ท่านนัวะมาน อิบนุ มุก็อรริน อัลมุซะนีย์
  จำนวนคนเข้าชม  8557

ท่านนัวะมาน อิบนุ มุก็อรริน อัลมุซะนีย์

          เผ่า “มุซัยนะห์” เป็นเผ่าหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้กับเมืองยัษริบ ตามเส้นทางจากมักกะห์สู่มะดีนะห์ ขณะที่ท่านรอซูล อพยพมาถึงมะดีนะห์นั้น ข่าวการอพยพได้มาถึงเผ่ามุซัยนะห์ ทำให้พวกเขาได้ยินได้ฟังสิ่งที่ดีงามมากมาย...

          เย็นวันหนึ่ง ขณะที่นัวะมานซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่า นั่งอยู่กับบรรดาพี่น้องและผู้อาวุโส เขากล่าวขึ้นว่า :

          พี่น้องทั้งหลาย เรื่องราวของมุฮัมหมัดที่เราทราบกันนั้น เป็นเรื่องที่ดีงามทั้งสิ้น เราได้รับข่าวการเชิญชวนไปสู่ความรักใคร่ เอ็นดูเมตตา ความดีงาม และความยุติธรรม ดังนั้นพวกเราจะเอาอย่างไรดี จะทำเป็นเชื่องช้าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆที่ผู้คนทั้งหลายต่างก็รีบรุดไปหาท่านนบีมุฮัมหมัดกระนั้นหรือ?

และนัวะมานก็กล่าวต่อไปอีกว่า :

          สำหรับตัวฉันเองนั้น ตัดสันใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปหามุฮัมหมัด หากผู้ใดประสงค์จะไปด้วย ก็จงเตรียมตัวให้พร้อม

          คำพูดของนัวะมาน คล้ายกับลูกศรที่พุ่งเสียบแทงหัวใจของทุกคน เช้ารุ่งขึ้นพี่น้องของเขาจำนวนสิบคน แล้วนักรบชาวมุซัยนะห์อีกสี่ร้อยคน ต่างก็อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปกับนัวะมาน เพื่อไปหาท่านนบีมุฮัมหมัด ณ เมืองยัษริบ  เพื่อเข้ารับนับถือศาสนาของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่นัวะมานรู้สึกละอายใจที่หมู่คณะของตนมีจำนวนมาก มาหาท่านรอซูล และบรรดาพี่น้องมุสลิมโดยไม่มีสิ่งใดติดมือเป็นของกำนัลมาเลย ประกอบกับในปีนั้นก็เป็นปีที่ชาวมุซัยนะห์ประสบกับความแห้งแล้งอย่างหนัก ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค พืชพรรณธัญญาหารก็เสียหายหมด ดังนั้น นัวะมานจึงรวบรวมสิ่งของเล็กๆน้อยๆ ที่ยังพอจะมีเหลืออยู่บ้างจากบ้านของตน และบรรดาพรรคพวกพี่น้อง โดยนำมามอบให้ท่านรอซูล และประกาศตนเข้ารับอิสลามพร้อมกับทุกคนที่ร่วมมาด้วยกันต่อหน้าท่านรอซูล

          ทั่วเมืองยัษริบ ต่างกล่าวขวัญกันถึงท่านนัวะมาน และพี่น้องญาติมิตรที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยว่า จะมีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจำนวนถึงสิบเอ็ดคนเข้ารับอิสลามพร้อมกันเหมือนในครั้งนี้ นอกจากนั้นยังมีอัศวินอีกจำนวนสี่ร้อยคนเข้ารับอิสลามด้วย ท่านรอซูลปลาบปลื้มใจกับการเข้ารับอิสลามของท่านนัวะมานในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง แล้วอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ทรงรับสิ่งของที่นัวะมานนำมาให้ท่านรอซูลแม้จะมีเพียงเล็กน้อย ดังที่พระองค์ทรงแจ้งให้ทราบในอายะห์ต่อไปนี้ :

          และในหมู่อาหรับชนบทนั้น มีผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ และถือเอาสิ่งที่ตนบริจาคไปนั้นเป็นการใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ และเป็นการขอพรของร่อซูล พึงรู้เถิดว่า แท้จริงมันเป็นการทำให้ใกล้ชิดแก่พวกเขา อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาอยู่ในความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
(อัตเตาว์บะห์ 9 : 99)

          หลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว ท่านนัวะมานก็อยู่ภายใต้ร่มธงของท่านรอซูล เข้าร่วมศึกสงครามกับท่านรอซูลทุกครั้งโดยไม่รีรอ และไม่เคยละเว้น จนกระทั่งท่านรอซูลวะฟาต กลับไปสู่ความเมตตาของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เมื่อท่านอบูบักรฺ อัศศิดดี๊ก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นคอลีฟะห์ ท่านนัวะมานและเผ่าพี่น้องมุซัยนะห์ ก็ยังคงยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับท่านคอลีฟะห์ อบูบักรฺ และเป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามพวกกบฏศาสนา

          ในสมัยคอลีฟะห์ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกบทบาทอันสำคัญของท่านนัวะมาน ด้วยการสรรเสริญผลงานชิ้นสำคัญของท่าน ซึ่งยากที่พวกเราจะลืมได้ นั่นก็คือ...

          ก่อนถึงเมือง “กอดิซียะห์” เล็กน้อย ท่านซะอฺด อิบนิ อะบี วักก็อซ แม่ทัพของกองทหารมุสลิม ได้ส่งคณะทูตภายใต้การนำของท่านนัวะมานให้ไปหาจอมจักรพรรดิ กิสรอ ยัซดะญุรดฺ เพื่อเชิญชวนให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

          เมื่อคณะทูตได้เดินทางมาถึงเมืองมะดาอิน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกิสรอ ก็ขออนุญาตเข้าเฝ้าจอมจักรพรรดิ และก็ได้รับอนุญาตให้เข้าพบได้ จอมจักรพรรดิได้เรียกล่ามผู้หนึ่งมาหาและสั่งว่า :

          จงถามพวกนั้นซิว่า มีเรื่องราวประการใดจึงต้องมาถึงเมืองของเรา พวกเจ้าจะรบกับเราหรือ? คิดว่าพวกเจ้าคงคิดจะยึดครอง และเข้าจู่โจมเรา เพราะพวกเราไม่ได้ให้ความสนใจและไม่ปรารถนาจะทำอะไรรุนแรงต่อพวกเจ้า

          เมื่อจอมจักรพรรดิสั่งให้ล่ามถามเช่นนั้น ท่านนัวะมานจึงหันไปหาพวกพ้องของท่านและกล่าวว่า :

          ถ้าหากพวกท่านต้องการให้ฉันเป็นผู้ตอบคำถามนี้แทน ฉันก็จะตอบ หรือมีผู้ใดปรารถนาจะตอบ ก็เชิญได้เลย ฉันอนุญาต

หมู่คณะกล่าวว่า :

          ท่านนั่นแหละเป็นผู้ตอบ

พลางพวกเขาก็หันไปหาจอมจักรพรรดิแล้วกล่าวขึ้นว่า :

          ชายผู้นี้แหละจะเป็นผู้ตอบคำถามของท่าน คำพูดของเขาถือเป็นคำพูดของพวกเราทั้งหมด ดังนั้นจงฟังเรื่องที่เขาจะพูดเถิด

ท่านนัวะมานจึงกล่าวสรรเสริญอัลเลาะห์ กล่าวศอละวาต ต่อท่านนบีมุฮัมหมัด และได้กล่าวว่า :

          แท้จริงอัลเลาะห์นั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา พระองค์จึงส่งรอซูลท่านหนึ่งให้เป็นผู้แนะนำความดีงามและใช้ให้พวกเราปฏิบัติตาม ท่านบอกให้พวกเราทราบถึงสิ่งที่เป็นความชั่ว พร้อมกับห้ามมิให้พวกเราเข้าใกล้ นอกจากนั้นยังให้สัญญาอีกว่า ถ้าหากพวกเรารับคำเชิญชวน อัลเลาะห์จะทรงประทานความดีให้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อัลเลาะห์จะทรงเปลี่ยนความคับแค้นยากจน ที่พวกเราประสบอยู่ให้เป็นความสะดวกสบายสมบูรณ์ และพระองค์จะทรงเปลี่ยนความตกต่ำให้เป็นความมีเกียรติ และพระองค์จะทรงเปลี่ยนสภาพการตั้งตนเป็นศัตรูกัน ให้เป็นพี่น้องกัน รักใคร่ซึ่งกันและกัน ท่านรอซูลของอัลเลาะห์ได้ใช้ให้เราเชิญชวนมนุษย์ทั้งหลายไปสู่ความดีงาม และให้เริ่มเชิญชวนประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงก่อน ดังนั้นเราจึงขอเชิญชวนพวกท่านให้รับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาที่เชิดชูและส่งเสริมความดีงามทุกประการ ไม่ชอบสิ่งที่เป็นความชั่วร้าย และห้ามปรามกันมิให้ประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น อิสลามเป็นศาสนาที่เปลี่ยนสภาพผู้ศรัทธาจากความมืดมน ความป่าเถื่อนแห่งการกุฟรฺ ไปสู่แสงรัศมีแห่งการศรัทธาและความยุติธรรม ดังนั้นถ้าพวกท่านตอบรับคำเชิญชวนสู่ศาสนาอิสลาม พวกเราก็จะมอบคัมภีร์ของอัลเลาะห์ให้เป็นธรรมนูญการปกครอง และจะให้พวกท่านปกครองกันเอง แต่จะต้องใช้ข้อตัดสินตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วพวกเราก็จะกลับไปโดยปล่อยให้พวกท่านใช้ชีวิตไปตามปรกติทุกประการ แต่ถ้าหากพวกท่านไม่ยอมรับศาสนาอิสลาม เราก็ขอเก็บส่วยจากพวกท่าน แล้วเราจะให้ความคุ้มครองพวกท่าน แต่ถ้าหากพวกท่านไม่ยอมจ่ายส่วย เห็นทีเราจะต้องรบกัน

          เมื่อท่านนัวะมานกล่าวจบ จอมจักรพรรดิกิสรอ ยัซดะญุรดฺ ก็โกรธสุดขีด เสมือนกับมีผู้เอาน้ำมันราดลงไปบนกองไฟ พลางกล่าวว่า :

          ข้าไม่เคยรู้ว่าจะมีประชาชาติใดในโลกนี้ที่จะต่ำช้า มีจำนวนน้อย แตกแยกกัน และโอหังยิ่งไปกว่าพวกเจ้า ข้าจะเปลี่ยนความต้องการของพวกเจ้า โดยให้ผู้ปกครองตามชานเมือง จัดการพวกเขาให้ยอมจำนน เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อข้าให้จงได้

ต่อมาก็พูดเสียงอ่อนลง โดยกล่าวว่า :

          ถ้าหากว่าการที่พวกเจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ เพราะความอดอยาก เราก็จะสั่งให้นำอาหารไปให้ จนกระทั่งบ้านเมืองของพวกเจ้าอุดมสมบูรณ์ เราจะให้เครื่องนุ่งห่มแก่หัวหน้าเผ่า เพื่อนำไปแจกจ่ายกัน นอกจากนั้นเราจะแต่งตั้งคนของเราให้เป็นผู้ปกครอง เพื่อคอยดูแลความผาสุกของพวกเจ้าอีกด้วย

          เมื่อจอมจักรพรรดิกล่าวจบ มีชายผู้หนึ่งจากหมู่คณะของท่านนัวะมานกล่าวปฏิเสธข้อเสนอของจักรพรรดิ ซึ่งเท่ากับเป็นการจุดไฟแห่งความโกรธขึ้นอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่งจอมจักรพรรดิกล่าวว่า :

          ถ้าแม้นว่าพวกเจ้ามิได้มา ณ ที่นี้ในฐานะทูต ข้าจะต้องสังหารพวกเจ้าอย่างแน่นอน จงออกไปให้พ้น ข้าไม่มีอะไรมอบให้พวกเจ้า และฝากถึงแม่ทัพของพวกเจ้าด้วยว่า ข้าจะส่ง “รุสตุม” แม่ทัพแห่งเปอร์เซียให้ไปฝังพวกเจ้าพร้อมกับแม่ทัพของพวกเจ้าทั้งหมด ณ สนามเพลาะแห่งเมือง “กอดิซียะห์”

          จอมจักรพรรดิได้สั่งให้นำที่ใส่ดินมาอันหนึ่ง และบอกให้ชายฉกรรจ์นำมาให้หัวหน้าคณะทูตแบก และพาเดินนำหน้าขบวนเพื่อให้ประชาชนเห็น เพื่อเป็นการประจานพวกเขาจนกว่าจะพ้นเขตเมืองหลวง

เหล่าชายฉกรรจ์ถึงถามว่า : ใครคือหัวหน้าคณะ?

ท่านอาซิม อิบนิ อุมัร จึงรีบตอบว่า : ข้าเอง

          พวกเขาจึงนำที่ใส่ดินมาให้ และให้อาซิมเดินแบกกะบะใส่ดินออกไปจนกระทั่งพ้นเขตเมือง “มะดาอิน” ต่อจากนั้นอาซิมก็ได้ขี่อูฐกลับมาหาท่านซะอฺด อิบนิ อบีวักก็อซ พร้อมกับได้นำดินของเปอร์เซียมาด้วย ท่านซะอฺด อิบนิ อบีวักก็อซ จึงบอกข่าวดีแก่เขาว่า :

           อัลเลาะห์จะทรงให้มุสลิม พิชิตเมืองเปอร์เซีย และครอบครองดินแดนนี้ทั้งหมด

          ต่อจากนั้นสงคราม “กอดิซียะห์” จึงระเบิดขี้น และในสนามเพลาะเต็มไปด้วยซากศพนับจำนวนหมื่นๆคน เหมือนดังที่จอมจักรพรรดิกิสรอได้กล่าวไว้ไม่มีผิด แต่ศพจำนวนมากดังกล่าวนั้น หาใช่เป็นทหารฝ่ายมุสลิมไม่ หากแต่มันเป็นศพของทหารฝ่านกิสรอเองทั้งหมด

          หลังจากที่ฝ่ายเปอร์เซียพ่ายแพ้ในสงครามกอดิซียะห์แล้ว พวกเขายังไม่ยอมลดละ แต่กลับระดมพลครั้งใหญ่ มีจำนวนมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ทั้งสิ้น

          เมื่อท่านอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รับทราบข่าวการรวมกำลังครั้งใหญ่ของฝ่ายเปอร์เซีย ท่านจึงตัดสินใจจะนำทัพไปเผชิญหน้าศัตรูด้วยตนเอง แต่มีพี่น้องมุสลิมระดับอาวุโสหลายท่านได้กล่าวทัดทานไว้ และแนะนำให้ส่งแม่ทัพที่มีขีดความสามารถสูงที่จะรับศึกครั้งสำคัญนี้ได้

ท่านอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า :

          ท่านทั้งหลายจงแนะนำบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพที่จะออกไปต่อสู่กับศัตรูในครั้งนี้ด้วยเถิด

พวกเขากล่าวว่า :

           โอ้ท่านอะมีรุลมุอฺมินีน ท่านนั่นแหละที่ทราบดีว่า ใครในบรรดาทหารของท่านเป็นผู้ที่เหมาะสม

ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า :

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันจะแต่งตั้งชายผู้หนึ่งเป็นแม่ทัพของมุสลิม ชายผู้นี้นั้นเวลาเข้าทำศึกเข้าประจัญบานกันครั้งใด เขาจะต้องอยู่แนวหน้าเสมอ เขาคือท่าน นัวะมาน อิบนิ มุก็อรริน อัลมุซะนีย์

พวกเขาจึงกล่าวว่า :

          เหมาะสมแล้วครับ

ต่อจากนั้น ท่านคอลีฟะห์ จึงส่งสาส์นถึงท่านนัวะมาน มีความว่า :

          จากอุมัร อิบนิล ค็อฏฏอบ บ่าวของอัลเลาะห์ ถึงนัวะมาน อิบนิ มุก็อรริน ฉันได้รับข่าวว่า พวกเปอร์เซียได้ระดมพลครั้งใหญ่เพื่อสู่รบกับพวกท่าน ณ เมือง “นะฮาวันดฺ” ดังนั้น เมื่อท่านได้รับสาส์นฉบับนี้แล้ว ขอให้ท่านเดินทางไป “นะฮาวันดฺ” ทันที ตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ ด้วยการช่วยเหลือของอัลเลาะห์ และด้วยชัยชนะของอัลเลาะห์ ที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่ท่านและพี่น้องมุสลิมทุกคน ขอจงอย่านำพวกเขาเดินทางไปตามเส้นทางที่ลำบาก เพราะจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเขา เพราะมุสลิมหนึ่งคนนั้นมีคุณค่าสำหรับฉันยิ่งกว่าเงินจำนวนหนึ่งแสนเหรียญเสียอีก

“ขอความสันติจงมีแด่ท่าน”

          เมื่อได้รับสาส์นจากท่านคอลีฟะห์แล้ว ท่านนัวะมานจึงสั่งให้ทหารทั้งหมดเคลื่อนทัพเพื่อไปพบกับศัตรูอีกครั้งหนึ่ง ท่านได้สั่งอัศวินจำนวนหนึ่งเข้าเคลียร์พื้นที่ ที่นำหน้ากองทัพตลอดเส้นทาง จนกระทั่งใกล้จะถึงเมือง “นะฮาวันดฺ” ปรากฏว่าม้าที่เหล่าอัศวินขี่ไปนั้นไม่ยอมเดินต่อไป แม้จะบังคับอย่างไรก็ไม่เป็นผล พวกเขาจึงลงจากหลังม้าเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ และพบว่าที่กีบเท้าของม้านั้น ฉีกขาดเพราะถูกเหล็กแหลมคล้ายหัวตะปูทิ่มตำ และเมื่อมองดูที่พื้นดิน เห็นมีเหล็กแหลมเรียงรายตลอดเส้นทางตามไหล่เขา ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะเข้าสู่ตัวเมือง “นะฮาวันดฺ” ได้โดยสะดวก ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องกีดขวางยับยั้งไม่ให้ม้าและผู้ที่เดินเท้าเข้าไปสู่ตัวเมือง อัศวินเหล่านั้นจึงแจ้งให้นัวะมานทราบ และให้ช่วยคิดแก้ไขสถานการณ์ด้วย ท่านนัวะมานจึงสั่งให้ทุกคนหยุดพักการเดินทาง ให้ตั้งอยู่ในฐานและที่มั่นและจุดคบเพลิงให้สว่างไสว เพื่อศัตรูจะได้มองเห็นกองทหารนี้ ขณะเดียวกันก็ให้แกล้งทำคล้ายกับว่า กลัวศัตรูเหลือเกิน และความพ่ายแพ้กำลังรออยู่ข้างหน้าแล้ว ทั้งนี้เพื่อหลอกให้ศัตรูรุกไล่ออกติดตามมาพิชิตโดยเร็ว

          ซึ่งแน่นอนว่า การที่พวกเขาจะออกมาได้นั้น จะต้องเก็บ “เรือใบ”(หนามเหล็ก) ที่วางเรียงอยู่ตามเส้นทางนั้นให้หมดเสียก่อน!

          ในที่สุดฝ่ายเปอร์เซียก็หลงกล เพราะเมื่อเห็นฝ่ายมุสลิมส่อแสดงว่าจะต้องพ่ายแพ้ พวกเขาจึงสั่งทหารช่างเข้าเคลียร์พื้นที่ เก็บ “เรือใบ” เหล่านั้นให้หมดสิ้น เพื่อให้สะดวกในการเข้าบดขยี้ฝ่ายมุสลิม

          ทันใดนั้นฝ่ายมุสลิมจึงฉวยโอกาสขณะที่พวกเปอร์เซียกำลังเก็บ “เรือใบ” ออกหมดแล้ว ด้วยการย้อนรอยเข้ายึดเส้นทางตามไหล่เขาไว้ได้

          ในที่สุดท่านนัวะมานจึงจัดกองกำลังเข้ารายล้อมกำแพงเมือง “นะฮาวันดฺ” และตัดสินใจจะจู่โจมฝ่ายศัตรูอย่างฉับพลัน ท่านสั่งบรรดาทหารว่า :

          ฉันจะกล่าวตักบีรสามครั้ง ครั้งแรกให้ทุกคนเตรียมพร้อม ครั้งที่สองให้ทุกคนถืออาวุธ ครั้งที่สามฉันจะจู่โจมเข้าหาศัตรู และให้พวกท่านปฏิบัติการโดยพร้อมเพรียงกัน

          ท่านนัวะมาน กล่าวตักบีรเสร็จสามครั้ง แล้วท่านก็ปราดเข้าหาศัตรู คล้ายกับราชสีห์ที่กำลังกระโจนเข้าหาเหยื่อ ส่วนทางด้านหลังท่านนั้น ทหารมุสลิมก็ทะลักออกมาเป็นแถวคล้ายสายน้ำหลาก ทั้งสองต่างสู้รบกันอย่างห้าวหาญ อย่างชนิดที่ไม่มีการรบครั้งใดจะทัดเทียมได้ ทหารฝ่ายเปอร์เซีย แตกกระเจิงล้มตายระเนระนาดทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นดินหรือบนภูเขา ก็เห็นรอยเลือดไหลนองตลอดซอกซอยและตามไหล่เขา

          ในการรบครั้งนี้ ท่านนัวะมานถูกศัตรูเล่นงานจนร่างหมุนคว้างลงกองกับพื้นและสิ้นชีวิต แต่มีน้องชายของเขาคนหนึ่งได้รีบมาคว้าธงและถือไว้ และใช้ผ้าห่มที่มีอยู่ ปิดคลุมเรือนร่างของนัวะมานผู้เป็นพี่ชายไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้บรรดาทหารทราบว่า แม่ทัพของตนได้สิ้นชีวิตแล้ว

          การรบยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด จนกระทั่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ตกเป็นของมุสลิม พวกเขาเรียกชัยชนะในครั้งนี้ว่า “ชัยชนะเหนือชัยชนะ” หลังจากนั้นเหล่าทหารก็ถามหาแม่ทัพผู้เก่งกล้าสามารถของพวกเขาว่า :

          ท่านนัวะมาน อิบนิ มุก็อรรินอยู่ที่ไหน?

น้องชายของเขาจึงเปิดผ้าคลุมศพออก และกล่าวว่า :

          แม่ทัพของพวกท่านอยู่ที่นี่ บัดนี้อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดให้เขานอนตายตาหลับเพราะชัยชนะครั้งนี้ และพระองค์ได้ทรงให้เขาจบชีวิตลงในสนามรบแล้ว

 

          ขอพระองค์ทรงโปรดปราน ท่านนัวะมาน อิบนิ มุก็อรริน และบรรดาเหล่ามหารหาญที่พลีชีพเพื่อศาสนาของพระองค์ด้วยเถิด

 

วัสสลาม 

 

เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์