อะดีย์ อิบนุ ฮาติม อัฎฎออีย์
  จำนวนคนเข้าชม  8146

 

ท่านอะดีย์ อิบนุ ฮาติม อัฎฎออีย์


          ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 9 เป็นปีที่เจ้าเมืองอาหรับคนหนึ่ง ต้องสยบต่ออิสลาม หลังจากที่เคยแข็งข้อมานาน และในปีเดียวกันนี้เองต้องยอมนอบน้อมศรัทธา หลังจากที่เคยผินเมินและต่อต้านมาแล้วทุกวิถีทาง และในที่สุดท่านก็แสดงความจงรักภักดีต่อท่านรอซูล หลังจากที่เคยดื้อดึงมาโดยตลอด เจ้าเมืองผู้นี้คือ ท่านอะดีย์ อิบนิ ฮาติม อัฎฎออีย์

          บิดาของท่านเป็นคนใจบุญ จนใครๆมักจะกล่าวขวัญถึงท่านอยู่เสมอๆ ท่านอะดีย์นั้นได้สืบทอดการปกครองแทนผู้เป็นบิดา ทำการปกครองดูแลเฝ้าเผ่าฏ็อยอฺ และในการนี้ ท่านจึงมีรายได้จากการเก็บภาษีจากราษฎรเป็นจำนวนหนึ่งในสี่ของรายได้ทั้งหมด  พร้อมกันนั้นก็ตั้งตนเป็นผู้นำอีกด้วย

          เมื่อท่านรอซูล ประกาศเชิญชวนไปสู่สัจธรรมโดยเปิดเผย ปรากฏว่าชาวเมืองอาหรับต่างยอมรับนับถือศาสนาอิสลามอย่างไม่ขาดสาย และอะดีย์เห็นว่าการประกาศเชิญชวนไปสู่ศาสนาที่ถูกต้องนั้น เป็นการสั่นคลอนต่อบัลลังก์อำนาจของตน ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านรอซูล ทั้งๆที่ยังไม่เคยรู้จักตัวท่านรอซูล และเขาโกรธแค้นท่านรอซูลทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน

          เกือบยี่สิบปีแห่งการตั้งตนเป็นศัตรูกับอิสลาม จนกระทั่งอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเปิดใจให้ท่านได้รับฟังแนวทางอันเที่ยงธรรมและรับฟังสิ่งที่เป็นสัจธรรม อันหมายถึงศาสนาอิสลามนั่นเอง

          การเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามของท่านอะดี้ย์ อิบนิ ฮาติม นั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะลืมได้ และเราจะเปิดโอกาสให้ท่านเล่าเหตุการณ์ต่างด้วยตนเอง เพราะว่าท่านจะรายงานให้เราทราบตามความเป็นจริง โดยท่านอะดี้ย์ได้เล่าว่า :

           ขณะที่ฉันได้ยินเรื่องราวของท่านรอซูล ปรากฏว่าในขณะนั้นฉันเกลียดท่านมากที่สุด เพราะฉันเป็นชนชั้นผู้ปกครอง และเป็นคริสเตียน ฉันมีรายได้จากการเก็บภาษีราษฎรจำนวนหนึ่งในสี่ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองอาหรับทุกองค์จะได้รับ ดังนั้นเมื่อฉันได้ยินข่าวว่า บัดนี้ท่านรอซูลของอัลเลาะห์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ฉันจึงรู้สึกเกลียดทันที และเมื่อการการเผยแพร่อิสลามได้แผ่กระจายออกไปจนกระทั่งมีผู้นับถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้สถานะของท่านรอซูลแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และท่านได้ส่งกองทหารไปทั่วทุกสารทิศในคาบสมุทรอาหรับ เมื่อฉันเห็นดังนั้นจึงสั่งคนเลี้ยงอูฐว่า :

          เจ้าจงคัดเลือกอูฐที่สมบูรณ์เอาไว้ เฟ้นหาตัวที่เชื่องๆหน่อย นำมันมาผูกไว้ใกล้ๆข้านี้แหละ และถ้าเจ้าได้ยินว่ามีกองทหารของมุฮัมหมัดบุกเข้ามาถึงเมืองนี้เมื่อใด ก็จงแจ้งให้ข้าทราบโดยด่วนด้วย

รุ่งเช้าคนรับใช้ก็เข้ามาบอกว่า :

          นายครับจะจัดการกับทหารของมุฮัมหมัดอย่างไรก็เชิญลงมือได้แล้ว เพราะบัดนี้พวกเขาได้เข้ามาถึงเมืองนี้แล้ว

อะดีย์ได้ฟังดังนั้นจึงตวาดชายผู้นั้นว่า :

          มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?

ชายผู้นั้นจึงกล่าวต่อไปว่า :

           ข้าพเจ้าเห็นธงหลายผืนโบกสะบัดอยู่เหนือเขตแดนบ้านเมืองเรา ฉันจึงถามชาวบ้านว่า นั่นเป็นธงของใคร? ก็ได้รับคำตอบว่า มันคือธงของกองทหารของมุฮัมหมัด

ดังนั้นอะดีย์จึงสั่งการทันทีว่า :

          เจ้าจงนำอูฐตัวที่ข้าสั่งจัดเตรียมไว้นั้นมาไว้ใกล้ๆข้าเดี๋ยวนี้

          เมื่ออูฐมาถึง ฉันจึงรีบเผ่นขึ้นหลังอูฐนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสั่งให้ภรรยาและลูกสละผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่ง ออกเดินทางมุ่งไปเมืองชามทันทีเพื่อที่จะไปอยู่กับชาวคริสต์ด้วยกัน และจะไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่นเสียเลย

          ฉันรีบด่วนมากเกินไปจนขณะที่ออกเดินทางนั้น ไม่ทันได้ดูว่าบุคคลในครอบครัวหนีออกมาหมดหรือยัง ในที่สุดฉันก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะยังเหลือน้องสาวของฉันคนหนึ่งไม่ทันได้ร่วมหนีออกมาด้วย ฉันทอดทิ้งเขาไว้ที่นัจดฺ พร้อมกับราษฎรชาวฏ็อยอฺคนอื่นๆ และไม่มีทางเลยที่จะกลับไปนำตัวเธอหนีออกมา ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังเมืองชามร่วมกับผู้ที่หนีรอดออดกมาได้เท่านั้น จนในที่สุดก็ถึงเมืองชาม ฉันจึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับลูกเมียอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ท่ามกลางลูกหลานที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนน้องสาวของฉันนั้นประสบกับเคราะห์กรรมดังที่ฉันคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว

          ท่านอะดีย์ได้เล่าต่อไปว่า :

          ขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองชามนั้น ได้มีผู้ส่งข่าวมาทราบว่ากองทหารของมุฮัมหมัดได้บุกจู่โจมหมู่บ้านของชาวฏ็อยอฺ และได้จับน้องสาวของฉันเป็นเชลยร่วมไปกับเชลยคนอื่นๆด้วย และได้นำตัวไปยังเมืองยัษริบแล้ว

          ณ เมืองยัษริบ เธอถูกกักกันไว้ ณ บริเวณประตูมัสยิดเหมือนเชลยคนอื่นๆ จนกระทั่งนบีมุฮัมหมัด เดินผ่านเธอมา เธอจึงลึกขึ้นเดินไปหาพร้อมกล่าวว่า :

          โอ้ท่านรอซูลของอัลเลาะห์ พ่อฉันตาย พวกพรรคก็หนีไปแล้ว ได้โปรดปล่อยตัวฉันเถิด อัลเลาะห์จะทรงตอบแทนท่าน

ท่านรอซูลจึงถามว่า :

          พวกของเธอคือใคร?

เธอตอบว่า :

          อะดีย์ อิบนิ ฮาติม

ท่านรอซูลกล่าวว่า :

          หนีอัลเลาะห์ หนีรอซูลของพระองค์กระนั้นหรือ

          แล้วท่านรอซูลก็เดินผ่านไป ปล่อยเธอไว้ที่นั่นตามเดิม

          รุ่งเช้า ท่านรอซูลก็เดินมาอีก เธอก็กล่าวกับท่านรอซูลเช่นเดิม ท่านก็ตอบเหมือนครั้งก่อน และรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ท่านรอซูลก็เดินผ่านมาอีก คราวนี้เธอไม่พูดอะไร เพราะเธอหมดหวังแล้วว่าท่านรอซูลจะไม่ปล่อยเธอ แต่มีชายผู้หนึ่งที่เดินตามหลังท่านรอซูลมาด้วยนั้น ทำท่าทางคล้ายจะบอกให้เธอลุกขึ้นพูดกับท่านรอซูลอีกครั้ง เธอเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นกล่าวอีกว่า :

          โอ้ท่านรอซูล พ่อฉันตาย พรรคพวกก็หนีไปแล้ว ได้โปรดปล่อยตัวฉันเถิด อัลเลาะห์จะทรงตอบแทนท่าน

ท่านรอซูลกล่าวว่า :

          ฉันทำตามที่เธอบอกแล้ว

เธอกล่าวว่า :

         โอ้ท่านรอซูล ฉันจะติดตามญาติพี่น้องของฉันไปอยู่ ณ เมืองชาม

ท่านรอซูลกล่าวว่า :

         เธอไม่ต้องรีบร้อน ขอให้รอจนกว่าจะพบพรรคพวกที่ไว้ใจได้สักคนหนึ่งเพื่อนำเธอไปส่งที่เมืองชามจะดีกว่า และถ้าพบเมื่อไหร่ ก็จงบอกให้ฉันรู้

          เมื่อท่านรอซูลกลับไปแล้ว เธอได้ถามว่าผู้ที่บอกใบ้ให้ฉันลุกขึ้นถามท่านรอซูลนั้นคือใคร? มีผู้หนึ่งบอกว่า ผู้นั้นคือ ท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ

           เธอเฝ้ารอคอยอยู่จนกระทั่งมีกองคาราวานผ่านมา และในจำนวนนั้นมีผู้หนึ่งเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เธอจึงไปบอกท่านรอซูลว่า :

          โอ้ท่านรอซูลของอัลเลาะห์ บัดนี้มีพวกของฉันกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และสามารถจะนำฉันไปส่งถึงเมืองชามได้มาถึงแล้ว ดังนั้นฉันขอร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วยเลย

           เมื่อท่านรอซูลทราบเช่นนั้นก็อนุญาตให้เดินทางไปได้ พร้อมกันนั้นท่านรอซูล ยังได้มอบอูฐให้เป็นพาหนะอีกตัวหนึ่ง และยิ่งกว่านั้นท่านได้ให้ค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งซึ่งพอเพียงสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในระหว่างทางจนกว่าจะพบครอบครัวที่เมืองชาม ในที่สุดเธอก็เดินทางไปเมืองชามกับกองคาราวานนั้นด้วย

          ท่านอะดีย์ ได้เล่าต่อไปว่า :

          พวกเราเริ่มติดตามข่าวของเธอทุกขณะ คอยต้อนรับการมาถึงเมืองชามของเธอ เราเกือบไม่เชื่อข่าวที่ว่า มุฮัมหมัดได้ปฏิบัติต่อเธอด้วยดีทุกประการ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ฉันขอสาบานว่า ขณะที่ฉันสนทนากับครอบครัวนั้น ได้เห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ในประทุนบนหลังอูฐ กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเรา ฉันกล่าวขึ้นด้วยน้ำตา เสียงละล่ำละลักว่า :

          ลูกสาวของฮาติม... ใช่แล้ว นั่นเธอจริงๆด้วย

          ในทันที่เธอพบหน้าฉัน เธอต่อว่าฉันทันที เธอกล่าวว่า :

          พี่เป็นผู้ตัดญาติ พี่เป็นผู้อธรรม ห่วงใยแต่เฉพาะลูกเมียของตน หอบหิ้วหนีรอดกันมา แต่กลับทอดทิ้งพ่อและน้องไว้ให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมแต่เพียงลำพัง

           อะดีย์ปล่อยให้น้องสาวพูดจนจบ แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า :

          น้องรัก อย่ามองพี่ในแง่ไม่ดีซิ ความจริงนั้นพี่เป็นห่วงเป็นใยมาก แต่พวกเราต้องรีบเผ่นหนีออกมาอย่างฉุกละหุก จนกระทั่งไม่มีเวลาตรวจตราความเรียบร้อยได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาขณะนั้น จนกระทั่งกว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว

          ในที่สุดอะดีย์ก็สามารถปรับความเข้าใจได้ ต่อมาเธอก็เล่าเหตุการณ์ของเธอขณะที่ตกเป็นเชลยของท่านนบีมุฮัมหมัด จนกระทั่งสิ่งที่เธอเล่าให้อะดีย์ฟังนั้นสามารถหยุดการพยศแข็งข้อของเขาลงได้โดยสิ้นเชิง และแล้วอะดีย์ได้ถามเธอว่า :

          เท่าที่เธอได้พบเห็นมุฮัมหมัดมาแล้ว เธอมีความเห็นว่าฉันควรจะมีท่าทีอย่างไรจึงจะเหมาะ?

เธอตอบว่า :

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันเห็นว่าควรที่จะรีบติดต่อท่านโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหากว่าท่านเป็นนบี ผู้ใดไปหาท่านก่อน ก็เป็นผู้มีเกียรติ แม้พี่จะเป็นเจ้าเมือง ท่านก็มิได้ดูถูกเหยียดหยาม หรือสั่นคลอนอำนาจของผู้ใด พี่ก็ยังเป็นอะดีย์คนเดิมนั่นแหละ

          ท่านอะดีย์ได้เล่าต่อไปว่า :

          ฉันจึงเตรียมตัวและออกเดินทางจากเมืองชาม มุ่งหน้ามาหาท่านรอซูลที่มะดีนะห์ โดยไม่มีกองทหารคุ้มกันหรือส่งสาสน์แจ้งล่วงหน้าแต่ประการใด แต่ฉันเคยทราบว่าท่านรอซูลเคยกล่าวไว้ว่า :

          ฉันหวังว่าอัลเลาะห์จะทรงให้อะดีย์เข้ามาเป็นพวกฉัน

          ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงมะดีนะห์ ขณะนั้นท่านนบีอยู่ในมัสยิด ฉันจึงเข้าไปหาแล้วกล่าวสลาม

ท่านรอซูลจึงถามว่า :

          ท่านคือใคร ?

ฉันตอบว่า :

          ฉันคือ อะดี้ย์ อิบนิ ฮาติม

          เมื่อท่านทราบแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นมาหาแล้วขว้าข้อมือ พาฉันเดินไปที่บ้านของท่าน ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ในระหว่างที่ท่านรอซูลเดินทางไปกับฉันนั้น มีหญิงท่าทางอ่อนแอมากคนหนึ่งพร้อมกับเด็กน้อย นางเรียกท่านรอซูลให้หยุดและสนทนากับท่านเกี่ยวกับธุระจำเป็นบางประการ ท่านรอซูลจึงหยุดสนทนากับหญิงผู้นั้นด้วยจนกระทั่งเสร็จธุระ ฉันก็ยืนคอยอยู่ตรงนั้น ฉันจึงกล่าวขึ้นในใจว่า :

          ขอสาบานว่า ผู้นี้ไม่ใช่เจ้าเมืองแน่ๆ

         ต่อมาท่านหันมาหาฉัน และพาฉันเดินต่อไปจนถึงบ้านของท่าน ท่านหยิบเบาะรองนั่งซึ่งทำจากหนังสัตว์ ยื่นให้ฉันแล้วกล่าวว่า :

          จงนั่งบนนี้เถิด

         ฉันรู้สึกอายท่านรอซูลมาก ฉันกล่าวว่า :

         เชิญท่านนั่งเถิดครับ

         แต่ท่านนบีก็ยังยืนยันว่า :

         ไม่ได้ ... ท่านนั่นแหละจงนั่งบนนี้

         ฉันจำเป็นต้องปฏิบัติตาม นั่งลงบนเบาะนั้น ส่วนท่านนบี นั่งกับพื้น เพราะในบ้านไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากเบาะรองนั่งอันเดียวเท่านั้น ฉันจึงพูดขึ้นในใจว่า :

          นั่งกับพื้นอย่างนี้ต้องไม่ใช่เจ้าเมืองแน่ๆ

ต่อมาท่านรอซูลก็กล่าวกับฉันว่า :

          โอ้อะดี้ย์ อิบนิ ฮาติม ท่านมิได้เปลี่ยนศาสนาอยู่เรื่อยๆระหว่าง คริสต์ กับ ซอบิอะห์(กราบไหวดวงดาว) ดอกหรือ?

ฉันตอบว่า :

         ครับท่าน ฉันเปลี่ยนศาสนาอยู่เรื่อยๆ

ท่านรอซูลกล่าวว่า :

          ท่านไม่ได้เดินเก็บทรัพย์สินหนึ่งในสี่ของรายได้ราษฎร และยึดเอาสิ่งที่ศาสนาของท่านห้ามดอกหรือ?

ฉันกล่าวว่า :

          ครับท่าน ฉันเคยทำเช่นนั้น และรู้ด้วยว่ามีนบีและรอซูลของอัลเลาะห์ปรากฏขึ้นแล้ว

ท่านนบีกล่าวอีกว่า :

          โอ้อะดี้ย์ เหมือนกับว่าสิ่งที่ยับยั้งท่านไม่ให้รับอิสลามนั้น เนื่องจากท่านเห็นว่ามุสลิมยากจน ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ : เกือบถึงเวลาแล้ว เวลานั้นมุสลิมจะมีทรัพย์สมบัติ จนกระทั่งไม่พบใครที่ต้องการมัน
          โอ้อะดี้ย์ เหมือนกับว่าสิ่งที่ยับยั้งท่านไม่ให้รับอิสลามนั้น เพราะท่านเห็นว่า มุสลิมมีจำนวนน้อย แต่ศัตรูของมุสลิมนั้นมีจำนวนมากกว่า ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า : เกือบถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้เห็นว่าสตรีจะขี่อูฐจากเมืองกอดิซียะห์มาเยี่ยมบ้านหลังนี้(บัยตุลลอฮ์) โดยไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น
          และเหมือนกับว่า สิ่งที่ยับยั้งท่านไม่ให้รับอิสลามนั้น เพราะท่านเห็นว่าอำนาจการปกครองนั้นตกอยู่ในมือผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า : เกือบถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้ยินว่าพระราชวังสีขาวที่อยู่ ณ เมืองบาบิลนั้น จะถูกมุสลิมพิชิตโดยสิ้นเชิง และคลังทรัพย์สมบัติของ กิสรอ บิน ฮุรมุซ จะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมุสลิม

อะดีย์กล่าวว่า ฉันจึงอุทานด้วยความแปลกใจว่า :

          คลังสมบัติของกิสรอ บิน ฮุรมุซ !

ท่านรอซูลก็กล่าวย้ำอีกว่า :

          ใช่แล้ว คลังสมบัติของ กิสรอ บิน ฮุรมุซ

           ท่านอะดีย์ได้เล่าต่อไปว่า  ดังนั้นฉันจึงปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม

          ท่านอะดีย์ อิบนิ ฮาติม รอฎิยัลลอฮุอันฮุ มีอายุยืนยาวมาก และท่านได้ยืนยันไว้ว่า สิ่งที่ท่านรอซูลทำนายไว้นั้นเกิดเป็นจริงสองประการแล้ว เหลือเพียงประการเดียวที่ยังไม่ปรากฏ แต่ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ

          ฉันเห็นหญิงคนหนึ่งขี่อูฐเดินทางออกจากเมืองกอดิซียะห์มาสู่บ้านนั้น(บัยตุ้ลลอฮฺ) ด้วยความปลอดภัย โดยนางไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และฉันเองเป็นคนควบคุมม้าบุกเข้าพิชิตคลังสมบัติของกิสรอ และยึดมาทั้งหมด

          ฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ เรื่องที่สามนั้นต้องมาถึงแน่นอน และในสุดเรื่องที่สามก็ปรากฏขึ้นในสมัยของคอลีฟะห์ผู้ทรงธรรม อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ  เป็นพระประสงค์ของอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่จะย้ำคำพูดของท่านนบีของพระองค์ให้ปรากฏเป็นจริง เพราะขณะนั้นมุสลิมมีทรัพย์สินเหลือเฟือ จนกระทั่งผู้มีทรัพย์ออกเรียกหาผู้ยากจนให้มารับซะกาต แต่ไม่พบว่าใครจะรับซะกาตแม้แต่คนเดียว

          คำกล่าวของท่านรอซูล เป็นจริง และคำสาบานของท่านอะดีย์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

          ของอัลเลาะห์ทรงพอพระทัยท่านอะดีย์ อิบนิ ฮาติม ด้วยเถิด

 

เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์