การแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม
วิทยานิพนธ์ อ.มูฮัมหมัด เชื้อดี
1. หลักการที่ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามมี 2 หลักการคือ1. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน
2. แบบฉบับของศาสดามูฮัมมัดเนื่องจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน เป็นพระมหาคัมภีร์มีบทบัญญัติเกี่ยวข้องกับหลักการศรัทธา หลักปฏิบัติ และหลักของคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมุสลิมที่ทุกคนยอมรับ ส่วนแบบฉบับของศาสดามูฮัมมัด นั้นหมายถึงบรรดาคำพูด บรรดาการกระทำ และการยอมรับต่างๆที่มาจากศาสดามูฮัมมัด เป็นการอธิบายความหมายและขยายความพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน เพื่อให้เข้าใจความหมายของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านได้อย่างถูกต้อง(อรุณบุญชม. 2529, 1 : 15)
อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 4 โองการที่ 59 มีความว่า
“ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังศาสดามูฮัมมัด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย และถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใดก็จงนำกลับไปยังอัลลอฮ์และศาสดามูฮัมมัด หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งนั้นไปตรวจสอบดูกับพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน และแบบฉบับของศาสดามูฮัมมัด ว่า ได้มีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรแล้วให้ยึดถือตามนั้นโดยปราศจากดื้อดึงใดๆ ทั้งสิ้น” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 195)
บทที่ 4 โองการที่ 65 มีความว่า
“มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินไป และพวกเขายอมจำนนด้วยดี” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 197)
บทที่ 5 โองการที่ 44 มีความว่า
“และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้คือผู้ปฏิเสธการศรัทธา” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 257)
บทที่ 5 โองการที่ 45 มีความว่า
“และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้คือผู้อธรรม” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 257)
บทที่ 5 โองการที่ 47 มีความว่า
“และผู้ใดมิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้คือผู้ที่ละเมิด” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 258)
อรุณ บุญชม (2529 , 1:18)กล่าวว่า ศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ทั้งสิ่งสองอย่างไว้แก่พวกเจ้าหากท่านทั้งหลายยึดถือและปฏิบัติตาม ท่านทั้งหลายจะไม่หลงทางอย่างเด็ดขาดนั้นคือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน และแบบฉบับของศาสดามูฮัมมัด
2. หลักการปฏิบัติที่ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามมี 2 ประการที่สำคัญคือ1. ความถูกต้อง
ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ดังนี้
บทที่ 2 โองการที่ 213 มีความว่า
“และทรงได้ประทานคัมภีร์อันกอปรไปด้วยความจริงลงมาจากพวกเขาด้วย เพื่อว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้ง(ขัดขืน)ในคัมภีร์นั้น” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 67)
บทที่ 21 โองการที่ 112 มีความว่า
“เขา (มูฮัมมัด) กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ขอพระองค์ทรงชี้ขาดตัดสินแก่เราด้วยความจริง และพระเจ้าเราคือพระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงถูกขอความช่วยเหลือต่อสิ่งที่พวกท่านกล่าวหา ” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 792)
2. ความยุติธรรม
ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ดังนี้
บทที่ 4 โองการที่ 58 มีความว่า
“และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คนจากพวกเจ้าจะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 642)
บทที่ 5 โองการที่ 42 มีความว่า
“และหากเจ้าตัดสินก็จงสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 195)
บทที่ 16 โองการที่ 64 มีความว่า
“และเรามิได้ให้คัมภีร์นี้ลงมาแก่เจ้าเพื่ออื่นใดเว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจงให้แจ่มแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน เพื่อเป็นการชี้แนวทางและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 642)
อรุณ บุญชม (2529,8 : 1129) กล่าวว่า ความยุติธรรมคือรากฐานของการปกครอง
3. วิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามทั้ง 5 วิธี คือ การต่อสู้ การประนีประนอม การร่วมมือ การขออภัย – การให้อภัย และการนิ่งเฉย ต้องยึดหลักคำสอนของศาสนาเป็นสำคัญโดยใช้กับสถานการณ์ ต่างๆดังนี้
1. การต่อสู้ใช้กับ
1.1 เรื่องความผิดและความถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับหลักการของศาสนา
1.2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อใช้ให้ปฏิบัติ - ข้อห้ามปฏิบัติ
1.3 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับแพ้- ชนะ
1.4 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดที่ไม่สามารถอภัยหรือประนีประนอมได้
1.5 เรื่องถูกรุกราน-ถูกขับไล่อย่างไม่เป็นธรรม
1.6 เรื่องที่ไม่สามารถใช้วิธีการอื่น2. การประนีประนอมใช้กับ
2.1 เรื่องทะเลาะวิวาทไม่คุ้มกับความพยายามหรือการออกแรงเพื่อการต่อสู้
2.2 เรื่องหนี้สิน
2.3 เรื่องการสงบศึก
2.4 เรื่องผสานความสามัคคี
2.5 เรื่องการละเมิดที่สามารถประนีประนอมหรือตกลงร่วมกันได้
2.6 เรื่องที่ควรใช้แนวทางสายกลางแก้ไข3. การร่วมมือใช้กับ
3.1 เรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างสามี-ภรรยา
3.2 เรื่องที่ต้องการหาวิธีที่ดีที่สุด
3.3 เรื่องที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ
3.4 เรื่องที่สำคัญต้องการความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่
3.5 เรื่องที่สามารถร่วมมือกันได้เพื่อผสานความความรู้สึกเข้าด้วยกัน
3.6 เรื่องที่ต้องรับตัดสินใจเร่งด่วน4. การขออภัย - การให้อภัยใช้กับ
4.1 เรื่องที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกต้องหรือเป็นฝ่ายผิด
4.2 เรื่องการเชิญหน้าจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
4.3 เรื่องการเผชิญหน้าอาจทำให้ปัญหาไม่จบสิ้น
4.4 เรื่องที่เล็กน้อยไม่สำคัญที่สามารถให้อภัยกันได้
4.5 เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของจิตใจ5. การนิ่งเฉยใช้กับ
5.1 เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่สาระสำคัญ
5.2 เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเสียหาย
5.3 เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดและความถูกต้อง
5.4 เรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบ
5.5 เรื่องที่ไม่มีความรู้ความสามารถดังนั้นการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามทั้ง 5 วิธีคือ การต่อสู้ การประนีประนอม การร่วมมือ การขออภัย - การให้อภัยและการนิ่งเฉย ผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจ นำหลักการของศาสนามาใช้ในการแก้ไขปัญหาอย่างเคร่งครัด อย่างถูกต้องและเป็นธรรม การแก้ไขความขัดแย้งที่แตกต่างเกิดจากสาเหตุความขัดแย้งที่ไม่เหมือนกัน อิสลามส่งเสริมและสนับสนุนอย่างยิ่งในเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งควรใช้วิธีการร่วมมือและการประนีประนอมเป็นอันดับแรกๆ ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านดังนี้
บทที่ 3 โองการที 159 มีความว่า
“และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 153)
บทที่ 4 โองการที่ 128 มีความว่า
“และการประนีประนอมเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด” (จารึก เซ็นเจริญและมุฮัมมัด พายิบ.2540, 3 : 555)
แต่ในบางครั้งการแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่อสู้ ทำความจริงให้ปรากฏเป็นหนึ่งจากวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านดังนี้
บทที่ 2 โองการที่ 191 มีความว่า
“การก่อความวุ่นวายนั้นรุนแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก หมายความว่า การปล่อยปัญหาให้คงอยู่ต่อไปโดยไม่มีการจัดการใดๆนั้นคือสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่เด็ดขาดและรุนแรงก็เป็นได้ กล่าวคือ มีผลเสียน้อยกว่า” (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ประเทศไทย,1419:60 )
สรุปได้ว่า การแก้ไขความขัดแย้ง( Conflict Resolution ) เป็นการดำเนินการให้ความขัดแย้งลดน้อยลง สงบลง หรือสิ้นสุดลง ผู้บริหารแต่ละคนจะมีวิธีจัดการกับความขัดแย้งแตกต่างกัน ความขัดแย้งในสถานการณ์ที่ต่างกันและจากสาเหตุที่ต่างกันย่อมต้องการวิธีจัดการที่แตกต่างกันไป สิ่งที่ผู้บริหารต้องคำนึงในการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวคิดของเจ้าของแนวคิดทฤษฎีต่างๆคือ การเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อไห้เกิดผลดีแก่องค์การเป็นหลัก แต่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามนั้นต้องยึดหลักการของศาสนาที่วางไว้เป็นสำคัญเพื่อความถูกต้อง และความเป็นธรรมซึ่งทุกฝ่ายต้องยอมรับ
+++++++++++++++++++++++++