ความเชื่อมั่นและภักดี
  จำนวนคนเข้าชม  5637

 

ความเชื่อมั่นและภักดี

 

               “อิสลาม” หมายถึงการภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า  และเป็นธรรมดาที่ว่ามนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าเขาไม่รู้ความจริง ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตและมีศรัทธาต่อความเป็นจริงนั้น  แต่ความจริงเหล่านั้นคืออะไร ? และอะไรเล่าที่เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นที่มนุษย์จะต้องรู้ ? เพื่อที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามวิถีทางแห่งอัลลอฮ์
              
           เริ่มแรกทีเดียว  มนุษย์จะต้องเชื่ออย่างแน่วแน่  ต่อการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า  เพราะถ้าหากว่ามนุษย์ไม่เชื่อถือการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว  เขาจะภักดีต่อพระองค์ได้อย่างไร
              
           ต่อจากนั้นเขาจะต้องรู้ถึงคุณลักษณะของพระองค์  และด้วยการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์นี้  ที่จะปลูกฝังคุณลักษณะอันสูงส่ง และช่วยให้เขาได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความดี  ถ้ามนุษย์ไม่รู้ว่า  มีพระเจ้าอยู่องค์เดียว  ซึ่งเป็นพระผู้สร้าง  ผู้ปกครอง  ผู้อภิบาลจักรวาล  และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะรับแบ่งอำนาจเหล่านั้นได้  เขาก็อาจตกเป็นเหยื่อของการเชื่อถือเทพเจ้าอื่นอย่างผิดๆ  และหันไปเคารพบูชาเทพเจ้าเหล่านั้น  ด้วยความหวัง ความรักและขอความคุ้มครอง  แต่ถ้าเขาได้รู้ลักษณะของ “เตาฮีดฺ” (เอกภาพแห่งอัลลอฮ์) แล้ว  จะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาเหล่านั้น 

          ในทำนองเดียวกัน  ถ้ามนุษย์รู้ว่าพระเจ้าอยู่ในที่ทุกๆ แห่ง  พระองค์เป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  พระองค์ทรงเห็น ทรงได้ยิน  ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง ตลอดจนล่วงรู้แม้แต่ความคิดคำนึงของเขาแล้ว  มนุษย์จะสามารถทำตามใจตนเองและขัดต่อบัญญัติของพระองค์ได้หรือ ? มนุษย์จะต้องรู้สึกว่า  เขานั้นอยู่ภายใต้ความดูแลอยู่ชั่วนิรันดร์   และจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเหมาะสมตลอดเวลา 

 

          ส่วนผู้ที่ไม่รู้คุณลักษณะของพระองค์  ก็จะถูกชักนำไปในทางที่ผิดคือไม่ภักดีต่อพระองค์  ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   ตามจริงแล้วคุณลักษณะของมนุษย์ที่จะปฏิบัติตามอัลอิสลาม จะได้รับการปลูกฝังมาจากความรู้สึกอันลึกซึ้งที่อยู่ในคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง  ความรู้ในคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสิ่งซึ่งจะทำให้วิญญาณ จิตใจ ศีลธรรมและการกระทำของมนุษย์บริสุทธ์  และการที่จะรู้จักอย่างผิวเผิน  หรือจะใช้ความรู้ทางวิชาการรับรู้คุณสมบัตินี้  ไม่เพียงพอสำหรับการงานที่รออยู่ข้างหน้า  เพราะจะต้องเป็นความเชื่อที่แน่วแน่ซึ่งฝังลึกลงในจิตใจและสมอง เพื่อที่มนุษย์จะได้ไม่ฉงนอย่างผิด ๆ และไม่หันเหไปในทางที่ผิดได้ง่าย ๆ
             
           นอกจากนั้น  มนุษย์ยังรู้รายละเอียดของวิถีการดำรงชีวิตและปฏิบัติตามกฏ  มนุษย์จะสามารถพบกับความพึงพอใจและรับรู้ถึงพระผู้เป็นเจ้าได้  แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นที่ชอบและสิ่งใดเป็นที่ชังของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว  เขาจะเลือกปฏิบัติสิ่งแรกและเลิกกระทำสิ่งหลังได้อย่างไร?  ถ้ามนุษย์ไม่รู้บทบัญญัติของพระองค์เขาจะปฏิบัติได้อย่างไร? ดังนั้น !  ความรู้เรื่องบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและหลักในการดำรงชีวิต  จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก
               
          แต่เพียงแค่ความรู้เท่านั้นยังไม่พอ  มนุษย์ยังจะต้องมีความเชื่อถืออย่างแน่วแน่ว่า  ว่าสิ่งนั้นเป็นบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า  และถ้าหากเขาทำตามกฎนี้แล้ว  เขาจะรอดพ้นจากบาปทั้งปวง  ด้วยเหตุที่ว่าความรู้ที่ไม่มีความเชื่อถือนั้นไม่อาจทำให้มนุษย์เดินไปในทางที่ถูก  เขาอาจจะหลงไปในทางมืดแห่งความไม่ภักดีก็ได้
              
 

          ถ้าเราพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดของขวัญให้แก่มวลมนุษย์แล้ว  จะได้พบว่าสติปัญญาทั้งหลายที่พระองค์มอบให้นั้น  พระองค์มอบให้ด้วยวิธีที่วิเศษยิ่ง  ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต  พระองค์ได้มอบให้แก่มนุษย์ส่วนใหญ่  ส่วนสติปัญญาที่เหนือจากคนสามัญที่ต้องการเพียงจำนวนจำกัด  พระองค์ก็มอบให้กลุ่มชนจำนวนน้อย ทหาร ชาวนา  นายช่างและกรรมกร มีจำนวนมาก  แต่นายทหาร นักปราชญ์  นักการเมือง  และชนชั้นปัญญาชน  ถ้าจะเปรียบกันแล้วจะเห็นได้ว่าน้อยกว่า  ในทำนองเดียวกันกับการเปรียบเทียบอาชีพต่างๆกับศิลปะและการช่างฝีมือ  ตามกฎทั่วๆไป ดูเหมือนว่ายิ่งมีความสามารถ ยิ่งมีความอัจฉริยะมากเท่าใด  จำนวนคนที่จะเป็นเจ้าของความสามารถนั้นก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น  อัจฉริยะผู้เคยสร้างความทรงจำไว้ในประวัติศาสตร์อันยากที่จะลบเลือนได้  และการกระทำของท่านซึ่งได้นำทางมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยก็มีน้อยและไกลออกไปทุกที
              

           เมื่อมาถึงจุดนี้จะพบกับปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์นั้น  จำกัดอยู่แต่เพียงความต้องการของผู้เชี่ยวชาญ และมีความชัดเจนในด้านกฎหมายการเมือง วิทยาศาสตร์  วิศวกรรม  เครื่องจักรกล  การเงิน  เศรษฐกิจ  และสิ่งต่าง ๆ เท่านั้นเอง  ความต้องการมนุษย์ผู้ซึ่งจะนำมนุษย์ทั้งหลายไปสู่ทางที่ถูกต้องทางที่จะนำไปสู่พระผู้เป็นเจ้าและทางรอดพ้น  ผู้ชำนาญการอื่น ๆ ได้ช่วยให้มนุษย์มีความรู้ในทุก ๆสิ่งในโลก  พร้อมทั้งหาทางและวิธีที่จะใช้ความรู้นั้น  แต่จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่จะชี้แจงให้มนุษย์ทราบถึงจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ชีวิตและความหมายของชีวิต  ชี้แจงให้ทราบว่ามนุษย์คืออะไร? และทำไมเราถึงถูกสร้างขึ้น?  และเพราะเหตุใด?  จุดหมายปลายทางของชีวิตคืออะไร?  และทำอย่างไรจึงจะบรรลุจุดหมายปลายทางนั้นๆได้?  ชีวิตชนิดใดเล่าถือว่าเป็นชีวิตที่ถูกต้อง?  และทำอย่างไรจึงจะดำเนินชีวิตนั้นได้?  สิ่งนี้เป็นความต้องการที่สำคัญของมนุษย์  ถ้าเขาไม่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  เขาก็ย่อมไม่สามารถที่จะวางรากฐานอันมั่นคงของวัฒนธรรมได้เลย  และย่อมจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งชีวิตนี้และชีวิตต่อจากนี้ไป 

          ด้วยความมีเหตุมีผล  มนุษย์ย่อมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งได้จัดหาทุกสิ่งให้แม้แต่สิ่งเล็กๆ ที่เขาต้องการ แล้วพระองค์จะละเลยที่จะจัดหาสิ่งที่ใหญ่ที่สุด  สำคัญที่สุด  และจำเป็นที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ได้อย่างไร  เปล่าเลย! ไม่เป็นเช่นนั้นแน่  ขณะที่พระเจ้าได้กำหนดให้มนุษย์มีความแตกต่างในทางศิลป์และทางวิทยาศาสตร์  พระองค์ได้ให้กลุ่มหนึ่งมีสายตาอันลึกซึ้ง  มีความเข้าใจอันบริสุทธ์และสามารถที่จะรู้จักและเข้าใจพระองค์ 

 

         สำหรับมนุษย์เหล่านั้นพระองค์ได้เปิดเผยให้เขาได้รู้ทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า  รู้ทางบุญและความถูกต้อง  พระองค์ได้ให้ความรู้เรื่องจุดประสงค์ของชีวิตและค่าของคุณธรรม  และได้ชี้แจงให้เขาได้รับทราบหน้าที่ที่จะติดต่อเปิดเผยเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าให้มนุษย์ทั้งหลายทราบ  ตลอดจนนำมนุษย์ไปสู่ทางที่ถูกต้อง ท่านเหล่านี้ คือ บรรดานะบีและ เราะซูล (ศาสนฑูต) ของพระผู้เป็นเจ้า นั่นเอง

 

 

 

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา”