อิสลามคัดค้านการแบ่งแยกเชื้อชาติ และชนชั้นวรรณะ
  จำนวนคนเข้าชม  9733

 

อิสลามคัดค้านการแบ่งแยกเชื้อชาติ และชนชั้นวรรณะ

 
โดย : อาจารย์ กอเซ็ม เดชเลย์

มีรายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุกล่าวว่า :

ท่านรอซูล ได้ถามถึงหญิงผิวดำคนหนึ่ง ซึ่งเคยทำความสะอาดมัสยิดว่า : นางหายไปไหน?
บรรดาซอฮาบะห์กล่าวว่า : นางเสียชีวิตแล้ว
ท่านรอซูล กล่าวว่า : เหตุใดพวกท่านจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ฉันทราบ
ประหนึ่งว่าพวกเขาเห็นว่าเรื่องของนางเป็นเรื่องเล็กๆ
ท่านรอซูล กล่าวว่า : พวกท่านจงพาฉันไปที่กุบูรของนาง
แล้วพวกเขาก็พากท่านรอซูลไป ท่านรอซูล ได้ละหมาดให้นาง
หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า : แท้จริง กุบู๊รนี้เต็มไปด้วยความมืดมิด และอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทำให้ทำให้กุบุรเหล่านี้สว่างสไวด้วยการละหมาดของฉันแก่พวกเขา
(บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

คำอธิบาย

          การเป็นพี่น้องที่มีหลักศรัทธาร่วมกัน และได้รับการอบรมอันดีงาม จะก่อให้เกิดความช่วยเหลือเกื้อกูล การคบค้าสมาคมด้วยความเมตตา การให้เกียรติในหมู่มุสลิมซึ่งกันและกัน และการยกย่องคุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นชายหรือหญิง ผิวขาวหรือผิวดำ ร่ำรวยหรือจน เว้นแต่ด้วยความยำเกรงและการงานที่ดีเท่านั้น ดังที่อัลกุรอานระบุไว้ว่า :

          โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ.นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน  (อัลหุญุรอต 49 :13)

          และเช่นเดียวกัน อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงโปรดปรานและผู้ทรงเอ็นดูได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่ปวงบ่าวของพระองค์ผู้ศรัทธา โดยให้เขาเหล่านั้นเป็นพี่น้องร่วมศาสนาเดียวกัน มีศรัทธาที่บริสุทธิ์ และได้ทำให้เขาเหล่านั้นหลุดพ้นจากความเกลียดชังและข่มเหงกัน

พระองค์ตรัสว่า :

          และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์ และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระอง๕เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง  (อาละอิมรอน 3 : 103)

          ฮะดีษบทนี้ยังได้นำเสนอรูปแบบที่งดงาม ที่คู่ควรแก่การนำมาปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่าง ชี้ให้เห็นถึงการให้เกียรติ การยกย่องของท่านรอซูล ต่อหญิงผิวดำที่ยากจน ซึ่งเคยทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดมัสยิด ท่านรอซูล ได้เห็นถึงคุณค่าของนาง และคุณค่าของหน้าที่การงานของนาง ท่านจึงได้ตอบแทนนางอย่างเต็มที่ ด้วยการชมเชยการขอดุอาอฺให้แก่นาง การไปเยี่ยมกุบู๊รนาง และทำให้กุบู๊รของนางสว่างไสวด้วยการละหมาดให้แก่นาง

          ท่านรอซูล ได้มอบบทเรียน และแบบอย่างการปฏิบัติอันล้ำค่าแก่บรรดาผู้นำ ผู้บังคับบัญชา และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหลาย ตลอดจนบรรดามุสลิมทั้งชายและหญิง ในการให้เกียรติคนอ่อนแอ และคนยากจนให้เห็นถึงคุณค่าของพวกเขา และคุณค่าของการงานที่พวกเขาทุ่มเท และให้การตอบแทนพวกเขาตามสิทธิที่พวกเขาพึงได้รับอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ทั้งยังต้องให้เกียรติพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม โดยไม่จำกัดการให้เกียรติยกย่องแก่คนในสังคมชั้นสูงเท่านั้น หรือเพื่อผลประโยชน์ในดุนยานี้ โดยปล่อยปละละเลยชนชั้นอื่นๆในสังคม

          บรรดามุสลิม และมุสลิมะห์ทั้งหลาย พึงจดจำสถานภาพ และตำแหน่งอันมีเกียรติที่อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงมอบให้กับผู้ที่อ่อนแอโดยเฉพาะในวันกิยามะห์กันเถิด มีรายงานจากท่านฮาริษะห์ อิบนุ วะฮฺบิ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูล กล่าวว่า :

          ฉันจะบอกให้พวกท่านทราบถึงชาวสวรรค์ พวกท่านอยากทราบไหม? คือทุกๆคนที่อ่อนแอที่แสดงออกถึงความอ่อนแอ หากว่าเขาสาบานต่ออัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก็จะรับคำสาบานของเขา ฉันจะบอกให้พวกท่านทราบถึงชาวนรก พวกท่านอยากทราบไหม? คือทุกๆคนที่หยาบคาย ยโส และโอหัง
          (บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

           เช่นเดียวกัน ท่านรอซูล ได้เรียกร้องให้เราทำความดีแก่คนอ่อนแอ เพราะผลตอบแทนอันดีงามที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้อ่อนแอก็คือ อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะช่วยเหลือเราให้มีชัยชนะเหนือศัตรู และจะเพิ่มพูนริสกีย์ให้แก่เรา ดังมีรายงานจากท่านอบิ๊ดดัรดาอฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูล กล่าวว่า :

          ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ดูแลและช่วยเหลือบรรดาผู้อ่อนแอ แท้จริงท่านทั้งหลายจะได้รับการช่วยเหลือและได้รับริสกีย์ เนื่องมาจาก(การช่วยเหลือ) ผู้อ่อนแอทั้งหลายในหมู่พวกท่าน
          (บันทึกโดยอิมามอบูดาวู๊ด)

          ฮะดีษบทนี้ยังได้ชี้นำมุสลิมทั้งหลายไม่ว่าชายหรือหญิง ให้เอาใจใส่ดูแลบ้านของอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้ความสำคัญกับการทำความสะอาด และขจัดสิ่งสกปรกออกจากบ้านของอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา รวมถึงป้องกันมิให้สิ่งสกปรกต่างๆมาเปรอะเปื้อน เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และจำเริญนี้ ดังที่ท่านรอซูล ได้เตือนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า : มีรายงานจากท่านอนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า :

           แท้จริง มัสยิดแห่งนี้ไม่คู่ควรเลยที่จะเปรอะเปื้อนด้วยปัสสาวะ หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ แต่ทว่ามัสยิดแห่งนี้มีเพื่อใช้ในการรำลึกถึงอัลเลาะห์ เพื่อการละหมาดและอ่านอัลกุรอาน
          (บันทึกโดยอิมามมุสลิม)

ท่านอนัส อิบนุ มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า : ท่านรอซูล กล่าวว่า :


          การถ่มน้ำลายในมัสยิดเป็นความผิด และสิ่งที่จะไถ่ถอนความผิดนี้คือ การกลบฝังมันเสีย  
          (บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

           และท่านรอซูล ยังได้ปฏิบัติแบบอย่างอันดีงามแก่บรรดามุอฺมินทั้งหลายในการใส่ใจดูแลและขจัดสิ่งสกปรกออกจากมัสยิดด้วยมือของท่าน เพื่อหวังในความพอพระทัยของอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ดังรายงานจากท่านหญิงอาอิชะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า :

           แท้จริงท่านรอซูล ได้เห็นน้ำมูกหรือน้ำลาย หรือเสมหะ ติดอยู่ที่กำแพงด้านกิบละห์ และท่านก็ขูดมันออกไป 
          (บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

          และท่านรอซูล ยังได้เรียกร้องให้เมตตาผู้ที่มักง่าย และไม่ให้ความใส่ใจต่อความสะอาดของมัสยิด เพื่อเป็นการปิดกั้นการทะเลาะเบาะแว้ง และความรุนแรงที่จะตามมา มีรายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะห์รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า :

          มีอาหรับชนบทคนหนึ่ง ปัสสาวะในมัสยิด ผู้คนก็เลยลุกขึ้นไปเพื่อที่จะทำร้ายเขา ท่านนบี(ซ.ล.) จึงกล่าวว่า : ปล่อยเขาเถิด และเอาน้ำมาถังหนึ่งราดไปที่ปัสสาวะนั้น แท้จริงพวกท่านถูกส่งมาเป็นผู้ให้ความสะดวกง่ายดาย มิใช่ถูกส่งมาเป็นผู้ให้ความยากลำบาก 
         (บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

          พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย พึงระวังการแบ่งแยกเชื้อชาติ และชนชั้น อันเป็นสาเหตุมาจากสีผิว หรือหน้าที่การงานโดยแสดงความดูถูก ดูหมิ่นบรรดาคนงานที่อยู่ใต้บังคับบัญชา และคนรับใช้ ด้วยการทำร้าย ด่าทอ และทำโทษ เพียงเพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ หรือความบกพร่องที่มิได้เจตนาให้เกิดขึ้น

          ท่านรอซูล ได้กำชับมิให้ทำร้ายคนรับใช้ไม่ว่าชายหรือหญิง ดังฮะดีษที่รายงานโดยท่านซุวัยดฺ อิบนุ มุก็อรริน กล่าวว่า :

          ฉันเป็นคนหนึ่งในเจ็ดพี่น้องตระกูลมุก็อรริน เรามีคนรับใช้หญิงอยู่คนหนึ่ง น้องชายคนเล็กของเราได้เคยตบหน้านาง ท่านรอซูล จึงสั่งให้เราปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ
          (บันทึกโดยอิมามมุสลิม)

          และท่านรอซูล ได้เรียกร้องบรรดามุอฺมินทั้งหลายให้ทำดีต่อคนรับใช้ และลูกจ้าง และให้เกียรติพวกเขา

          ในฮะดีษที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา แจ้งว่า :

          ท่านรอซูล ไม่เคยตีคนรับใช้ หรือสุภาพสตรีเลย และท่านไม่เคยตีสิ่งใดด้วยมือของท่าน
          (บันทึกโดยอิบนุมาญะห์)

สาระที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. อิสลามต่อต้าน และคัดค้านการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์
2. ความประเสริฐของคนขึ้นอยู่กับการยำเกรง และคุณความดีที่เขาปฏิบัติ
3. ส่งเสริมให้ดูแลเอาใจใส่ความสะอาดของมัสยิด
4. ส่งเสริมให้เมตตาและให้เกียรติลูกจ้าง คนงาน และคนรับใช้

 

 

เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์