามที่จะค้นหาทางของตนเอง  ย่อมที่จะหันเหออกไปจากทางที่ถูกต้อง  และเขาจะหลงไปสู่ทางที่ผิด

          มีมนุษย์ที่การกระทำผิดด้วยความน่าพิศวง  เนื่องจากมีมนุษย์ที่ยอมรับในการเป็นนะบี  แต่ก็ไม่มีศรัทธา (อีมาน) ในตัวของบรรดานะบี และไม่ยอมที่จะดำเนินชีวิตตามที่ผู้ชี้ทางนั้นบอกกล่าว  มนุษย์จำพวกนั้นไม่เพียงแต่เป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธ) เท่านั้น  เขายังเป็นผู้ปฏิบัติการด้วยความโง่เขลา  และปฏิบัติไปในทางที่ผิดธรรมชาติอีกด้วย  เพราะการที่ไม่ยอมทำตามท่านนะบีหลังจากยอมรับว่าท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความจริง  ย่อมหมายความว่ามนุษย์ผู้นั้นเดินตามทางที่ผิดทั้ง ๆ ที่รู้ความจริง  และความอัปยศอันใดเล่าที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้

               บางคนกล่าวว่า “เราไม่ต้องการนะบีมานำทางให้เรา ตัวเราเองนี้แหละ จะเป็นผู้ค้นหาทางไปสู่ความจริงนั้นให้ได้” คำกล่าวเช่นนี้เป็นแง่คิดที่ผิด ท่านอาจจะได้เรียนเรขาคณิต  และก็รู้ว่าระหว่างจุด 2 จุดจะมีเส้นตรงเพียง 1 เส้นเท่านั้น  เส้นอื่นๆ ต้องเป็นเส้นคดหรือมิฉะนั้นก็เป็นเส้นที่ไม่สัมผัสจุด  เช่นเดียวกับทางที่จะนำไปสู่ความจริงซึงในอิสลามเรียกว่า “ศิรอฎ็อลมุสตะกีม”(ทางเที่ยงตรง) ทางนี้เริ่มจากมนุษย์และตรงไปสู่พระผู้เป็นเจ้า  และทางนั้นก็มีเพียงหนึ่งทางเท่านั้น  ทางอื่นๆ เป็นความคลาดเคลื่อน และนำไปสู่ทางหลงผิด 

          บัดนี้ท่านนะบีได้ชี้ให้เห็นทางตรงนั้นแล้ว  และจะไม่มีทางตรงที่ไหนอื่นอีก  มนุษย์ผู้ซึ่งไม่สนใจทางนั้นและพยายามหาทางอื่นๆ อีก  ก็ไม่ผิดอะไรกับผู้ที่ถูกหลอกลวงด้วยความคิดเพ้อฝันของตนเอง  เขาเลือกทางและเข้าใจเอาเองว่าเป็นทางที่ถูก  ในไม่ช้าเขาก็จะพบว่าเขาอยู่ในฐานะที่ยากลำบากและหลงอยู่ในความคดเคี้ยววกวน  ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยความเพ้อฝันของตนเอง  ท่านรู้สึกอย่างไรกับมนุษย์ผู้ซึ่งหลงทางและ เมื่อมีคนดีมาชี้ทางที่ถูกให้ เขาก็กลับปฏิเสธคำแนะนำนั้นอย่างไม่ใยดี พร้อมกลับกล่าวว่า

 “ฉันไม่ต้องการคำแนะนำของท่าน และจะไม่ยอมเลือกทางที่ท่านชี้ให้ แต่ฉันจะคลำหาทางในถิ่นที่ฉันไม่รู้จักนี้แหละ และจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่ฉันต้องการด้วยวิธีของฉันเอง”

          การปฏิเสธคำแนะนำของท่านนะบี คือความโง่เง่าอย่างแท้จริง  ถ้าทุกๆ คนพยายามที่จะตั้งต้นใหม่จากจุดเริ่มต้น  ก็ย่อมเป็นการเสียเวลาและเสียพลังไปเปล่าๆ  และเราจะไม่ทำเช่นนี้ในด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ  เหตุใดเล่าจึงจะปฏิบัติในแง่ของศาสนา

               เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดธรรมดาสามัญ  และถ้าหยุดคิดก็จะได้เห็นความผิดและข้อบกพร่องนั้น  แต่ถ้าลองคิดให้ลึกซึ้งจะสังเกตเห็นว่าผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาจะไม่สามารถพบทางตรง  หรือทางที่ไปสู่พระผู้เป็นเจ้าได้เลย  ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะรับฟังคำแนะนำของผู้ทรงไว้ซึ่งความจริง  ย่อมจะรับทางที่ตรงกันข้าม  ความจริงจะเหินห่างออกไปทุกทีๆ   และเขาจะกลายเป็นเหยื่อของการดื้อรั้น  ความอวดดี  ความไม่มั่นคงของการตัดสินของตนเอง  การปฏิเสธนี้เกิดขึ้นจากความอวดดีอย่างผิดๆ หรือการยึดมั่นอยู่กับสิ่งเก่าๆ อย่างงมงายและความดื้อดึงที่จะยึดถือตามบรรพบุรุษ  หรือเป็นทาสของความต้องการฝ่ายต่ำของตนเอง ซึ่งทำให้ไม่อาจยอมรับคำสั่งสอนของท่านนะบีได้  ถ้ามนุษย์ยังยึดมั่นอยู่กับสภาพใดสภาพหนึ่งดังกล่าวนี้แล้ว  หนทางแห่งความจริงก็จะถูกปิดตาย เขาจะไม่อาจมองสิ่งต่างๆ ตามสภาพแห่งความเป็นจริงได้  คนชนิดนั้นย่อมไม่สามารถที่จะพบทางไปสู่ความเป็นจริงได้

           ในทางตรงกันข้าม  ถ้าคนๆ หนึ่งมีความจริงใจเป็นผู้รักความจริง  และไม่เป็นทาสของความยุ่งยากทั้งหลาย  ทางที่จะนำไปสู่ความจริงก็จะได้รับการจัดเตรียมไว้ และเขาก็จะไม่ปฏิเสธเลย  เขาจะพบว่าในคำสอนของท่านนะบีนั้นมีเสียงสะท้อนของวิญญาณ และเขาจะพบตัวเองจากการพบท่านนะบี

               นอกเหนือไปจากนั้น  ท่านนะบี ที่แท้จริงนั้นได้รับการเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง  พระองค์เป็นผู้ส่งนะบีมาให้มนุษย์เพื่อให้นำสาส์นของพระองค์มาสู่มวลมนุษย์  เพื่อพระบัญชาของพระองค์ให้มนุษย์มีความศรัทธาในผู้ที่ชี้ทาง  และปฏิบัติตาม

          ดังนั้น!  ผู้ปฏิเสธที่จะเชื่อผู้ถือสาส์นของพระผู้เป็นเจ้า  ก็เท่ากับว่าปฏิเสธที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์    และจะกลายเป็นผู้ทรยศ  ดังเช่น การปฏิเสธความจริงที่จะรับทราบอำนาจอุปราชของกษัตริย์  ก็ย่อมเท่ากับว่าปฏิเสธอำนาจของกษัตริย์นั่นเอง  การไม่เชื่อฟังนี้ย่อมทำให้เขากลายเป็นคนขบถ ทรยศต่อแผ่นดิน  พระผู้เป็นเจ้าของจักรวาลเป็นราชาที่แท้จริง  เป็นราชาของราชา  และเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องยอมรับในอำนาจของทูตสวรรค์ (รสูล) และยอมปฏิบัติตามท่าน  โดยถือว่าท่านเป็นนะบีที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า 

ผู้ใดที่หันหนีจากท่านนะบีแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธ) แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชื่อถือในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม
                              

 

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา”