ลักษณะของ กุฟรฺ
  จำนวนคนเข้าชม  8071


 

ลักษณะของ “กุฟรฺ”


           ลักษณะที่ตรงกันข้ามกับ "มุสลิม"   ได้มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง  ซึ่งถึงแม้จะเป็นมุสลิมโดยกำเนิดและต้องเป็นมุสลิมไปตลอดชีพก็ตาม  อีกทั้งยังไม่ยอมที่จะใช้เหตุผล สติปัญญา วิจารณญาณที่สามารถจะรับรู้  ยอมรับนับถือพระผู้อภิบาล  และผู้สร้างตัวของเขาเองขึ้นมา  ทั้งยังใช้เสรีภาพในการเลือกของตนอย่างผิดๆ ในการเลือกที่จะปฏิเสธการยอมรับนับถือพระองค์  บุคคลผู้นั้นก็คือ"ผู้ปฏิเสธ" คือ การไม่ศรัทธาเชื่อถือใน อัลลอฮฺ  ในบทบัญญัติของพระองค์ และบรรดา นะบี ของพระองค์ (ผู้แปล)  หรือในศัพท์ของอิสลาม  คนผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า “กาฟิรฺ”
 
 

         “กุฟรฺ” ถ้าแปลตามศัพท์แล้วย่อมหมายถึง “การปกปิด” หรือ “อำพราง” ผู้ซึ่งปฏิเสธความจริงไม่ยอมรับนับถือพระผู้อภิบาล  ก็ย่อมได้รับการขนานนามว่า “กาฟิรฺ” เพราะเขาปิดบังอำพรางสิ่งที่เขาเป็นอยู่โดยกำเนิด และฝังอยู่ในวิญญาณของเขาเองด้วยความไม่เลื่อมใสศรัทธา  เพราะอันที่จริงแล้วโดยกำเนิดและธรรมชาติเขาต้องเป็นอิสลาม ร่างกายของเขาทั้งร่าง  เส้นเอ็นทุก ๆ เส้น และทุกส่วนก็ต้องเป็นไปตามสัญชาตญาณ ทุกๆอนุภาคของทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิต ก็ต้องดำเนินไปตามกฎของอิสลาม และต้องทำหน้าที่ที่ได้กำหนดมาแล้ว

         แต่ทว่า สายตาของคนผู้นี้ได้พร่ามัวเสียแล้ว สติปัญญา  วิจารณญาณของเขาถูกความมืดมิดปกคลุมจนกระทั่งเขาไม่สามารถแลเห็นได้  สายตาของเขาไม่อาจจะมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวเขาเองได้ เขาคิดและปฏิบัติไปโดยไม่สนใจใยดีเลย  เขาห่างเหินความจริงออกไปทุกที  และยังคงคลำหาลู่ทางอยู่ในความมืด  ลักษณะนี้แหละคือลักษณะของ “กุฟรฺ”
             

          "กุฟรฺ"  เป็นแบบหนึ่งของความโง่เขล่าเบาปัญญา  ดูเหมือนจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาอันแท้จริง  และเห็นได้ง่ายด้วยซ้ำ  ความโง่เขล่าอะไรเล่าจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความโง่เขลาที่ไม่ยอมรับรู้ในพระผู้อภิบาล  พระผู้ทรงสร้าง ทรงเกรียงไกรในจักรวาล 

 

♣ มนุษย์ศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติซึ่งเป็นเสมือนเครื่องจักรกลพิเศษที่ไม่มีวันหยุดหย่อน เป็นแบบอันยิ่งใหญ่ซึ่งแสดงทุกซอกทุกมุมถึงสิ่งที่ถูกสร้างเหล่านั้น  เข้าศึกษาถึงเครื่องจักรกลใหญ่อันนั้น  แต่เขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างและกำหนดสิ่งนั้นขึ้นมา 

 

♣  มนุษย์หันกลับมามองตัวเขาเองดูร่างกายซึ่งทำงานได้อย่างวิเศษมหัศจรรย์  ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้าย  แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพลังอำนาจซึ่งทำให้ตัวเขามีชีวิตขึ้นมา  เขาไม่รู้จักวิศวกรผู้ซึ่งกำหนดและสร้างเครื่องจักรกลนั้นขึ้นมา  เขาไม่สามารถจะเข้าใจพระผู้สร้างผู้ซึ่งได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตต่างๆ เช่น คาร์บอน แคลเซียม โซเดียม และสิ่งอื่นอีก

 

♣  มนุษย์มองเห็นกฎเกณฑ์ในจักรวาล  แต่ก็สามารถมองเห็นผู้ตั้งกฎนั้น เขามองเห็นความสวยงาม  และความกลมกลืนในผลงานนั้น  แต่มองไม่เห็นผู้สร้างงานชิ้นนั้น 

 

♣ มนุษย์มองเห็นความสมบูรณ์แบบอันมหัศจรรย์ในธรรมชาติ  แต่ไม่ได้สังเกตผู้ออกแบบในโลกอันกว้างใหญ่นี้ เขาสังเกตเห็นผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์  ทางด้านเครื่องกลไก  แต่เขาก็ปิดบังตัวเองโดยการที่ไม่ยอมรับรู้พระผู้สร้างสิ่งเหล่านั้น  ไม่ยอมรับรู้พระผู้ซึ่งบันดาลให้เกิดจักรวาลอันกว้างใหญ่  ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันจะเข้าใจได้ 

 

         ในเมื่อคนทั้งหลายหลอกตัวเอง (ปิดบังตัวเอง) ไม่ยอมรับรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่ข้อนี้  แล้วเขาจะเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร คนที่ตั้งต้นผิดแล้วเขาจะสามารถบรรลุถึงปลายทางที่ถูกต้องได้กระนั้นหรือ? เขาจะไม่สามารถค้นพบความจริงได้เลย  ทางที่ถูกต้องก็ยังคงมืดมนเป็นความลับสำหรับเขา  และไม่ว่าเขาจะพยายามศึกษาค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์หรือศิลปะมากมายปานใดก็ตาม เขาก็จะไม่สามารถพาตัวเองออกมาสู่แสงสว่างแห่งปัญญาและความจริงได้เลย  เขาจะต้องหลงคลำทางอยู่ในความมืด  และเดินสะดุดความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองตลอดไป

 


 

 

 

 

 

 

 

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา"