เงื่อนไขในการรับอาหารและของหวานจากคนต่างศาสนา
คำถาม
ถ้าชาวคริสเตียนและชาวยิว ได้มอบของหวาน หรืออาหารหรือเครื่องดื่ม ให้กับเรา เราควรจะปฏิบัติต่ออาหารเหล่านั้นอย่างไร เนื่องจากมีความคิดเห็นจากพี่น้องมุสลิมที่ได้ให้ความคิดเห็นว่า เราควรจะทำการสอบถามถึงส่วนผสมของอาหารนั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นที่อนุญาตสำหรับเราหรือไม่ ในการที่จะถามว่าอาหารดังกล่าวฮาลาลหรือไม่ หรือว่าอาหารดังกล่าวมีส่วนผสมของเนื้อสุกรหรือไม่ หรือเราควรจะทำการนิ่งเฉย แล้วกล่าวพระนามของพระองค์อัลลอฮ์ แล้วรับประทานอาหารเหล่านั้น
บรรดาการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์
คำตอบ
ลำดับแรก
เป็นที่อนุมัติในการรับของขวัญจากคนที่ไม่ใช่มุสลิม เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะเป็นญาติหรือเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งการรับของจากเขาเหล่านั้นจะส่งผลให้จิตใจของเขารู้สึกอ่อนโยนและเป็นการเรียกร้องเขามาสู่ศาสนาอิสลาม แต่การรับสิ่งของดังกล่าวนั้นจะไม่เป็นที่อนุมัติหากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กระทำไปเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ที่ต้องการให้เกิดความรัก เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสไว้ว่า
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน
และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา
แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม”
(ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮฺ 5:51)
“โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาเพื่อนสนิทที่รู้เห็นกิจการภายในอื่นจากพวกของเจ้าเอง
ซึ่งเขาเหล่านั้นจะไม่ลดละแก่พวกเจ้าในการก่อความเสียหายให้เกิดขึ้น พวกเขาชอบการที่พวกเจ้าลำบาก
แท้จริงความเกลียดชังต่าง ๆ ได้เผยออกมาแล้วจากปากของพวกเขา และสิ่งที่หัวอกของพวกเขาซ่อนไว้นั้นใหญ่ยิ่งกว่า
แน่นอนเราได้แจกแจงบรรดาโองการไว้แก่พวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าใช้ปัญญากัน”
(ซูเราะฮ์ อัลอาลิอิมรอน 3:118)
และจากเรื่องราวของท่านนะบีมุฮัมมัด ซึ่งท่านได้รับอาหารจากหญิงชาวยิวและท่านได้ทานอาหารนั้น ดังรายงานในฮะดีษ ซอเฮี้ยะ ของท่านบุคอรีย์ ที่ได้รวบรวมเนื้อหาดังกล่าวไว้ในบทของหัวข้อเรื่องที่ว่า การรับของขวัญจากชาวมุชริกูน ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
- ท่านอะบูฮุรอยเราะฮฺ ได้รายงานมาจากการบอกกล่าวจาก ท่านนะบี ว่า ท่านอิบรอฮีม ได้ออกเดินทางร่วมไปกับท่านหญิงซาเราะฮ์ และได้เข้าไปในเมืองที่มีกษัตริย์ปกครองอยู่ โดยที่กษัตริย์ท่านนั้น ได้มอบของขวัญให้กับท่านหญิงซาเราะฮ์ (มารดาของท่านนบีอิสมาอีล )
- และท่านอะบูฮูรอยเราะฮ์ ได้เล่าว่า กษัตริย์ของ Aylah ได้มอบของขวัญให้กับท่านนะบี ซึ่งเป็นเนื้อล่อสีขาวและเสื้อคลุม และท่านได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ท่านนะบี ที่ได้รับเนื้อแกะซึ่งมียาพิษผสมอยู่ โดยเป็นเนื้อที่หญิงชาวยิวเป็นผู้ที่มอบให้กับท่าน
จากหลักฐานข้างต้น จึงเป็นที่อนุมัติสำหรับเราในการรับของขวัญจากคนที่ไม่ใช่มุสลิม
ลำดับที่สอง
เป็นที่อนุญาตในการทานเนื้อที่ถูกเชือดมาจากชาวยิวหรือชาวคริสเตียน โดยที่ต้องมีเงื่อนไขของการเชือดดังต่อไปนี้
1. การเชือดนั้นต้องเป็นไปตามวิธีการเชือดตามแบบของชาวมุสลิม กล่าวคือเป็นการเชือดที่ลำคอและหลอดอาหาร และเลือดนั้นจะต้องสามารถไหลออกมาได้ แต่ถ้าการฆ่าสัตว์นั้นใช้วิธีบีบรัดคอของสัตว์ หรือใช้ไฟฟ้าช๊อต หรือฆ่าสัตว์โดยทำให้จมน้ำตาย ซึ่งเนื้อของงสัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยวิธีทั้งหมดนี้ จะไม่เป็นที่อนุมัติให้ทาน แม้ว่าผู้ที่ทำการเชือดสัตว์จะเป็นชาวมุสลิมก็ตาม
2. ต้องมีการกล่าวพระนามของพระองค์อัลลอฮ์ ก่อนที่จะทำการเชือดสัตว์ ซึ่งใช้พระนามอื่นหรือพระนามที่ชาวคริสต์ใช้เรียกกันก็ไม่ได้ เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
“และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ มิได้ถูกกล่าวบนมัน
และแท้จริงมันเป็นการละเมิดแน่ ๆ และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหายของมัน
เพื่อพวกเขา จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น”
(ซูเราะฮ์ อัลอันอาม 6:121)
และในเรื่องของอาหารที่เป็นที่ต้องห้ามนั้น พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
“อัลลอฮ์ ได้ทรงห้ามสูเจ้าเฉพาะสิ่งเหล่านี้ สัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นนอกไปอัลลอฮ์
แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขันโดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ได้ละเมิด
มันก็ไม่มีบาปแก่เขาเพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
(ซูเราะฮฺ อัลบะกาเราะฮฺ 2:173)
แต่ถ้าหากว่า เราไม่ทราบว่าเนื้อดังกล่าวนั้น มาจากการฆ่าเช่นไรหรือมีการกล่าวนามอื่นนอกเหนือไปจากพระนามของอัลลอฮ์แล้ว ก็เป็นที่อนุญาตให้เรารับประทานเนื้อดังกล่าวได้ และเราไม่ต้องทำการสอบถามเกี่ยวกับการเชือดสัตว์ด้วย ดังมีรายงานจากท่านบุคอรีย์ (2057) ว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์ ได้เล่าว่า
มีประชาชนมาหาท่านนะบีและได้กล่าวว่า โอ้ท่านศาสนฑูตของอัลลอฮ์ มีบางคนนำเนื้อมาให้เราแต่เราไม่ทราบว่า เนื้อนั้นได้มาจากการกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ ขณะเชือดหรือไม่ แล้วท่านศาสดา จึงได้กล่าวตอบว่า “จงกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ แล้วทานมันเถิด”
อีกรายงานหนึ่งจากท่าน Shaykh Ibn ‘Uthaymeen ได้กล่าวว่า เป็นที่อนุมัติในการทานเนื้อที่เราไม่ทราบว่าในการเชือดนั้น ได้มีการกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ หรือไม่ เช่นเดียวกัน เป็นที่อนุมัติในการทานเนื้อที่เราไม่ทราบว่าถูกฆ่าให้ตายอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะผู้ที่ทำการเชือดสัตว์นั้นถือว่าเป็นคนที่มีความเหมาะสมแล้ว (เป็นชาวคัมภีร์คือ ยิวและคริสต์) ซึ่งตามหลักการแล้วถือว่าใช้ได้และสมเหตุสมผล เว้นเสียแต่ว่ามีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ในการเชือดสัตว์นั้นมีการกระทำด้วยวิธีการที่ผิดหลักการ ดังนั้นเมื่อเราได้รับเนื้อที่มาจากคนมุสลิม หรือชาวยิวหรือชาวคริสต์แล้ว เราก็ไม่ควรที่จะทำการสอบถามถึงวิธีการเชือดสัตว์ หรือถามว่าได้เชือดโดยกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ หรือไม่ ซึ่งเนื้อเหล่านั้นจะเป็นที่อนุมัติแก่เรา ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า เนื้อดังกล่าวถูกเชือดด้วยวิธีการที่ต้องห้าม และนี่เป็นหนึ่งในหนทางที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานความสะดวกง่ายดายให้แก่เรา
จาก Liqaa’aat al-Baab al-Maftooh, 20805 และดูคำตอบเพิ่มเติมจากคำถามหมายเลข 20805
ซึ่งข้อปฏิบัติในการเชือดสัตว์นี้ เป็นเงื่อนไขที่ใช้ในการเชือดสัตว์อื่น ๆ และนกด้วย
แต่สำหรับปลา ของหวานและผักนั้น หากไม่มีสิ่งที่ต้องห้ามปะปนมาด้วยแล้ว เช่นแอลกอฮอล์หรือไขมันจากสุกร อาหารดังกล่าวนี้ก็สามารถทานได้โดยไม่มีความผิดแต่อย่างใด
สำหรับกฎข้อห้ามในการทานอาหารนั้น ไม่สามารถอาศัยพื้นฐานของการสงสัยได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นมีความพยายามที่จะระวังและเลือกทานอาหารเฉพาะสิ่งที่แน่ใจแล้วว่า ปราศจากของที่เป็นต้องห้ามผสมอยู่ นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ดีกว่า
นอกจากนี้ชาวยิวนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีการยึดมั่นในหลักการของการเชือดสัตว์ด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพวกเขาหลีกเลี่ยงเนื้อสุกร
สามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคำตอบของคำถามหมายเลข 88206 และ 85108
และพระองค์อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรบรอบรู้ยิ่ง
http://www.islamqa.com/en/ref/128632
แปลโดย นูรุ้ลนิซาอ์