ลักษณะของ “กุฟรฺ”
ลักษณะที่ตรงกันข้ามกับ "มุสลิม" ได้มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะเป็นมุสลิมโดยกำเนิดและต้องเป็นมุสลิมไปตลอดชีพก็ตาม อีกทั้งยังไม่ยอมที่จะใช้เหตุผล สติปัญญา วิจารณญาณที่สามารถจะรับรู้ ยอมรับนับถือพระผู้อภิบาล และผู้สร้างตัวของเขาเองขึ้นมา ทั้งยังใช้เสรีภาพในการเลือกของตนอย่างผิดๆ ในการเลือกที่จะปฏิเสธการยอมรับนับถือพระองค์ บุคคลผู้นั้นก็คือ"ผู้ปฏิเสธ" คือ การไม่ศรัทธาเชื่อถือใน อัลลอฮฺ ในบทบัญญัติของพระองค์ และบรรดา นะบี ของพระองค์ (ผู้แปล) หรือในศัพท์ของอิสลาม คนผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า “กาฟิรฺ”
“กุฟรฺ” ถ้าแปลตามศัพท์แล้วย่อมหมายถึง “การปกปิด” หรือ “อำพราง” ผู้ซึ่งปฏิเสธความจริงไม่ยอมรับนับถือพระผู้อภิบาล ก็ย่อมได้รับการขนานนามว่า “กาฟิรฺ” เพราะเขาปิดบังอำพรางสิ่งที่เขาเป็นอยู่โดยกำเนิด และฝังอยู่ในวิญญาณของเขาเองด้วยความไม่เลื่อมใสศรัทธา เพราะอันที่จริงแล้วโดยกำเนิดและธรรมชาติเขาต้องเป็นอิสลาม ร่างกายของเขาทั้งร่าง เส้นเอ็นทุก ๆ เส้น และทุกส่วนก็ต้องเป็นไปตามสัญชาตญาณ ทุกๆอนุภาคของทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิต ก็ต้องดำเนินไปตามกฎของอิสลาม และต้องทำหน้าที่ที่ได้กำหนดมาแล้ว
แต่ทว่า สายตาของคนผู้นี้ได้พร่ามัวเสียแล้ว สติปัญญา วิจารณญาณของเขาถูกความมืดมิดปกคลุมจนกระทั่งเขาไม่สามารถแลเห็นได้ สายตาของเขาไม่อาจจะมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวเขาเองได้ เขาคิดและปฏิบัติไปโดยไม่สนใจใยดีเลย เขาห่างเหินความจริงออกไปทุกที และยังคงคลำหาลู่ทางอยู่ในความมืด ลักษณะนี้แหละคือลักษณะของ “กุฟรฺ”
"กุฟรฺ" เป็นแบบหนึ่งของความโง่เขล่าเบาปัญญา ดูเหมือนจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาอันแท้จริง และเห็นได้ง่ายด้วยซ้ำ ความโง่เขล่าอะไรเล่าจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความโง่เขลาที่ไม่ยอมรับรู้ในพระผู้อภิบาล พระผู้ทรงสร้าง ทรงเกรียงไกรในจักรวาล
♣ มนุษย์ศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติซึ่งเป็นเสมือนเครื่องจักรกลพิเศษที่ไม่มีวันหยุดหย่อน เป็นแบบอันยิ่งใหญ่ซึ่งแสดงทุกซอกทุกมุมถึงสิ่งที่ถูกสร้างเหล่านั้น เข้าศึกษาถึงเครื่องจักรกลใหญ่อันนั้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างและกำหนดสิ่งนั้นขึ้นมา
♣ มนุษย์หันกลับมามองตัวเขาเองดูร่างกายซึ่งทำงานได้อย่างวิเศษมหัศจรรย์ ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้าย แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพลังอำนาจซึ่งทำให้ตัวเขามีชีวิตขึ้นมา เขาไม่รู้จักวิศวกรผู้ซึ่งกำหนดและสร้างเครื่องจักรกลนั้นขึ้นมา เขาไม่สามารถจะเข้าใจพระผู้สร้างผู้ซึ่งได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตต่างๆ เช่น คาร์บอน แคลเซียม โซเดียม และสิ่งอื่นอีก
♣ มนุษย์มองเห็นกฎเกณฑ์ในจักรวาล แต่ก็สามารถมองเห็นผู้ตั้งกฎนั้น เขามองเห็นความสวยงาม และความกลมกลืนในผลงานนั้น แต่มองไม่เห็นผู้สร้างงานชิ้นนั้น
♣ มนุษย์มองเห็นความสมบูรณ์แบบอันมหัศจรรย์ในธรรมชาติ แต่ไม่ได้สังเกตผู้ออกแบบในโลกอันกว้างใหญ่นี้ เขาสังเกตเห็นผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ ทางด้านเครื่องกลไก แต่เขาก็ปิดบังตัวเองโดยการที่ไม่ยอมรับรู้พระผู้สร้างสิ่งเหล่านั้น ไม่ยอมรับรู้พระผู้ซึ่งบันดาลให้เกิดจักรวาลอันกว้างใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันจะเข้าใจได้
ในเมื่อคนทั้งหลายหลอกตัวเอง (ปิดบังตัวเอง) ไม่ยอมรับรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่ข้อนี้ แล้วเขาจะเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ? คนที่ตั้งต้นผิดแล้วเขาจะสามารถบรรลุถึงปลายทางที่ถูกต้องได้กระนั้นหรือ? เขาจะไม่สามารถค้นพบความจริงได้เลย ทางที่ถูกต้องก็ยังคงมืดมนเป็นความลับสำหรับเขา และไม่ว่าเขาจะพยายามศึกษาค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์หรือศิลปะมากมายปานใดก็ตาม เขาก็จะไม่สามารถพาตัวเองออกมาสู่แสงสว่างแห่งปัญญาและความจริงได้เลย เขาจะต้องหลงคลำทางอยู่ในความมืด และเดินสะดุดความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองตลอดไป
จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”
แปลและเรียบเรียง “จินตนา"