การรับอาหารจากคนต่างศาสนา
  จำนวนคนเข้าชม  11326

 

 

เงื่อนไขในการรับอาหารและของหวานจากคนต่างศาสนา

 


คำถาม

          ถ้าชาวคริสเตียนและชาวยิว  ได้มอบของหวาน หรืออาหารหรือเครื่องดื่ม  ให้กับเรา  เราควรจะปฏิบัติต่ออาหารเหล่านั้นอย่างไร  เนื่องจากมีความคิดเห็นจากพี่น้องมุสลิมที่ได้ให้ความคิดเห็นว่า  เราควรจะทำการสอบถามถึงส่วนผสมของอาหารนั้น  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นที่อนุญาตสำหรับเราหรือไม่  ในการที่จะถามว่าอาหารดังกล่าวฮาลาลหรือไม่  หรือว่าอาหารดังกล่าวมีส่วนผสมของเนื้อสุกรหรือไม่  หรือเราควรจะทำการนิ่งเฉย  แล้วกล่าวพระนามของพระองค์อัลลอฮ์ แล้วรับประทานอาหารเหล่านั้น 


บรรดาการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์


คำตอบ

ลำดับแรก

         เป็นที่อนุมัติในการรับของขวัญจากคนที่ไม่ใช่มุสลิม  เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะเป็นญาติหรือเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งการรับของจากเขาเหล่านั้นจะส่งผลให้จิตใจของเขารู้สึกอ่อนโยนและเป็นการเรียกร้องเขามาสู่ศาสนาอิสลาม  แต่การรับสิ่งของดังกล่าวนั้นจะไม่เป็นที่อนุมัติหากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กระทำไปเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ที่ต้องการให้เกิดความรัก  เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสไว้ว่า

“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย  จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร  บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน

และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา

แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม”  

 (ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮฺ 5:51)

“โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาเพื่อนสนิทที่รู้เห็นกิจการภายในอื่นจากพวกของเจ้าเอง

ซึ่งเขาเหล่านั้นจะไม่ลดละแก่พวกเจ้าในการก่อความเสียหายให้เกิดขึ้น พวกเขาชอบการที่พวกเจ้าลำบาก

แท้จริงความเกลียดชังต่าง ๆ ได้เผยออกมาแล้วจากปากของพวกเขา และสิ่งที่หัวอกของพวกเขาซ่อนไว้นั้นใหญ่ยิ่งกว่า

แน่นอนเราได้แจกแจงบรรดาโองการไว้แก่พวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าใช้ปัญญากัน”   

(ซูเราะฮ์ อัลอาลิอิมรอน 3:118)


          และจากเรื่องราวของท่านนะบีมุฮัมมัด  ซึ่งท่านได้รับอาหารจากหญิงชาวยิวและท่านได้ทานอาหารนั้น  ดังรายงานในฮะดีษ ซอเฮี้ยะ ของท่านบุคอรีย์ ที่ได้รวบรวมเนื้อหาดังกล่าวไว้ในบทของหัวข้อเรื่องที่ว่า การรับของขวัญจากชาวมุชริกูน  ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

      - ท่านอะบูฮุรอยเราะฮฺ ได้รายงานมาจากการบอกกล่าวจาก ท่านนะบี ว่า  ท่านอิบรอฮีม  ได้ออกเดินทางร่วมไปกับท่านหญิงซาเราะฮ์  และได้เข้าไปในเมืองที่มีกษัตริย์ปกครองอยู่  โดยที่กษัตริย์ท่านนั้น  ได้มอบของขวัญให้กับท่านหญิงซาเราะฮ์  (มารดาของท่านนบีอิสมาอีล )

     - และท่านอะบูฮูรอยเราะฮ์ ได้เล่าว่า กษัตริย์ของ Aylah ได้มอบของขวัญให้กับท่านนะบี ซึ่งเป็นเนื้อล่อสีขาวและเสื้อคลุม  และท่านได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ท่านนะบี ที่ได้รับเนื้อแกะซึ่งมียาพิษผสมอยู่  โดยเป็นเนื้อที่หญิงชาวยิวเป็นผู้ที่มอบให้กับท่าน

จากหลักฐานข้างต้น  จึงเป็นที่อนุมัติสำหรับเราในการรับของขวัญจากคนที่ไม่ใช่มุสลิม


ลำดับที่สอง

         เป็นที่อนุญาตในการทานเนื้อที่ถูกเชือดมาจากชาวยิวหรือชาวคริสเตียน  โดยที่ต้องมีเงื่อนไขของการเชือดดังต่อไปนี้

          1. การเชือดนั้นต้องเป็นไปตามวิธีการเชือดตามแบบของชาวมุสลิม  กล่าวคือเป็นการเชือดที่ลำคอและหลอดอาหาร  และเลือดนั้นจะต้องสามารถไหลออกมาได้  แต่ถ้าการฆ่าสัตว์นั้นใช้วิธีบีบรัดคอของสัตว์ หรือใช้ไฟฟ้าช๊อต หรือฆ่าสัตว์โดยทำให้จมน้ำตาย  ซึ่งเนื้อของงสัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยวิธีทั้งหมดนี้  จะไม่เป็นที่อนุมัติให้ทาน  แม้ว่าผู้ที่ทำการเชือดสัตว์จะเป็นชาวมุสลิมก็ตาม

          2. ต้องมีการกล่าวพระนามของพระองค์อัลลอฮ์ ก่อนที่จะทำการเชือดสัตว์  ซึ่งใช้พระนามอื่นหรือพระนามที่ชาวคริสต์ใช้เรียกกันก็ไม่ได้  เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

“และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ มิได้ถูกกล่าวบนมัน

และแท้จริงมันเป็นการละเมิดแน่ ๆ และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหายของมัน

เพื่อพวกเขา จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น”  

(ซูเราะฮ์ อัลอันอาม 6:121)

และในเรื่องของอาหารที่เป็นที่ต้องห้ามนั้น  พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

“อัลลอฮ์ ได้ทรงห้ามสูเจ้าเฉพาะสิ่งเหล่านี้ สัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นนอกไปอัลลอฮ์

แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขันโดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ได้ละเมิด

มันก็ไม่มีบาปแก่เขาเพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

(ซูเราะฮฺ อัลบะกาเราะฮฺ 2:173)

          แต่ถ้าหากว่า  เราไม่ทราบว่าเนื้อดังกล่าวนั้น  มาจากการฆ่าเช่นไรหรือมีการกล่าวนามอื่นนอกเหนือไปจากพระนามของอัลลอฮ์แล้ว  ก็เป็นที่อนุญาตให้เรารับประทานเนื้อดังกล่าวได้  และเราไม่ต้องทำการสอบถามเกี่ยวกับการเชือดสัตว์ด้วย  ดังมีรายงานจากท่านบุคอรีย์ (2057) ว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์  ได้เล่าว่า

     มีประชาชนมาหาท่านนะบีและได้กล่าวว่า โอ้ท่านศาสนฑูตของอัลลอฮ์  มีบางคนนำเนื้อมาให้เราแต่เราไม่ทราบว่า  เนื้อนั้นได้มาจากการกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ ขณะเชือดหรือไม่  แล้วท่านศาสดา จึงได้กล่าวตอบว่า  “จงกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ แล้วทานมันเถิด” 

 

         อีกรายงานหนึ่งจากท่าน Shaykh Ibn ‘Uthaymeen ได้กล่าวว่า  เป็นที่อนุมัติในการทานเนื้อที่เราไม่ทราบว่าในการเชือดนั้น  ได้มีการกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ หรือไม่  เช่นเดียวกัน  เป็นที่อนุมัติในการทานเนื้อที่เราไม่ทราบว่าถูกฆ่าให้ตายอย่างถูกต้องหรือไม่  เพราะผู้ที่ทำการเชือดสัตว์นั้นถือว่าเป็นคนที่มีความเหมาะสมแล้ว (เป็นชาวคัมภีร์คือ ยิวและคริสต์) ซึ่งตามหลักการแล้วถือว่าใช้ได้และสมเหตุสมผล  เว้นเสียแต่ว่ามีหลักฐานที่ชัดเจนว่า  ในการเชือดสัตว์นั้นมีการกระทำด้วยวิธีการที่ผิดหลักการ  ดังนั้นเมื่อเราได้รับเนื้อที่มาจากคนมุสลิม หรือชาวยิวหรือชาวคริสต์แล้ว    เราก็ไม่ควรที่จะทำการสอบถามถึงวิธีการเชือดสัตว์  หรือถามว่าได้เชือดโดยกล่าวพระนามของอัลลอฮ์  หรือไม่  ซึ่งเนื้อเหล่านั้นจะเป็นที่อนุมัติแก่เรา  ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า  เนื้อดังกล่าวถูกเชือดด้วยวิธีการที่ต้องห้าม  และนี่เป็นหนึ่งในหนทางที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานความสะดวกง่ายดายให้แก่เรา

จาก Liqaa’aat al-Baab al-Maftooh, 20805 และดูคำตอบเพิ่มเติมจากคำถามหมายเลข 20805

ซึ่งข้อปฏิบัติในการเชือดสัตว์นี้  เป็นเงื่อนไขที่ใช้ในการเชือดสัตว์อื่น ๆ และนกด้วย

          แต่สำหรับปลา ของหวานและผักนั้น  หากไม่มีสิ่งที่ต้องห้ามปะปนมาด้วยแล้ว เช่นแอลกอฮอล์หรือไขมันจากสุกร  อาหารดังกล่าวนี้ก็สามารถทานได้โดยไม่มีความผิดแต่อย่างใด   

          สำหรับกฎข้อห้ามในการทานอาหารนั้น  ไม่สามารถอาศัยพื้นฐานของการสงสัยได้  แต่ถ้าบุคคลนั้นมีความพยายามที่จะระวังและเลือกทานอาหารเฉพาะสิ่งที่แน่ใจแล้วว่า ปราศจากของที่เป็นต้องห้ามผสมอยู่  นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ดีกว่า

          นอกจากนี้ชาวยิวนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีการยึดมั่นในหลักการของการเชือดสัตว์ด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพวกเขาหลีกเลี่ยงเนื้อสุกร

สามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคำตอบของคำถามหมายเลข 88206 และ 85108

 

และพระองค์อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรบรอบรู้ยิ่ง

 

 http://www.islamqa.com/en/ref/128632


แปลโดย นูรุ้ลนิซาอ์