วันแห่งความรัก หรือ วันแห่งความหายนะ !
เขียนโดย อุมม์รอชิด
หลายคนบอกว่าความรัก มีหลายนิยาม แต่มุสลิมมักจะบอกว่าความรักที่ดีที่สุดคือ รักอัลลอฮ์ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเรารักใคร เราก็ต้องการที่จะให้คนที่เรารักตอบรับความรักจากเรา ดังเช่น ถ้าเรารักคน คนหนึ่ง เราก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขารัก เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เมื่อเรารู้ว่าเขาชอบอะไร เราก็จะทำในสิ่งนั้นเพื่อให้เขาตอบรับความรักจากเรา เมื่อเขารักเราแล้ว เราจะขออะไร อยากได้อะไร เขาก็จะมอบให้กับเรา เพราะพลังแห่งความรัก มันยิ่งใหญ่เสมอ
“อาหรับชนบทคนหนึ่งถามท่านรอซูล ว่า “วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
ท่านรอซูล กล่าวแก่ชายคนนั้นว่า “ท่านเตรียมตัวที่จะไปพบกับวันนั้นอย่างไรบ้าง?”
ชายผู้นั้นตอบว่า “สิ่งที่เตรียมไว้คือรักอัลลอฮฺและรักรอซูลของพระองค์”
ท่านรอซูล ตอบว่า “ท่านก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากับผู้ที่ท่านรัก”
(บันทึกโดย:บุคอรีย์ และมุสลิม)
สิ่งที่มนุษย์ควรจะรักเป็นสิ่งแรก คือ “รัก” พระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงให้กำเนิดมนุษย์จากดิน ทรงประทานความเมตตาปรานี พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ให้อากาศหายใจ ให้ชีวิตเพื่อดำรงอยู่ในโลกใบนี้ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะจะนับถือศาสนาใด จะเชื่อและศรัทธาในสิ่งต่างๆที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติไว้ ทรงอภัยโทษเมื่อมนุษย์ได้กระทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่ามนุษย์จะเนรคุณต่อพระองค์ขนาดไหน แต่พระองค์ทรงยังคงรอการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ไหนรู้ได้ว่าเมื่อใด
เช่นเดียวกันเมื่อมุสลิมบอกว่า รักอัลลอฮ์ นั่นคือความรักที่ดีที่สุด เราก็รู้ว่าพระองค์ทรงชอบอะไร ? อัลลอฮ์ จะรักบุคคลประเภทไหน ? อัลลอฮ์จะตอบรับความรักของผู้ที่รักพระองค์อย่างไร ? อัลลอฮ์ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ? ฉะนั้นเมื่อเรารักอัลลอฮ์ เราก็ต้องทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งไว้ ทำตามแบบฉบับของคนที่อัลลอฮ์ ทรงรัก คือ ท่านนะบีมุฮัมมัด เพื่อที่เราจะได้รับการตอบรับความรักจากพระองค์
และเมื่ออัลลอฮ์ ทรงรักเราแล้ว เราจะขออะไรมากแค่ไหน พระองค์จะประทานแต่สิ่งที่ดีงามให้แก่เรากลับคืนมามากยิ่งกว่าที่เราได้ขอไป การให้ของพระองค์นั้น จะได้ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮ์อย่างแน่นอน และถ้าอัลลอฮ์ รักใครแล้ว เมื่อนั้นก็จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นคนที่พระองค์ทรงรักได้เลย และเราก็จะได้อยู่กับคนที่เรารักตลอดการ ในโลกอาคิเราะฮ์
“เมื่อใดที่อัลลอฮ์รักผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว พระองค์จะตรัสกับญิบรีลว่า ฉันได้รักคนผู้นี้แล้ว ดังนั้นเจ้าจงรักเขาด้วย
ญิบรีลก็จะรักเขาผู้นั้น แล้วญิบรีลก็จะป่าวประกาศแก่มลาอิกะฮ์ทั้งหลายบนฟ้าว่า
"แท้จริงอัลลอฮ์ได้รักคนผู้นี้ ดังนั้นพวกเจ้าก็จงรักเขาด้วย"
มลาอิกะฮ์ทั้งหมดก็จะรักเขา แล้วอัลลอฮ์ ก็จะทรงกำหนดการตอบรับจากชาวโลกให้แก่เขา”
(บันทึกโดย:บุคอรีย์ และมุสลิม)
เทศกาลวาเลนไทน์ที่จะมาถึง หนุ่มสาวส่วนใหญ่ แม้กระทั่งคนเถ้าคนแก่ จะเตรียมรับเทศกาลวาเลนไทน์กันอย่างคึกคัก สื่อทั้งทีวี วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ ต่างโหมกระหน่ำโฆษณาวันแห่งความรัก จนดูเหมือนว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาติเลยทีเดียว
ตามประวัติศาสตร์ วันวาเลนไทน์ คือ วันแห่งความตาย ของนักบวชชาวคริสต์ ซึ่งโดนชาวยิวจับขังคุกเนื่องจากการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ นับบวชผู้นี้ชื่อ เซนต์ วาเลนไทน์ และเซนวาเลนไทน์ ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ คือ วันแห่งความตาย หรือ วันแห่งความหายนะ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าร่วมหรือมีส่วนร่วมในเทศกาลนี้ ก็จะประสบแต่ความหายนะ !!!
♦ ความหายนะทางด้านการเงิน ตัวอย่างที่น่าสังเกตได้ เช่น ดอกกุหลาบ ที่มีราคาสูงมาก เพียงวันนี้วันเดียว นี่คือการจ่ายเงินทองไปในหนทางที่ไร้ค่า ไร้สาระ ต่อมาคือ
♦ หายนะทางด้านครอบครัว การผิดประเวณี การมีเพศสัมพันธุ์ของหนุ่มสาว ที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ซึ่งเป็นหายนะอันใหญ่หลวงสำหรับชีวิต และเป็นหายนะอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการตั้งครรภ์นอกสมรส หายนะต่อมา คือ
♦ หายนะทางด้านชีวิต เพราะเทศกาลนี้ปลุกเร้าให้คนดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพื่อให้มีความรักที่หวานชื่น เมื่อเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ บางคนถึงแก่ความตาย บางคนพิการ หรือบางคนขับรถไปชนคนอื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับความหายนะไปด้วย
เพราะฉะนั้น 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ มันก็คือวันแห่งความตาย หรือความหายนะนั่นเอง เมื่อพี่น้องมุสลิมรู้อย่างนี้แล้ว ท่านยังอยากจะไปร่วมในวันแห่งความหายนะหรือไม่ ! คิดเอาเองก็แล้วกัน
ขออัลลอฮ์ ทรงฮิดายะฮ์ ทุกท่านด้วยเถิด.....อามีน