ฮิจเราะฮ์ ศักราชอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  96488

 

ศักราชอิสลาม

 

       ปีฮิจเราะฮ์ศักราช ตามปฏิทินอิสลามนั้นถือตามทางจันทรคติ ซึ่งจะมีจำนวนวันในแต่ละเดือนแตกต่างกับปฏิทินสากล คือ แต่ละเดือนตามปฏิทินอิสลามจะมี 29 หรือ 30 วันเท่านั้น จะไม่มีเดือนที่มี 28 วัน และ 31 วัน เหมือนปฏิทินสากล ซึ่งถือตามทางสุริยคติ เมื่อครบ 1 ปี ตามปีปฏิทินอิสลามจำนวนวันในรอบ 1 ปี จะมีจำนวนวันน้อยกว่าจำนวนวันตามปีปฏิทินสากลประมาณ 10 วัน ดังนั้นวันขึ้นศักราชใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ของอิสลามก็จะร่นเร็วขึ้นประมาณปีละ 10 วัน ทุกปี

       การถือศีลอดหรือการถือบวชของพี่น้องมุสลิมซึ่งจะต้องถือบวชในเดือนรอมฎอน หรือเดือนที่ 9 ของปฏิทินอิสลามและการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งจะต้องกระทำในเดือนซุ้ลฮิจญะฮ์ หรือเดือนที่ 12 ของปฏิทินอิสลาม เดือนที่พี่น้องมุสลิมถือบวชหรือถือศีลอดและทำพิธีฮัจญ์ จึงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ซึ่งบางปีจะตรงกับฤดูหนาว บางปีตรงกับฤดูร้อน และบางปีก็ตรงกับฤดูฝน หมุนเวียนไปตลอดกาล ซึ่งเป็นฮิกมะฮ์จากเอกองค์อัลลอฮ์ อย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงโปรดประทานแก่พี่น้องมุสลิม

 

       ที่มาและความสำคัญของศักราชอิสลาม หรือฮิจเราะฮ์ศักราชถือเอาการอพยพของท่านนะบีมุฮัมมัด และบรรดาผู้ที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อ 1430 ปีที่ผ่านมา โดยอพยพย้ายจากการพำนักที่นครมักกะห์สู่นครมะดีนะห์ ซึ่งเดิมเรียกว่า “ยัษริบ” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมะดีนะตุนนบี เรียกสั้นๆ ว่า “มะดีนะห์” ซึ่งเป็นการย้ายถิ่นที่อยู่จากสถานที่ที่มีบรรยากาศแห่งการต่อต้านและทำลายล้างอิสลาม โดยชาวนครมักกะห์มาสู่บรรยากาศแห่งความเอื้ออารี ความมีภารดรภาพเดียวกันระหว่างชาวเมืองมะดีนะห์ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธาที่จะรับนับถือศาสนาอิสลาม กับชาวมักกะห์ผู้อพยพ
 
       ทั้งนี้เนื่องจากการที่ท่านนะบีมุฮัมมัด ใช้เวลาในการเทศนาเผยแผร่เชิญชวนชาวมักกะห์ให้ศรัทธาในคำสอนของอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าที่แท้จริง เพื่อให้หันกลับมายึดมั่นศรัทธาและประพฤติปฏิบัติตามแนวทางอิสลาม ละทิ้งการเคารพบูชาเจว็ด (รูปปั้น รูปเคารพ รูปสักการะ) และสิ่งงมงายต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งท่านได้รับการต่อต้านจากชาวมักกะห์อย่างรุนแรงมาก ถูกข่มเหงรังแกจากชาวมักกะห์ที่เคารพบูชาเจว็ดต่างๆ จนในที่สุดมีการปองร้ายหมายเอาชีวิตของท่านนะบีมุฮัมมัด

เพราะชาวมักกะห์ที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเห็นว่า ศาสนาอิสลามกำลังจะแผ่ขยายมากขึ้นในมักกะห์ จึงพยายามจะทำร้ายถึงขั้นเอาชีวิตของท่านนะบีมุฮัมมัด ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงฮิดายะห์ให้ท่านนะบีมุฮัมมัด อพยพบรรดามุสลิมไปยังเมืองยัษริบ หรือเมื่องมะดีนะห์ ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะห์อั้ลอัมฟาลอายะห์ที่ 30 มีความหมายโดยสรุป ว่า

 

“เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่เนรคุณได้ว่างแผนเพื่อกักกันเจ้าไว้ หรือฆ่าเจ้า หรือขับไล่เจ้าเพื่อไม่ให้มีโอกาสเผยแพร่ศาสนาอิสลาม

แต่อัลลอฮ์ ได้ทรงวางแผนที่ประเสริฐยิ่งกว่าแผนใดๆ ทั้งมวล”

 

         คือ ให้ท่านนะบีมูฮัมมัด อพยพไปมะดีนะห์  ซึ่งในการอพยพดังกล่าวนี้ ชาวมะดีนะห์ได้มีการติดต่อท่านนะบีมูฮัมมัด มาก่อนหน้าที่จะอพยพแล้ว และมีแนวโน้มว่าชาวเมืองมะดีนะห์จะเจ้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการอพยพสู่นครมะดีนะห์ ได้มีการช่วยเหลือกันระหว่างชาวเมืองมะดีนะห์ เรียกว่า “อันศ๊อร” (ผู้ช่วยเหลือ) กับผู้อพยพที่เรียกว่า “มูฮาญิรีน” ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ใช้ชีวิตในเมืองมะดีนะห์ เพื่อเผยแผ่อิสลามเป็นเวลา 10 ปี
 

       ช่วงแรกพี่น้องมุสลิมในนครมะดีนะห์ต้องทำสงครามต่อสู้ป้องกันตัวจากการรุกรานของชาวมักกะห์ที่หมายจะทำลายล้างพลังของมุสลิมในเมืองมะดีนะห์ การทำสงครามนั้นส่วนใหญ่มุสลิมได้รับชัยชนะต่อผู้รุกรานที่ปฏิเสธอิสลาม มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มุสลิมพ่ายแพ้ต่อชาวมักกะห์  คือสงครามอุฮุด ซึ่งเป็นสงครามที่ท่านนะบีมูฮัมมัด ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ และมีมุสลิมหลายคนต้องเสียชีวิตในสมรภูมิแห่งนี้ อันเนื่องมาจากกำลังพลมุสลิมบางกลุ่มเห็นแก่ทรัพย์สินของศัตรูในสงคราม จนละทิ้งที่มั่นเป็นเหตุให้กองทัพของมักกะฮ์ ซึ่งคุมทัพโดยท่านคอลิด บินวะลีด โจมตีกองทัพมุสลิมจนแตกพ่าย (ในขณะนั้นยังไม่ได้เข้ารับนับถืออิสลาม)

ในที่สุดชาวมักกะห์เองต้องยอมพ่ายแพ้ต่อพลังมุสลิม ยอมให้ท่านนะบีมุฮัมมัด และผู้นับถือศาสนาอิสลามเข้ายึดครองนครมักกะห์ โดยไม่มีการสู้รบต่อต้านจากชาวนครมักกะห์ แต่อย่างใด ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ให้อภัยแก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของท่านทุกคน มิได้มีการแก้แค้นต่อผู้ที่เคยทำร้ายท่าน และต่อมาผู้คนในแถบคาบสมุทรอาหรับก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและเป็นประเทศมุสลิมในที่สุด

 

       ศักราชของอิสลามใช้คำว่าฮิจเราะห์ศักราช ใช้ตัวอักษรย่อว่า “ฮ.ศ.” คำว่า ฮิจเราะฮ์ หมายถึง “การอพยพ” คือ การอพยพของท่านนะบีมุฮัมมัด และบรรดามุสลิมจากเมืองมักกะห์สู่เมืองมะดีนะห์ หลังจากที่ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้เสียชีวิต ท่านเคาะลีฟะฮ์อุมัร อิบนุคอฎฎ็อบ  ผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามคนที่สองต่อจากท่านอบูบักร์ ได้ปรึกษากันว่า อิสลามควรจะต้องมีการนับศักราชเพื่อใช้ในการกำหนดวัน เดือน ปี เช่นเดียวกับคริสตศักราช แต่การเริ่มศักราชของอิสลามจะเริ่มเมื่อใดนั้น ได้มีบรรดาอัครสาวกที่ใกล้ชิดของท่านนะบีมุฮัมมัด และบรรดาผู้นับถือศาสนาอิสลามในเวลานั้นเสนอแนวทางในการกำหนดศักราชอิสลาม 4 แนวทางด้วยกัน คือ

          1. เสนอให้ถือเอาปีเกิดของท่านนะบีมุฮัมมัด  เป็นปีเริ่มต้นศักราช


          2. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด เริ่มเผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นปีเริ่มต้นศักราช


          3. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด อพยพจากเมืองมักกะห์สู่เมืองมะดีนะห์ เป็นปีเริ่มต้นศักราช


          4. เสนอให้ถือเอาปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด เสียชีวิต เป็นปีเริ่มต้น ศักราช

       ข้อสรุปในที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด อพยพจากนครมักกะห์สู่นครมะดีนะห์ ซึ่งเป็นปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด ถูกชาวนครมักกะห์ที่เคารพบูชาเจว็ด และสิ่งงมงายต่างๆ มุ่งหวังจะเอาชีวิต และเมื่ออพยพสู่นครมะดีนะห์นั้น ชาวเมืองมะดีนะห์ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก และเป็นปีที่มีความสำคัญในการเริ่มแผ่ขยายการเผยแพร่ศาสนาอิสลามจนประสบกับความสำเร็จในเวลาต่อมา

       จึงเริ่มต้นนับศักราชของอิสลามตั้งแต่ปีที่ท่านนะบีมุฮัมมัด  และบรรดามุสลิมได้อพยพจากมักกะห์สู่มะดีนะห์ คือ ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) นับแต่นั้นเป็นต้นมา  ปัจจุบันมีผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรือที่เรียกว่ามุสลิมอยู่ทั่วโลกไม่น้อยกว่า ๑,๘๐๐ ล้านคน

         

 วันขึ้นปีใหม่อิสลามจะตรงกับ   วันที่   1 มุฮัรรอม  ฮ.ศ. 14XX  คือ วันเริ่มศักราชใหม่ของอิสลาม  
 
 

 

www.islamicbangkok.or.th