อีหม่าน...ฐานเศรษฐกิจที่ขาดหายไป !
อับดุลฮาฟิษ อัสวีย // เขียน
การกล่าวถึงโลกอิสลามและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจปัจจุบัน สร้างคำถามมากมายในความคิดของผู้คนว่า ทำไมโลกอิสลามจึงล้าหลังทางด้านเศรษฐกิจ ? ทั้งๆ ที่อัลอิสลามส่งเสริมเรื่องความก้าวหน้าและการพัฒนาพร้อมกับมีปัจจัยสนับสนุนในทางปฎิบัติ ข้อสำคัญอัลอิสลามกล่าวว่าการสร้างความเจริญเติบโตบนโลกใบนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งจากภาคอิบาดะฮ์คำตอบเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากมาย เพราะตั้งแต่บรรดาประเทศอิสลามได้รับอิสรภาพจากการล่าอาณานิคมอย่างเป็นทางการ ประเทศอิสลามก็ขาดความเป็นตัวของตัวเองในการเลือกเฟ้นเส้นทางพัฒนา เพื่อสร้างความเจริญเติบโตให้กับตนเอง นอกเหนือจากความผิดพลาดจากฝ่ายบริหารด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอิสลาม ประเด็นสำคัญคือ ประเทศเหล่านี้ไม่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและยาวไกล ซึ่งสามารถส่งผลสะท้อนกลับสู่พวกพ้องและประเทศชาติของตนเองได้
ท่าน มาลิก บิน นะบีย์ นักเขียน และนักคิด นักเศรษฐศาสตร์อิสลาม ได้กล่าวถึงความจริงหลายประการด้วยกันในหนังสือ อัลมุสลิม ฟี อะลัม อัลอิกติศอดีย์ ส่วนหนึ่งได้แก่ เรื่องความเสมอภาคทางสังคมในกลุ่มประเทศมุสลิม ยังมีความแตกต่างจากสังคมตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ต้นของศตวรรษที่ 60 ประเทศอินโดนีเซียเพิ่งได้รับเอกราช แต่เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันกำลังอยู่ในช่วงพยายามวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้คนคิดอ่านและวางแผนเพียงคนเดียว
เศรษฐกิจของเราต้องกลับไปดูที่อะกีดะฮ์ของเรา
หลักการของพื้นฐานของทฤษฎีว่าด้วยเศรษฐศาสตร์นั้น ถือว่าวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยหลักทางสังคม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบและรับผลกละทบต่อ / จากวิชาการแขนงต่างๆ อย่างมาก เช่น ทางพฤติกรรมและการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เหมือนอย่างที่ศาสนทูตแห่งอัลอิสลามได้ให้การยอมรับ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถผลักดันไปสู่พฤติกรรมต่างๆ ในเชิงบวกได้ ทั้งในระดับรายบุคคลและระดับสังคมส่วนร่วม ตลอดจนสามารถผลักดันการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับบุคคล ห้างร้าน องค์กรต่างๆ รวมทั้งในระดับประเทศ เหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบจากพื้นฐานทางความเชื่อหรืออะกีดะฮ์แทบทั้งสิ้น
ผลสำรวจของวงการเศรษฐกิจประเทศมุสลิมบางประเทศพบว่า ได้รับเอาระบบเศรษฐกิจจากตะวันตกมาใช้เป็นส่วนใหญ่ โดยถือว่าเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ทุกอย่าง คำสอนเชิงศาสนาและคุณธรรมจึงถูกแยกออกอย่างเอกเทศ และไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ นี่คือการรับเอาความคิดตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกดุนยาและคุกคามวิถีชีวิตมุสลิม การโยกย้ายแนวคิดโดยใช้วิธีการดังกล่าวคือสิ่งที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับแนวคิดตะวันตกในเชิงผลดีและแง่บวกมาอย่างขาดวิจารณญาณ ขาดการใคร่ครวญ และไตร่ตรอง ถึงผลเสีย จนทำให้เรากลายเป็นผู้เสียเปรียบ สูญเสีย และขาดทุนทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์
ตามความคิดข้าพเจ้า(ผู้เขียน) เป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศมุสลิมที่ยังห่างไกล จากการอีหม่านต่ออัลลอฮ์ให้หายหมดจดอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นรากฐานและหลักการที่ไม่ใช่วัตถุนิยมหรือรูปธรรมก็ตาม ยกเว้นจะก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับในทางวัตถุที่สามารถจับต้องได้อย่าง เช่น กรณีของเชิงบวกหรือเชิงลบ หรือเป็นรูปธรรมขาดๆ หายๆ และเพิ่มขึ้น เป็นต้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว การอีหม่านต่ออัลลอฮ์ จะต้องมีการปฎิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์เป็นสิ่งควบคู่กันไปเสมอ
(1) เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติและความเจริญเติบโตของสังคม โดยมีการแสวงหาผลกำไรที่ฮะลาล ละทิ้งการกักตุนสินค้า เพื่อโก่งราคา ไม่ทุจริต ยักหยอก แอบแฝง หรือมีเงื่อนงำต่างๆ
(2) เพื่อเป็นการปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัยพ์สินและผลประโยชยน์ของมวลชนด้วยกัน จึงจำเป็นต้องยึดถือตามบญญัติที่ว่าด้วยเรื่อง ฮะลาลและฮะรอม อย่างจริงจัง
ทฤษฎีที่หวานแววกับความจริงที่ปวดร้าว
ประเทศอิสลามส่วนใหญ่ (ไม่ใช่ทั้งหมด) เป็นประเทศที่กำลังเจริญเติบโต และเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งที่พบประเทศมุสลิมอีก 20 กว่าประเทศที่ต้องการพัฒนาไปสู่ระดับสากล ความล้าหลังและตกต่ำดังกล่าวเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งมาจากสาเหตุภายนอกและภายใน ตลอดจนสาเหตุที่เกิดจากฝีมือของพวกเรากันเอง แต่สาเหตุสำคัญที่สุดคือ ขาดการเชื่อมั่นและยึดมั่นในหลักการและระบบของอัลลอฮ์ อย่างจริงจัง นอกจากนั้นได้แก่
1. การเสนอหรือส่งมอบงานแก่ผู้ที่มีความเชื่อถือไว้วางใจได้ หรือกับผู้ที่เชี่ยวชาญที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งจะพบมากในองค์กรต่างๆ ในภาคเศรษฐกิจที่ยังมีความอ่อนแอ เปราะบาง และบกพร่อง จนนำไปสู่การโยกย้ายผู้มีความสามารถไปสู่โลกภายนอก (สมองไหล) ซึ่งถือเป็นการดับไฟแห่งความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และมานะพยายามที่จะอยู่ในองค์กรนั้นๆ อีกต่อไป
2. การไม่สนใจที่จะยกระดับคุณภาพของบุคคลากรผู้ร่วมงาน หรือละเลยการศึกษาค้นคว้า การวิจัย และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและทุ่มเท
3. ความทุจริตและความเสียหายขยายตัวระหว่างผู้รับผิดชอบด้วยกัน โดยเฉพาะการไม่เข้มงวด การปล่อยปละละเลย หรือการละหลวมเกินไป ตลอดจนการทำยึดติดกับสายอาชีพ หรือสิ่งที่ตนเองถนัดเท่านั้น
หลายคนคงได้เห็นความหายนะที่แพร่กระจายคลุมกลุ่มประเทศอิสลาม ผู้นำบางประเทศครอบครองทรัพยากรของประเทศถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปล่อยให้ประชากรตนเองครวญครางเพราะความหิวโหย และอดยาก จนกลายเป็นเหยื่อองค์กรเผยแพร่ของศริสเตียนเพื่อแลกกับเศษอาหารและขนมปังเพียงไม่กี่ชิ้น บางประเทศรัฐบาลทำสัญญาข้อตกลงกับกลุ่มมาเฟียบางกลุ่มโดยไม่มีใครรู้เรื่อง เมื่อเกิดความวุ่นวายจนนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้นำมาเฟียที่มีความสนิทสนมกับคนในรัฐบาล ประชาชนเพิ่งตาสว่างและรู้ว่าอันที่จริงเขานั้นมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลอิสราเอลเหมือนกัน ท่านนะบี เคยกล่าวว่า
“พวกท่านทุกคนมีหน้าที่ และพวกท่านจะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพวกท่าน”
4. การไม่ส่งเสริมให้ประชาติอิสลามมีคุณภาพและให้เห็นคุณค่าข้อกำหนดเรื่อง ฮะลาล หรือ ฮะรอม ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าสิ่งที่ฮะรอมจะเป็นอันตรายเสียส่วนใหญ่ ข้อสำคัญคือ มุสลิมส่วนมากยังนิยมบริโภคและใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟื่อย และไม่สอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็นของตนเองอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับระดับประเทศและรัฐบาลที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ หลายประเทศประสบกับภาวะอ่อนแอและไม่สมดุลย์ สาเหตุหลักคือ การใช้จ่ายทุกอย่างกันโดยขาดการชี้แนะจากภาครัฐ จนนักเศรษฐศาสตร์อิสลามหลายท่านเรียกการบริโภคและจับจ่ายใช้สอยลักษณะนี้ว่า “การใช้จ่ายที่นำไปสู่การล่มสลาย”
หากพิจารณาในด้านคุณค่าของฮะลาลและฮะรอมในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว เราจะพบว่า องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐไม่เคยเห็นคุณค่าหลักการอัลอิสลาม เช่น ปี 1988 พบว่ากลุ่มประเทศเอเชียตะวันตก เช่น มาเลย์ฯ และอินโดฯ ประสบปัญหาขาดความสมดุลย์ ต่อมาได้มีการผลักดันเสนอให้รัฐออกระเบียบจัดเก็บภาษีผู้ที่ทุจริตฝ่าฝืนบัญญัติศาสนา ซึ่งเคยถือว่าเป็นงานที่ไม่เคยถูกเก็บมาก่อน บรรดาผู้กระทำผิดเหล่านี้คือ ดัชนีชี้วัดของเศรษฐกิจและหลักการอิสลาม ? หรือ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐธรรมนูญในประเทศบังกลาเทศยังถือว่า การประกอบอาชีพที่ฝ่าฝืนบัญญัติศาสนา คือส่วนหนึ่งของงานที่กฎหมายต้องให้การยอมรับว่าเป็น งานสร้างเศรษฐกิจ !
ส่วนประเทศอิสลามบางประเทศยังคงถือว่า ไม่เป็นบาปหากการดำเนินงานทางเศรษฐกิจยังเกี่ยวข้องกับระบบดอกเบี้ยทั้งในภาครัฐและเอกชน ยิ่งไปกว่านั้นงานสังคมประเภทต่างๆ ยังนิยมจิบหรือดื่มสุรา และเล่นการพนัน โดยอ้างว่าเพื่อการพักผ่อน แต่ลืมว่าแท้จริงอัลลอฮ์จะทรงเอาโทษผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ ท่านนะบี เคยกล่าวว่า
“แท้จริงคนๆ หนึ่งรีสกีของเขาจะถูกตัด (ห้าม) เพราะบาปที่เขาได้กระทำ”
5. รัฐบาลหลายประเทศยังคงปล่อยปัญหาให้คาราคาซังข้ามปี และหลายประเทศหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปในที่สุด ปัญหาเหล่านี้จะพบได้จากกลุ่มประชาชนที่หมดทางแก้ไข
6. ปฎิกริยาของระบบเศรษฐกิจที่ได้รับการชักจูงจากระบบทุนนิยม หรือกระแสระบบเศรษฐกิจสากลของโลกสมัยใหม่นั้นมีโครงสร้างค่อนข้างชัดเจนและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศอิสลามไม่ได้รับการพัฒนา ซึ่งกลายเป็นเหยื่อทันทีเมื่อเข้าไปสู่การแข่งขันกันในระดับโลก
ตัวอย่างดังกล่าวเห็นได้จากข้อผูกมัดทางการตลาดและความพยายามที่จะเรียกผู้ปฎิบัติว่าการยักยอกทรัพย์สินของประชาชาติออกนอกประเทศ หรือไม่ก็ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการต่างชาติเท่านั้น โดยที่ไม่คิดผลิตเพื่อธุรกิจอุตสหกรรม หรือไม่พัฒนาองค์ความรู้ หรือวิชาการต่างๆ หรือแค่ตอบสนองความต้องการของงานๆ หนึ่งอย่างเฉพาะ โดยไม่สนใจผลกระทบต่อคนส่วนร่วมและส่วนบุคคล
การเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นความเลื่อมล้ำด้านการเจริญเติบโต โดยไม่คำนึงถึงช่องทางการใช้จ่าย ปริมาณ และความต้องการที่เป็นไปได้ของประชาชาติ ทั้งๆ ที่การเจริญเติบโตในด้านนี้เป็นสิ่งต้องห้ามมาก่อนและสำคัญกว่าสิ่งอื่น แต่ทำเหมือนกับว่าเรื่องความเชื่อ(อะกีดะฮ์) และศาสนาประจำชาตินั้นไม่มีความหมายใดๆ ผลลัพธ์จึงมีแต่การเพิ่มความล้าหลัง และการก้าวไม่ทันประเทศตะวันตก
พระเจ้า โลก และการมีชีวิตอยู่
การกล่าวถึงเศรษฐกิจอิสลามและคุณค่าของเศรษฐกิจอิสลามนั้นก็เพราะมันเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่ส่งผลกระทบให้มีการขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านทฤษฎีหรือด้านปฎิบัติ โดยเฉพาะในทางทฤษฎี นักวิชาการบางคนยังไม่เห็นด้วยที่จะยอมรับว่าวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของอัลอิสลาม โดยอ้างว่ามันเป็นเพียงแค่ความรู้หรือศาสตร์ธรรมดาเท่านั้น ถ้ามิเช่นนั้นเราคงต้องเรียกมันว่า เศรษฐศาสตร์คริสเตียน เศรษฐศาสตร์ยะฮูดีย์ และเศรษฐศาสตร์พุทธ
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ ศาสตราจารย์หลายๆ ท่านซึ่งนิยมแนวทางสังคมนิยม ข้าพเจ้าได้ถกปัญหาเชิงเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดเศรษฐศาสตร์อิสลามกับแนวทางอื่นๆ ซึ่งได้ข้อสรุปตรงที่ว่า แท้จริงพวกท่านอย่าได้แยกระหว่างจริยธรรมและเศรษฐศาสตร์ออกไปเป็นอีกวิชาหนึ่ง ต่อมาเมื่ออียิปต์ประสบปัญหาการบริหารด้านการเงินและทรัพย์สิน นักวิชาการของเราก็ได้หยิบยกแนวทางที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์อิสลาม และถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้นอัลอิสลามจึงเป็นเพียงแค่ศาสนาในความคิดของพวกเขาเท่านั้น และจำเป็นจะต้องตัดทฤษฤีที่มนุษย์เป็นผู้ร่างขึ้นออกไปให้เหลือเพียงแค่อัลอิสลามเป็นเพียงศาสนาอันทรงเกียรติเท่านั้น
แนวคิดข้างต้นแตกต่างจากความเชื่อมั่นที่ว่า อัลอิสลามเป็นศาสนาที่ครอบคลุมไปหมดทุกๆ ด้าน อัลอิสลามเป็นศาสนาที่จัดระเบียบในการดำเนินชีวิตในทุกๆ เรื่อง โดยกรอบอันเข้มแข็งต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด และนำการอิจญ์ติฮาต (วิเคราะห์) มาใช้ในทางปฎิบัติด้วย ข้อสำคัญตลอดเวลาอันยาวนาน 1400 กว่าปีที่ผ่านมา ประชาชาติมุสลิมดำเนินชีวิตอยู่บนทางนำแห่งชะรีอะฮ์ย่างมีเกียรติ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าชะรีอะฮ์มีกฎหมายว่าด้วยเศรษฐศาสตร์อันโดดเด่นอยู่ด้วย
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจำเป็นต้องกลับไปดูอารยธรรมอันรุ่งเรืองสมัยก่อน เพื่อพวกเราจะได้นำไปแก้ไขในจุดต่างๆ ที่ผิดพลาด และนำพาประชาชาติของพวกเราออกจากระบบเศรษฐกิจที่ไร้จริยธรรมหรือเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ใช่อัลอิสลาม เราจำเป็นจะต้องเริ่มปลูกฝังอีหม่านให้เกิดขึ้นในหัวใจของประชาติอิสลาม เพื่อรองรับการเติบโตและความก้าวหน้าด้วยตนเองอย่างแท้จริง
ในเวลาเดียวกันเราจะต้องพยายามขจัดการใช้จ่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์อย่างไร้สาระ ฟุ่มเฟื่อย และตัดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกไป หรือตัดผลประโยชน์ส่วนตัวที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมออกไป อีหม่านลักษณะนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลอันใดยกเว้นจะต้องมีการศรัทธา (อะกีดะฮ์) ที่ตรงเจตนารมณ์เสียก่อน และอะกีดะฮ์ในความหมายกว้างๆ ก็คือ การใคร่ครวญและการไตร่ตรองของเราที่มีต่อ พระเจ้า โลก และการมีชีวิตอยู่ เพราะแม้อัลอิสลามจะแยกแยะความผูกพันธ์ระหว่างทั้ง 3 ประการก็จริง แต่องค์ประกอบทั้ง 3 ประการก็คือสิ่งที่อัลอิสลามขาดประการหนึ่งประการใดมิได้เลย
นิพล แสงศรี //แปลและเรียบเรียง