ความเชื่อมั่นและภักดี
“อิสลาม” หมายถึงการภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นธรรมดาที่ว่ามนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าเขาไม่รู้ความจริง ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตและมีศรัทธาต่อความเป็นจริงนั้น แต่ความจริงเหล่านั้นคืออะไร ? และอะไรเล่าที่เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นที่มนุษย์จะต้องรู้ ? เพื่อที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามวิถีทางแห่งอัลลอฮ์
เริ่มแรกทีเดียว มนุษย์จะต้องเชื่ออย่างแน่วแน่ ต่อการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะถ้าหากว่ามนุษย์ไม่เชื่อถือการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาจะภักดีต่อพระองค์ได้อย่างไร
ต่อจากนั้นเขาจะต้องรู้ถึงคุณลักษณะของพระองค์ และด้วยการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์นี้ ที่จะปลูกฝังคุณลักษณะอันสูงส่ง และช่วยให้เขาได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความดี ถ้ามนุษย์ไม่รู้ว่า มีพระเจ้าอยู่องค์เดียว ซึ่งเป็นพระผู้สร้าง ผู้ปกครอง ผู้อภิบาลจักรวาล และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะรับแบ่งอำนาจเหล่านั้นได้ เขาก็อาจตกเป็นเหยื่อของการเชื่อถือเทพเจ้าอื่นอย่างผิดๆ และหันไปเคารพบูชาเทพเจ้าเหล่านั้น ด้วยความหวัง ความรักและขอความคุ้มครอง แต่ถ้าเขาได้รู้ลักษณะของ “เตาฮีดฺ” (เอกภาพแห่งอัลลอฮ์) แล้ว จะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาเหล่านั้นในทำนองเดียวกัน ถ้ามนุษย์รู้ว่าพระเจ้าอยู่ในที่ทุกๆ แห่ง พระองค์เป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงเห็น ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง ตลอดจนล่วงรู้แม้แต่ความคิดคำนึงของเขาแล้ว มนุษย์จะสามารถทำตามใจตนเองและขัดต่อบัญญัติของพระองค์ได้หรือ ? มนุษย์จะต้องรู้สึกว่า เขานั้นอยู่ภายใต้ความดูแลอยู่ชั่วนิรันดร์ และจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเหมาะสมตลอดเวลา
ส่วนผู้ที่ไม่รู้คุณลักษณะของพระองค์ ก็จะถูกชักนำไปในทางที่ผิดคือไม่ภักดีต่อพระองค์ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตามจริงแล้วคุณลักษณะของมนุษย์ที่จะปฏิบัติตามอัลอิสลาม จะได้รับการปลูกฝังมาจากความรู้สึกอันลึกซึ้งที่อยู่ในคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ความรู้ในคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสิ่งซึ่งจะทำให้วิญญาณ จิตใจ ศีลธรรมและการกระทำของมนุษย์บริสุทธ์ และการที่จะรู้จักอย่างผิวเผิน หรือจะใช้ความรู้ทางวิชาการรับรู้คุณสมบัตินี้ ไม่เพียงพอสำหรับการงานที่รออยู่ข้างหน้า เพราะจะต้องเป็นความเชื่อที่แน่วแน่ซึ่งฝังลึกลงในจิตใจและสมอง เพื่อที่มนุษย์จะได้ไม่ฉงนอย่างผิด ๆ และไม่หันเหไปในทางที่ผิดได้ง่าย ๆ
นอกจากนั้น มนุษย์ยังรู้รายละเอียดของวิถีการดำรงชีวิตและปฏิบัติตามกฏ มนุษย์จะสามารถพบกับความพึงพอใจและรับรู้ถึงพระผู้เป็นเจ้าได้ แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นที่ชอบและสิ่งใดเป็นที่ชังของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาจะเลือกปฏิบัติสิ่งแรกและเลิกกระทำสิ่งหลังได้อย่างไร? ถ้ามนุษย์ไม่รู้บทบัญญัติของพระองค์เขาจะปฏิบัติได้อย่างไร? ดังนั้น ! ความรู้เรื่องบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและหลักในการดำรงชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก
แต่เพียงแค่ความรู้เท่านั้นยังไม่พอ มนุษย์ยังจะต้องมีความเชื่อถืออย่างแน่วแน่ว่า ว่าสิ่งนั้นเป็นบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และถ้าหากเขาทำตามกฎนี้แล้ว เขาจะรอดพ้นจากบาปทั้งปวง ด้วยเหตุที่ว่าความรู้ที่ไม่มีความเชื่อถือนั้นไม่อาจทำให้มนุษย์เดินไปในทางที่ถูก เขาอาจจะหลงไปในทางมืดแห่งความไม่ภักดีก็ได้
ถ้าเราพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดของขวัญให้แก่มวลมนุษย์แล้ว จะได้พบว่าสติปัญญาทั้งหลายที่พระองค์มอบให้นั้น พระองค์มอบให้ด้วยวิธีที่วิเศษยิ่ง ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต พระองค์ได้มอบให้แก่มนุษย์ส่วนใหญ่ ส่วนสติปัญญาที่เหนือจากคนสามัญที่ต้องการเพียงจำนวนจำกัด พระองค์ก็มอบให้กลุ่มชนจำนวนน้อย ทหาร ชาวนา นายช่างและกรรมกร มีจำนวนมาก แต่นายทหาร นักปราชญ์ นักการเมือง และชนชั้นปัญญาชน ถ้าจะเปรียบกันแล้วจะเห็นได้ว่าน้อยกว่า ในทำนองเดียวกันกับการเปรียบเทียบอาชีพต่างๆกับศิลปะและการช่างฝีมือ ตามกฎทั่วๆไป ดูเหมือนว่ายิ่งมีความสามารถ ยิ่งมีความอัจฉริยะมากเท่าใด จำนวนคนที่จะเป็นเจ้าของความสามารถนั้นก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น อัจฉริยะผู้เคยสร้างความทรงจำไว้ในประวัติศาสตร์อันยากที่จะลบเลือนได้ และการกระทำของท่านซึ่งได้นำทางมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยก็มีน้อยและไกลออกไปทุกที
เมื่อมาถึงจุดนี้จะพบกับปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์นั้น จำกัดอยู่แต่เพียงความต้องการของผู้เชี่ยวชาญ และมีความชัดเจนในด้านกฎหมายการเมือง วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เครื่องจักรกล การเงิน เศรษฐกิจ และสิ่งต่าง ๆ เท่านั้นเอง ความต้องการมนุษย์ผู้ซึ่งจะนำมนุษย์ทั้งหลายไปสู่ทางที่ถูกต้องทางที่จะนำไปสู่พระผู้เป็นเจ้าและทางรอดพ้น ผู้ชำนาญการอื่น ๆ ได้ช่วยให้มนุษย์มีความรู้ในทุก ๆสิ่งในโลก พร้อมทั้งหาทางและวิธีที่จะใช้ความรู้นั้น แต่จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่จะชี้แจงให้มนุษย์ทราบถึงจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ชีวิตและความหมายของชีวิต ชี้แจงให้ทราบว่ามนุษย์คืออะไร? และทำไมเราถึงถูกสร้างขึ้น? และเพราะเหตุใด? จุดหมายปลายทางของชีวิตคืออะไร? และทำอย่างไรจึงจะบรรลุจุดหมายปลายทางนั้นๆได้? ชีวิตชนิดใดเล่าถือว่าเป็นชีวิตที่ถูกต้อง? และทำอย่างไรจึงจะดำเนินชีวิตนั้นได้? สิ่งนี้เป็นความต้องการที่สำคัญของมนุษย์ ถ้าเขาไม่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เขาก็ย่อมไม่สามารถที่จะวางรากฐานอันมั่นคงของวัฒนธรรมได้เลย และย่อมจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งชีวิตนี้และชีวิตต่อจากนี้ไป
ด้วยความมีเหตุมีผล มนุษย์ย่อมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งได้จัดหาทุกสิ่งให้แม้แต่สิ่งเล็กๆ ที่เขาต้องการ แล้วพระองค์จะละเลยที่จะจัดหาสิ่งที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด และจำเป็นที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ได้อย่างไร เปล่าเลย! ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ขณะที่พระเจ้าได้กำหนดให้มนุษย์มีความแตกต่างในทางศิลป์และทางวิทยาศาสตร์ พระองค์ได้ให้กลุ่มหนึ่งมีสายตาอันลึกซึ้ง มีความเข้าใจอันบริสุทธ์และสามารถที่จะรู้จักและเข้าใจพระองค์
สำหรับมนุษย์เหล่านั้นพระองค์ได้เปิดเผยให้เขาได้รู้ทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า รู้ทางบุญและความถูกต้อง พระองค์ได้ให้ความรู้เรื่องจุดประสงค์ของชีวิตและค่าของคุณธรรม และได้ชี้แจงให้เขาได้รับทราบหน้าที่ที่จะติดต่อเปิดเผยเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าให้มนุษย์ทั้งหลายทราบ ตลอดจนนำมนุษย์ไปสู่ทางที่ถูกต้อง ท่านเหล่านี้ คือ บรรดานะบีและ เราะซูล (ศาสนฑูต) ของพระผู้เป็นเจ้า นั่นเอง
จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”
แปลและเรียบเรียง “จินตนา”