การบริหารความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม
วิทยานิพนธ์ อ.มูฮัมหมัด เชื้อดี
อิสลามมีแบบบริหารความขัดแย้งสรุปได้ 5 แบบดังนี้1. การต่อสู้ หมายถึง การเอาแพ้-เอาชนะ การทำให้ความจริงปรากฏ
2. การประนีประนอม หมายถึง การเจรจา การต่อรอง การปองดอง และการไกล่เกลี่ย
3. การร่วมมือ หมายถึง การระดมความคิดเห็น การผสานความร่วมมือร่วมใจเข้าด้วยกัน
4. การขออภัย- การให้อภัย หมายถึง การยกโทษ ไม่ถือโกรธ การไม่ติกอกติดใจเมื่อตนเองเป็นฝ่ายถูก การขออภัย การยอมรับผิดและรับผิดชอบในกรณีที่ตนเองเป็นฝ่ายผิด
5. การนิ่งเฉย หมายถึง การไม่แสดงออกด้วยประการใดๆไม่ใช่แสดงถึงการหลีกเลี่ยงปัญหาแต่เป็นการแสดงให้ทุกฝ่ายรับรู้ว่าไม่มีฝ่ายใดผิด เป็นการบอกให้รู้ถึงทุกฝ่ายถูกต้องไม่ควรที่จะมาขัดแย้งหรือโต้เถียงกัน(พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านพร้อมความหมายภาษาไทย, 1419)
สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. การต่อสู้อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านดังนี้
บทที่ 2 โองการที่ 190 มีความว่า
"และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ต่อบรรดาผู้ที่ทำลายพวกเจ้าและจงอย่ารุกราน แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 60)
บทที่ 2 โองการที่ 191 มีความว่า
"และจงประหัตประหารพวกเขา(ศัตรูผู้รุกราน) ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขาและจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419: 60)
บทที่ 37 โองการที่ 26 มีความว่า
"ดังนั้นเจ้าจงตัดสินกรณีพิพาทระหว่างมนุษย์ทั้งหลายด้วยสัจจะเถิด(ตามความเป็นจริง)และอย่าได้ตัดสินตามอารมณ์ของเจ้าเป็นอันขาดอันจะทำให้เจ้าหลงออกจากทางของอัลลอฮ์ " (ต่วน สุวรรณศาสน์.มบป,23 : 2088 )
จารึกเซ็นเจริญ มุฮัมมัด พายิบ( 2540, 3:566) กล่าวว่า ท่านอีหม่ามบุคอรี (191) ได้กล่าวว่า เมื่อผู้ปกครองแนะนำให้ปรองดองกัน แต่เขา(จำเลย)ปฏิเสธกรณีเช่นนี้ให้ผู้ปกครองชี้ขาดไปตามพยานหลักฐานดังนั้นการต่อสู้เป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม เพราะบางปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการอื่น อิสลามจึงได้วางกรอบของการต่อสู้ไว้ว่าคือต้องไม่ละเมิด ไม่รุกราน ไม่ใช้อารมณ์ อันจะนำไปสู่ความไม่ถูกต้องและชอบธรรมเนื่องจากการต่อสู้เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่เด็ดขาดและรุนแรง
2. การประนีประนอม
อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านดังนี้
บทที่ 4 โองการที่ 114 มีความว่า
"ไม่มีความดีในส่วนใหญ่จากการซุบซิบของพวกเขา นอกจากผู้ที่ใช้ให้บริจาคทาน หรือใช้ให้ทำความดี หรือไกล่เกลี่ยในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และผู้ใดกระทำการดังกล่าวนั้นโดยแสวงหาความพอใจของอัลลอฮ์ ดังนั้นต่อไปเราจะให้ผลบุญแก่เขาอย่างใหญ่หลวง" (อรุณ บุญชม. 2529, 3:414)
บทที่ 4 โองการที่ 128 มีความว่า
"และหากหญิงใดเกรงว่าจะมีการปึ่งชาหรือมีการผินหลังให้จากสามีของนางแล้วก็ไม่มีบาปใดๆ แก่ทั้งสองที่จะตกลงประนีประนอมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งดีกว่า" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ประเทศไทย,1419 :220)
บทที่ 8 โองการที่ 1 มีความว่า
"ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์และจงไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท "(อรุณ บุญชม. มบป, 2:87)
บทที่ 48 โองการที่ 9 มีความว่า
"และหากคนทั้งสองกลุ่มจากพวกที่มีศรัทธา ได้ทำการรบกันหรือพิพาทกัน พวกเจ้าต้องปรองดองในระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้นเถิด ดังนั้นถ้ากลุ่มใดจากทั้งสองเป็นผู้ล่วงละเมิดแก่อีกกลุ่มหนึ่ง คือไม่รับฟังคำเตือน และไม่ยอมรับในการปรองดองซึ่งเป็นหลักการที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ พวกเจ้าก็จงช่วยเหลือฝ่ายที่ถูกละเมิดรบกับฝ่ายที่ล่วงละเมิดจนกระทั้งฝ่ายนั้นกลับคืนสู่คำบัญชาแห่งอัลลอฮ์โดยดุษฎี ครั้นเมื่อฝ่ายนั้นคืนสู่คำบัญชาแห่งอัลลอฮ์แล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมในระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และพวกเจ้าก็จงยุติธรรมเพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ยุติธรรม" (ต่วน สุวรรณศาสน์. มบป, 26:2333)
บทที่ 49 โองการที่ 9 มีความว่า
"และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกันพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายคือหาทางให้ทั้งสองฝ่ายยุติข้อขัดแย้งและประนีประนอมด้วยความยุติธรรม"
"และหากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง คือไม่ยอมรับการไกล่เกลี่ยและยังดื้อรั้นที่ปฏิบัติตามอารมณ์ของตนแล้ว พวกเจ้าจงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮ์ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮ์แล้ว พวกเจ้าจงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม " (สมาคมนักเรียนเก่าประเทศไทย,1419 :1349-1350)
บทที่ 49 โองการที่ 10 มีความว่า
"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา" (สมาคมนักเรียนเก่าประเทศไทย,1419 :1350)
ดังนั้นการประนีประนอมเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม อิสลามสนับสนุนส่งเสริมอย่างยิ่งให้ใช้วิธีการนี้ในการแก้ไขความขัดแย้งแม้ในบางประเด็นที่ได้มีการตัดสิน พิพากษาไปแล้ว เพราะทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายความรู้สึก เกิดความปรองดอง สามารถที่จะปฏิบัติงานร่วมกันต่อไปได้อย่างราบรื่นภายใต้บรรยากาศที่ดี
3. การร่วมมือ
อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีรอัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 3 โองการที 159 มีความว่า
"และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 153)
บทที่ 4 โองการที่ 35 มีความว่า
"และหากพวกเจ้าหวั่นเกรงการแตกแยกระหว่างเขาทั้งสอง (สามี-ภรรยา)ก็จงส่งผู้ตัดสินคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายชาย และผู้ตัดสินอีกคนจากครอบครัวฝ่ายหญิง หากทั้งสองปรารถนาให้มีการประนีประนอมกันแล้ว อัลลอฮ์ ก็จะทรงให้ความสำเร็จในระหว่างทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้รอบรู้ทรงสัพพัญญู(รอบคอบ)" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 186-187)
ขณะที่ต่วน สุวรรณศาสน์( มบป,5 : 354)ได้ให้ความหมายว่า และถ้าพวกเจ้ารู้ว่าเกิดมีความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งสอง(สามี-ภรรยา)นั้นแล้วไซร้ ก็จงตั้งตัวแทนขึ้นคนหนึ่งจากฝ่ายชาย และอีกคนจากฝ่ายหญิงหากตัวแทนทั้งสอง ปรารถนาจะไกล่เกลี่ยกันแล้ว อัลลอฮ์จะทรงกำหนดให้ทั้งสอง(สามี-ภรรยา)นั้นปรองดองกัน เพราะแท้จริงอัลลอฮ์คือองค์ผู้ทรงรู้ยิ่ง ทรงรู้แจ้ง
และอรุณ บุญชม (2529, 3 : 413) ได้ให้ความหมายว่า และถ้าหากพวกเจ้ากลัวจะเกิดแตกแยกระหว่างคนทั้งสอง (สามี-ภรรยา) ก็ให้พวกท่านตั้งอนุญาโตตุลาการคนหนึ่งจากครอบครัวของเขา (สามี) และอนุญาโตตุลาการจากครอบครัวของหล่อน (ภรรยา) ถ้าหากคนทั้งสอง(อนุญาโตตุลาการ)ปรารถนาจะไกล่เกลี่ย อัลลอฮ์ก็จะแนะแนวทางให้คนทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทรงรอบคอบ
บทที่ 42 โองการที่ 38 มีความว่า
"และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 1252)
ดังนั้นการร่วมมือเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม อิสลามสนับสนุนส่งเสริมอย่างยิ่งให้ใช้วิธีการนี้ในการแก้ไขความขัดแย้งในลำดับต้นๆ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตย ให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ได้เสนอแนะ ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา การมีส่วนร่วมถือเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติงานร่วมกัน
4. การขออภัย- การให้อภัย
อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 3 โองการที่ 134 มีความว่า
" คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย และในยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ข่มโทษะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 142)
บทที่ 7 โองการที่ 199 มีความว่า
"เจ้า(มูฮัมมัด) จงยึดถือไว้ด้วยการอภัย และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ(ความดี) และจงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลา(ดื้อรั้นบนความชั่ว)ทั้งหลายเถิด" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 406)
บทที่ 15 โองการที่ 85 มีความว่า
"ดังนั้นเจ้าจงอภัยด้วยการอภัยที่ดี" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 624)
บทที่ 24 โองการที่ 22 มีความว่า
"และพวกเขาจงอภัย และยกโทษ(ให้แก่พวกเขาเถิด) พวกเจ้าจะไม่ชอบหรือที่อัลลอฮ์ จะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ " (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 851)
อรุณ บุญชม (มบป, 2:58) กล่าวว่า ศาสดามูฮัมมัด ได้ทรงกล่าวไว้ว่า ใครที่ทุจริต(ละเมิด) สิ่งใดมาจากพี่น้องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศของเขา หรือสิ่งใดก็ตามเขาจะต้องขอคำยินยอม(ขออภัย ขอโทษ)จากพี่น้องของเขาตั้งแต่วันนี้(ยังมีชีวิตอยู่)ก่อนที่จะไม่มีเหรียญทองและเหรียญเงิน(ก่อนสิ้นชีวิตลง)
ดังนั้นการขออภัย - การให้อภัยเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม อันแสดงถึงการรู้จักแยกแยะระหว่างความผิดกับความถูกต้องโดยผู้กระทำผิดเป็นฝ่ายขออภัยและขอโทษผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายให้อภัยและไม่เอาผิด ไม่มีการขออะไรที่น่ายกย่องน่าชมชยและน่าสรรเสริญยิ่งกว่าการขออภัยและการขอโทษ ไม่มีการให้สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่าทางจิตใจมากกว่าการให้อภัยและการยกโทษภายใต้ความเป็นพี่เป็นน้องร่วมศาสนาเดียวกัน
5. การนิ่งเฉย
อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ดังนี้บทที่ 7 โองการที่ 199 มีความว่า
"และเจ้า มูฮัมมัด จงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 406)
จารึก เซ็นเจริญและมูฮำมัด พายิบ(2539, 2 : 40) กล่าวว่ามีรายงานที่ถูกบันทึกไว้สรุปได้ว่า เมื่อครั้งที่ศาสดามูฮัมมัด กลับจากการทำศึกกับกลุ่มชนหลายเผ่าที่รวมตัวกัน(อัลอะห์ซาบ) ท่านได้กล่าวกับพวกเราไว้ว่า ใครคนใดอย่าได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)เว้นแต่เมื่อเดินทางไปถึงตำบลหนึ่งที่มีชื่อว่าบนีกูรอยซะฮ์ แต่แล้วได้มีคนส่วนหนึ่งละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ในระหว่างการเดินทางเพราะได้เข้าเวลาของการละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งยืนยันที่จะไปละหมาด ณ สถานที่ที่ศาสดามูฮัมมัด สั่งไว้ ซึ่งทั้งสองกลุ่มโต้แย้งกันและยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองทำคือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อศาสดามูฮัมมัด ทราบเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านได้นิ่งเฉย
สรุปได้ว่าการผินหลังนั้นมิได้หมายถึง การหลีกเลี่ยงปัญหาโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ หากแต่เป็น การแสดงออกถึงความไม่เห็นดีเห็นงามและไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการยับยั้งห้ามปรามและตักเตือนไปก่อนหน้านี้แล้ว
และการโต้แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนสองกลุ่มเกิดจากการเข้าใจที่แตกต่างกันถึงจุดประสงค์ของศาสดามูฮัมมัด ที่สั่งไว้ กลุ่มหนึ่งเข้าใจว่าคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด ดังกล่าวจุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนรีบเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อจะได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) พร้อมกันที่นั่นทันทีที่ได้เวลาละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) แต่แล้วทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดคิดเพราะการเดินทางยังไม่ถึงที่หมายก็ได้เวลาละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) คนกลุ่มนี้จึงตัดสินใจละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ทันที โดยไม่มีเจตนาที่จะขัดขืนคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด แต่อย่างใด อีกกลุ่มเข้าใจว่าคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด จุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนไปละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)พร้อมกันที่นั่น ถึงแม้ว่าจะได้เวลาการละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ระหว่างการเดินทาง เพราะทุกคนก็ยังสามารถไปละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ที่นั่นได้ เนื่องจากยังมีเวลาเหลือพอที่จะละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)กันที่นั่น ดังนั้นสองกลุ่มจึงเกิดการโต้แย้งกัน ต่างฝ่ายยืนยันสิ่งที่ตนเองทำนั้นคือเจตนาที่แท้จริงของศาสดามูฮัมมัด แต่การนิ่งเฉยของศาสดามูฮัมมัด ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองกลุ่มนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครกระทำผิดแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยทั้งสองกลุ่มก็ได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ในเวลาที่อนุญาตให้ละหมาดแล้ว การเข้าใจเจตนาของคำสั่งดังกล่าวที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ
ดังนั้นการนิ่งเฉยเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามคือ การเอาความเงียบสยบความเคลื่อนไหว ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจประเด็นที่ขัดแย้งกันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่สาระสำคัญที่ต้องนำมาถกเถียงเพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
@@@@@@@@@@@@@