บางเรื่องราวที่เกี่ยวกับเดือนมุหัรรอม
  จำนวนคนเข้าชม  7027


บางเรื่องราวที่เกี่ยวกับเดือนมุหัรรอม

 

โดย  อ. อับดุลเราะมัน เจะอารง


 

          เดือนมุหัรรอมเป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นเดือนหนึ่งที่พระองค์อัลลอฮ์  ทรงถือว่าเป็นที่หะรอม ไม่อนุญาตให้ทำสงครามในเดือนนี้ พระองค์อัลลอฮ์   ทรงตรัสไว้ว่า

 إنَّ عِدَّةَ الشُهورِ عندَ اللهِ اثْنا عشرَ شهْراً في كِتابِ الله يومَ خلَقَ السمواتِ والأرْضَ منْها أربعةٌ
 حُرُمٌ (التوبة/36)

 “แท้จริง จำนวนเดือนในปีหนึ่ง ณ อัลลอฮฺนั้นมี 12 เดือนในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน

จากเดือนเหล่านั้นมี 4 เดือนเป็นเดือนที่ต้องห้าม”

 4 เดือน ที่ต้องห้ามนี้ท่านเราะซูล    ได้อธิบายไว้ในหะดีษตอนหนึ่งว่า

 السنةَ اثْنا عشَرَ شهْراً منْها أربعةٌ حرُمٌ ، ثلاثةٌ متَوالِياتٌ : دوالقعدة ، ودو الحجَّة والمحرَّم ورجَبُ
 مضَرُ الدي بينَ جُمادَى وشعْبانَ (رواه البخاري  4662 ومسلم 1659)

 “หนึ่งปีนั้นมี 12 เดือน ใน 12 เดือนนั้นมี 4 เดือนที่ถือว่าเป็นเดือนหะรอม มี 3 เดือนที่ติด ๆกัน

คือซุลกอยดะฮ์ ซุลฮิจญะฮ์ และ มุหัรรอม เดือนที่ 4 คือเดือน รอญับ ซึ่งอยู่ระหว่าง ญุมาดา อัษนิยะฮ์ และชะอ์บาน”

 

         ในเดือนมุหัรรอมมีวันหนึ่งที่ถือว่าสำคัญ คือ วันที่ 10 มุหัรรอม ได้มีเหตุการณ์สำคัญตามประวัติศาสตร์ 2 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ก่อนการเกิดของท่านเราะซูล   และมีความผูกพันกับประชาชาติยิว แต่ความผูกพันกับมุสลิมจะใกล้ชิดและซาบซึ้งกว่า และอีกเหตุการณ์ คือ การรำลึกของชาวยิว โดยการถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมุหัรรอม

 

เหตุการณ์แรก

 

           เมื่อฟิรเอาน์(กษัตริย์ฟาโรห์)ได้โอหัง โอ้อวดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า จึงไม่ยอมศรัทธาและนอบน้อมต่อพระองค์อัลลอฮ์  และได้สั่งลงโทษชาวยิวด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้นะบีมูซา ได้รวบรวมวงศ์วานของอิสรออีล หรือชาวยิวเพื่อหนีจากประเทศอิยิปต์ ฟิรเอาน์ได้รู้ข่าว จึงตัดสินใจติดตานะบีมูซาและวงศ์วานอิสรออีล เมื่อนะบีมูซาได้ประสบกับสถานการณ์วิกฤติซึ่งที่ไม่มีทางหนีได้อีก เบื้องหน้านั้นเป็นทะเลและเบื้องหลังเป็นกองทหารของฟิรเอาน์ที่กำลังไล่ตามมาติด ๆ พระองค์อัลลอฮ์  ทรงสั่งใช้ให้นะบีมูซาฟาดทะเลด้วยไม้เท้า โดยที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

 

        “ดังนั้น เราได้ดลใจมูซาว่า จงฟาดทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า แล้วมันจะแยกออก แต่ละข้างมีสภาพเหมือนถูเขาใหญ่  และเราได้ให้มูซาและผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาทั้งหมดรอดพ้นไป และเราได้ให้ฟิรเอานฺและพรรคพวกเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเดินเข้าในทะเล และเราได้ให้ฟิรเอานฺและพรรคพวกจมน้ำตาย แท้จริงในการนั้นเป็นสัญญาณอย่างแน่นอน แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา”


          ในอายะฮ์อีกตอนหนึ่ง พระองค์ได้ทรงเตือนวงศ์วานอิสรออีลที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของท่านเราะซูล ให้พวกเขารำลึกถึงความโปรดปราน ที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาในสมัยก่อน โดยทรงตรัสไว้ว่า

 

“และโดยแน่นอน เราได้ให้วงศ์วานของอิสรออีลพ้นจากการทรมานที่น่าอดสูจากฟิรเอาน์ แท้จริงเขาเป็นผู้โอหังที่มาจากผู้ฝ่าฝืน”

       (ในการสูญเสียของพวกเขาครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดเสียใจเพราะความเสียดาย และพวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนผันและประวิงเวลาออกไปอีก แต่อัลลอฮ์ รีบเร่งการลงโทษแก่พวกเขา และอัลลอฮ์  ทรงให้วงศ์วานอิสรออีลพ้นจากการทรมานอย่างอดสูจากฟิรเอาน์ และพรรคพวกของเขา ซึ่งพวกเขาได้ฆ่าลูกชาย และเอาพวกผู้หญิงไปรับใช้อย่างทารุณกรรมที่สุด แท้จริงฟิรเอาน์นั้นเป็นผู้หยิ่งยโสโอหัง เขาจึงเป็นผู้ฝ่าฝืนที่เกินขอบเขต)

 

เหตุการณ์ที่ สอง

         เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของท่านเราะซูล  ณ นครมะดีนะฮ์ ซึ่งเกี่ยวโยงกับชาวยิวในการรอดพ้นของวงศ์วานอิสรออีลในสมัยนะบีมูซา และเกี่ยวโยงกับการปฏิบัติของบรรดามุสลิมจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ นั่นคือ วันที่ 10 ของเดือนมุหัรรอม ชาวยิวที่อาศัยอยู่รอบ ๆเมืองมะดีนะฮ์ได้ถือศีลอดในวันนี้ มีหะดีษบทหนึ่งอธิบายเหตุการณ์นี้ไว้ว่า

 

    “เมื่อท่านเราะซูล     ได้เดินทางมาถึงนครมะดีนะฮ์ ท่านได้เห็นพวกชาวยิวถือศีลอดวันที่ 10 ของเดือนมุหัรรอม

     ท่านเลยถามพวกเขาว่า : วันอะไรนี่ 

     พวกเขาตอบว่า : วันที่ประเสริฐ วันนี้พระองค์อัลลอฮ์  ได้ให้พวกเราชาวยิวรอดพ้นจากศัตรู นะบีมูซา ได้ถือศีลอดในวันนี้ เราก็ได้ถือศีลอดเช่นเดียวกัน เป็นการให้เกียรติแก่เขา

     ท่านเราะซูล    ได้ตอบว่า : ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันมีสิทธิในการตามนะบีมูซามากว่าพวกเจ้า"

 


           ท่านเราะซูล     ได้ถือศีลอดวันนั้นและได้สั่งใช้ให้บรรดาเศาะหาบะฮ์ถือศีลอดเช่นเดียวกัน  เพราะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์อัลลอฮ์  ทรงให้นะบีมูซา รอดพ้นจากฟิรเอาน์