สิ่งบ่งชี้สำหรับการเป็นมิตรกับบรรดาศัตรูผู้ปฏิเสธศรัทธามีดังต่อไปนี้
การแสดงตนอย่างเปิดเผย รักใคร่ สนิทสนมกับบรรดาผู้ปฏิเสธ(กุฟฟาร)
1 การเลียนแบบผู้ปฏิเสธด้วยเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและคำพูด ฯลฯ
การทำเลียนแบบดังกล่าว บ่งชี้ให้เห็นถึงความรัก ชอบในผู้ที่ถูกเลียนแบบ ด้วยเหตุนี้ท่านนะบี จึงกล่าวว่า
قال النبي (( مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ ))
ใครที่เลียนแบบชนกลุ่มใด ดังนั้น เขาก็เป็นเช่นชนกลุ่มนั้น (บันทึกโดย อบูดาวูด)
ฉะนั้น จึงห้ามการเลียนแบบพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา) ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขา โดยเฉพาะการเคารพสักการะ(อิบาดะฮ์) การมีบุคลิกลักษณะและมีจรรยามารยาทแบบพวกเขา เช่นการโกนเครา และไว้หนวด และการพูดภาษาต่างประเทศ ฯลฯ เว้นแต่ด้วยความจำเป็นเท่านั้น ตลอดจนการสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือแม้กระทั่งการกินและการดื่ม ตามแบบพวกเขาเหล่านั้น เป็นต้น
2 การตั้งหลักแหล่งอยู่ในดินแดนของผู้ปฏิเสธ(กาฟิร)ไม่ยอมโยกย้ายออกมายังดินแดนของมุสลิมอันเนื่องจากมีการกดขี่ข่มเหงทางศาสนา การอพยพนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้จึงเป็นจุดมุ่งหมายที่จำเป็นสำหรับมุสลิม การที่ยังพำนักอยู่ในประเทศผู้ปฏิเสธด้วยเหตุอันไม่จำเป็น ย่อมบ่งชี้ให้เห็นถึงการเป็นมิตรสหายกับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา อัลลอฮ์ ทรงห้ามมิให้มุสลิมอาศัยอยู่ในดินแดนของกาฟิร หากเขามีความสามารถที่จะอพยพไปยังที่อื่นได้ ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
قال الله تعالى إِنَّ الَّذِيْنَ تَوَفَّاهُمُ الْمَلاَئِكَةُ ظَالِمِيْ أَنْفُسِهِمْ قَالُوْا فِيْمَ كنُنْتُمْ قَالُوا كُنَّا مُسْتَضْعَفِيْنَ فِي الأَرْضِ قَالُوْا أَلَمْ تَكُنْ أَرْضُ اللهِ وَاسِعَةً فَتُهَاجِرُوْا فِيْهَا فَأُولَئِكَ مَأْوَاهُمْ جَهَنَّمُ وَسَاءَتْ مَصِيْرًا إِلاَّ الْمُسْتَضْعَفِيْنَ مِنَ الرِّجَالِ وَالنِّسَآءِ وَالْوِلْدَانِ لاَ يَسْتَطِيْعُوْنَ حِيْلَةً وَلاَ يَهْتَدُوْنَ سَبِيْلاً فَأُولَئِكَ عَسَى اللهُ أَنْ يَعْفُوَا عَنْهُمْ وَكَانَ اللهُ عَفُوًّا غَفُوْرًا { سورة النساء 97- 99
แท้จริง บรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์ได้มาเอาชีวิตของพวกเขาไปในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้ก่ออธรรมต่อตัวของพวกเขาเองนั้นบรรดามลาอิกะฮ์ ได้กล่าวว่า พวกท่านเป็นอย่างไรกันมาก่อน ? พวกเขากล่าวว่า พวกเราเป็นจำพวกที่ถูกนับว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน
บรรดามลาอิกะฮ์ กล่าวว่า แผ่นดินของอัลลอฮ์ มิได้กว้างขวางพอที่พวกท่านจะอพยพไปอยู่อาศัยดอกหรือ ?
ดังนั้น ชนเหล่านี้แหละ ที่อยู่ของพวกเขา คือนรกญะฮันนัม และเป็นที่กลับที่ชั่วร้ายจริงๆ เว้นแต่ บรรดาผู้ที่ถูกนับว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือเด็กก็ตาม (ที่ไม่สามารถจะอพยพหลบหนี พวกมุชริกมักกะฮ์เพื่อหลีกลี้หนีภัยไปยังมะดีนะฮ์ได้)
อีกทั้งพวกเขามิได้รับการชี้แนะแนวทางใด ๆ ด้วย ฉะนั้น ชนเหล่านี้แหละที่อัลลอฮ์ จะทรงยกโทษให้กับพวกเขา และอัลลอฮ์เป็นผู้ที่ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ที่ทรงยกโทษให้เสมอ (อันนิซาอ์ 4/97-99)
ดังนั้น อัลลอฮ์ จะมิทรงตำหนิผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถ ไม่สามารถที่จะอพยพไปที่ไหนได้ จึงต้องตั้งหลักแหล่งพักอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกปฏิเสธศรัทธา และในทำนองเดียวกัน พระองค์จะมิทรงตำหนิ ผู้ที่อาศัยอยู่เพื่อผลประโยชน์ในหนทางของศาสนา เช่น เพื่อเชิญชวนสู่อัลลอฮ์และเผยแพร่ศาสนาอิสลามเป็นต้น
3 การเดินทางไปยังดินแดนพวกปฏิเสธศรัทธา เพื่อจุดมุ่งหมายในการพักผ่อนท่องเที่ยวการเดินทางไปยังดินแดนของผู้ปฏิเสธศรัทธาถือว่าเป็นที่ต้องห้าม (มุฮัรรอม) เว้นเสียแต่เมื่อมีเหตุจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่นไปเพื่อรักษาสุขภาพร่างกาย เพื่อทำธุรกิจการค้า และเพื่อศึกษาหาวิชาความรู้ที่เป็นประโยชน์เป็นการเฉพาะเท่านั้น ศาสนาอนุญาตให้ไปได้ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ และเมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้วจำเป็นที่จะต้องรีบเดินทางกลับออกจากดินแดนแห่งนั้น ไปยังประเทศมุสลิมทันที
เงื่อนไขที่ไม่อนุญาตให้เดินทางไปยังดินแดนผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น เพื่อความสะอาดโปร่งใส สง่างาม เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของศาสนาอิสลาม และห่างไกลจากดินแดนที่ชั่วร้าย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันความสกปรกโสมม ตลอดจนแผนการอุบาทว์ของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและเหล่าศัตรู และในทำนองเดียวกันอนุญาตให้เดินทางไปยังประเทศเหล่านั้นได้เพื่อทำหน้าที่เชิญชวนไปสู่ อัลลอฮ์ และเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
4 การช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมพวกกาฟิร(ปฏิเสธศรัทธา)การช่วยเหลือสนับสนุนให้มีชัยชนะเหนือมุสลิมตลอดจนการเทิดทูนยกย่องชมเชยสรรเสริญสดุดีพวกปฏิเสธศรัทธา การออกมาปกป้องคุ้มกันและเข้าข้างพวกเขา ดังกล่าวนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการทำให้เกิดการบกพร่องในการเป็นอิสลาม และเป็นสาเหตุของการตกศาสนา สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม (ริดดะฮ์) ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองเราให้ห่างไกลจากสิ่งดังกล่าวด้วยเถิด
5 การขอความช่วยเหลือจากพวกกาฟิร(ปฏิเสธศรัทธา)การขอความช่วยเหลือและการให้ความไว้วางใจพวกปฏิเสธศรัทธา ตลอดจนการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรับผิดชอบแทนผู้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับความลับของมุสลิม และให้พวกปฏิเสธศรัทธารู้เรื่องภายในของมุสลิมอย่างใกล้ชิด ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
قال الله تعالى يَا أَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا لاَ تَتَّخِذُوْا بِطَانَةً مِّنْ دُوْنِكُمْ لاَ يَأْلُوْنَكُمْ خَبَالاً وَدُّوْا مَا عَنِتُّمْ قَدْ بَدَتِ الْبَغْضَآءُ مِنْ أَفْوَاهِهِمْ وَمَا تُخِفِيْ صُدُوْرُهُمْ أَكْبَرُ قَدْ بَيَّنَّا لَكُمُ الآيَاتِ إِنْ كُنْتُم تَعْقِلُوْنَ هَا أَنْتُمْ أُولاَءِ تُحِبُّوْنَهُمْ وَتُؤْمِنُوْنَ بِالْكِتَابِ كُلِّهِ وَإِذَا لَقُوْكُمْ قَالُوْا آمَنَّا وَإِذَا خَلَوْا عَضُّوْا عَلَيْكُمُ الأَنَامِلَ مِنَ الْغَيْظِ قُلْ مُوْتُوْا بِغَيْظِكُمْ إِنَّ اللهَ عَلِيْمٌ بِّذَاتِ الصُّدُوْرِ إِنْ تَمْسَسْكُمْ حَسَنَةٌ تَسُؤْهُمْ وَإِنْ تُصِبْكُمْ سَيِّئَةٌ يَفْرَحُوْا بِهَا { سورة آل عمران 118-120
โอ้ บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วทั้งหลาย อย่าได้ยึดเอาคนอื่นจากพวกเจ้าเป็นมิตรสนิทให้มารู้เรื่องราวภายในของพวกเจ้า
พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ลดละในการก่อความเสียหายให้กับพวกเจ้า พวกเขาชอบเหลือเกินในการที่พวกเจ้าต้องตกระกำลำบาก
แท้จริง ความเกลียดชังต่างๆ ได้เผยออกมาจากปากของพวกเขาแล้ว และสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวอกของพวกเขานั้น ใหญ่โตยิ่งกว่า
แท้จริงเรา(อัลลอฮ์)ได้แจกแจงบรรดาอายาตไว้แก่พวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าใช้สติปัญญาไตร่ตรอง
พึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี่แหละ รักใคร่พวกเขา ทั้ง ๆ ที่ พวกเขามิได้รักใคร่พวกเจ้าเลย ทั้งๆ ที่ พวกเจ้าศรัทธาต่อคัมภีร์ทุกฉบับ
และเมื่อพวกเขาพบปะพวกเจ้า พวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราศรัทธากันแล้ว และเมื่อพวกเขาอยู่กันเอง เพียงลำพัง พวกเขาก็กัดนิ้วมือของพวกเขาด้วยความเคียดแค้นพวกเจ้า
(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า พวกเจ้าจงตายด้วยความเคียดแค้นตัวของพวกเจ้าเองเถิด แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในบรรดาหัวอกทั้งหลาย
หากมีความดีใดๆ มาประสบกับพวกเจ้า ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเศร้าใจ และหากมีความชั่วร้ายใด ๆ มาประสบกับพวกเจ้า พวกเขาก็ต่างพากันดีใจในความชั่วร้ายนั้นที่มาประสบกับพวกเจ้า
(อาละอิมรอน 3 /118-120 )
ดังกล่าวนี้ เป็นการเปิดเผยให้รู้ถึงธาติแท้ของพวกปฏิเสธศรัทธาที่มีต่อมุสลิม ความเกลียดชัง ตลอดจนแผนการร้ายที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวอกก้นบึ้งแห่งหัวใจของพวกเขาที่มีต่อมุสลิม อันเนื่องมาจากความอิจฉาริษยา ความเคียดแค้นชิงชังของพวกเขา พวกเขาจึงเพียรพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้มุสลิมต้องประสบกับความพินาศให้จงได้ในที่สุด พวกเขาใช้เล่ห์กะเท่ห์ทุกอย่างเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากมุสลิมในทุกรูปแบบและวิธีการ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่พวกเขาได้วางเอาไว้
อิมาม อะฮฺมัดได้ บันทึกรายงานจากอบีมูซา อัลอัชอะรีย์ แจ้งว่า ท่านได้พูดกับท่านอุมัร ว่า ฉันมีเสมียนที่เป็นชาวคริสต์อยู่คนหนึ่ง ดังนั้น ท่านอุมัรจึง กล่าวว่า มีอะไรเกิดขึ้นหรือ ? ขออัลลอฮ์ทรงจัดการเจ้าด้วย เจ้าไม่ได้ยินดำรัสของอัลลอฮ์ ดอกหรือที่ว่า
قال الله تعالى يَا أَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا لاَ تَتَّخِذُوا الْيَهُوْدَ وَالنَّصَارَى أَوْلِيَآءَ بَعْضُهُمْ أَوْلِيَآءُ بَعْضٍ { سورة المائدة 51
โอ้ บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วทั้งหลาย อย่าได้ยึดเอาพวกยิว (ยะฮูด) และพวกคริสต์ (นะซอรอ) มาเป็นมิตรสนิท เพราะพวกเขาบางคนต่างก็เป็นมิตรสนิทซึ่งกันและกัน (อัลมาอิดะฮ์ 5/51)ทำไมเจ้าจึงมิได้ยึดเอาทางที่เที่ยงตรงเล่า ?
อบีมูซาจึงพูดขึ้นว่า โอ้ อะมีรูลมุอฺมินีน ที่จริง เสมียนนั้น เป็นของฉัน ส่วนศาสนานั้น เป็นของเขา
ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า ฉันจะไม่ให้เกียรติพวกเขา เพราะเนื่องจากอัลลอฮ์ มิทรงให้เกียรติแก่พวกเขา และฉันจะไม่ให้เกียรติพวกเขา เพราะเนื่องจากอัลลอฮ์ ทรงให้เขาต่ำต้อย ฉันจะไม่ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขา ภายหลังจากที่อัลลอฮ์ ทรง (สาปแช่ง) ขับไล่พวกเขาแล้ว
อิมาม อะฮฺมัด และอิมาม มุสลิมได้บันทึกรายงานว่า
ท่านนะบี ได้ออกไปที่บะดัร มีชายคนหนึ่งที่เป็นมุชริกได้ติดตามท่านนะบีออกไปด้วย และก็ไปทันท่านนะบีที่ อัลฮิรเราะฮ์ อยู่นอกเมืองมะดีนะฮ์ แล้วเขาก็พูดว่า แท้จริง ฉันต้องการที่จะติดตามท่านไปด้วย และเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมกับท่าน" ท่านเราะซูล จึงกล่าวว่า เจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และเราะซูลของพระองค์หรือเปล่า ? เขาตอบว่า เปล่า ท่านนะบี จึงกล่าวว่า กลับไปเถิด เพราะฉันจะไม่มีวันขอความช่วยเหลือจากมุชริกเป็นอันขาด
จากเรื่องที่ได้นำมาเสนอเป็นการอธิบายให้เราทราบว่า ศาสนาห้ามมิให้นำเอาบรรดากุฟฟาร(พวกปฏิเสธศรัทธา)เข้ามีส่วนร่วมช่วยเหลือกิจการที่เป็นความลับและความปลอดภัยของมุสลิม เพราะพวกเขาสามารถที่จะก่ออันตรายให้กับมุสลิมได้ทุกขณะ ดังเช่นการนำพาพวกกาฟิร(ปฏิเสธศรัทธา)เข้าไปในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแห่งของมุสลิม หรือให้พวกเขามาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับมุสลิม เข้านอกออกในในบ้านของมุสลิม เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขารู้ตื้นลึกหนาบางของมุสลิม ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อมุสลิมในที่สุดนั่นเอง
6 การใช้ศักราชตามแบบพวกกุฟฟาร (ปฏิเสธศรัทธา)ไม่ว่าจะเป็น ค.ศ. ซึ่งเป็นการรำลึกถึงวันเกิดของพระเยซูในศาสนาคริสต์ หรือ พ.ศ. ก็ตาม เท่ากับมีส่วนร่วมในการรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ในศาสนาของพวกเขา ดังกล่าวนี้เท่ากับเข้าไปมีส่วนร่วมในศาสนาและพิธีกรรมของพวกเขา ซอฮาบะฮ์ของท่านเราะซูล ต่างหลีกห่างจากการกระทำดังกล่าว ดังที่ท่านอุมัร คอลีฟะฮ์ท่านที่สองของอิสลามเป็นผู้เลือกเอาเหตุการณ์การอพยพ (ฮิจญ์เราะฮ์) ของท่านเราะซูล มาเริ่มต้นใช้เป็นศักราชของอิสลาม ดังกล่าวนี้ เพื่อเป็นการทำให้ต่างไปจากพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา)นั่นเอง ทั้งในเรื่องการกำหนดปีศักราช และเรื่องอื่นๆ ฯลฯ
7 การไปร่วมเฉลิมฉลองในวันรื่นเริงของพวกกุฟฟารการไปร่วมเฉลิมฉลองหรือไปมีส่วนร่วมในการจัดงาน หรือไปแสดงความยินดีเนื่องในงานดังกล่าว ดังคำอธิบายดำรัสของอัลลอฮ์ ในซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน อายะฮ์ที่ 72 ความว่า
قال الله تعالى وَالَّذِيْنَ لاَ يَشْهَدُوْنَ الزُّوْرَ { سورة الفرقان 72 และบรรดาผู้ที่ไม่เป็นพยานเท็จ ( อัลฟุรกอน 25/72)
หมายถึง ผู้ศรัทธาที่ไม่ไปร่วมเฉลิมฉลองในวันตรุษ (วันอีด) ของพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา)
ส่วนหนึ่งจากลักษณะของผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮ์ คือ การที่พวกเขาไม่ไปร่วมงานรื่นเริง (วันตรุษ) ของพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา)
8 การยกย่องชมเชยในอารยะธรรมของพวกปฏิเสธศรัธาการยกย่องชมเชยและรู้สึกชื่นชอบในขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา) โดยไม่คำนึงถึงหลักศรัทธาเชื่อมั่นในศาสนาอันเป็นเท็จและไร้แก่นสารของพวกเขา ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า
قال الله تعالى وَلاَ تَمُدَّنَّ عَيْنَيْكَ إِلىَ مَا مَتَّعْنَا بِهِ أَزْوَاجًا مِّنْهُمْ زَهْرَةَ الْحَيَاةِ الدُّنْيَا لِنَفْتِنَهُمْ فِيْهِ وَرِزْقُ رَبِّكَ خَيْرٌ وَأَبْقَى { طه 131
และจงอย่าทอดสายตาของเจ้าไปยังสิ่งที่เราให้เป็นความเพลิดเพลินสนุกสนานในโลกดุนยาของพวกปฏิเสธศรัทธา
เพื่อที่เราจะได้ทดสอบพวกเขาในการนี้ และสิ่งที่พระเจ้าของเจ้าประทานมาให้นั้น ย่อมดีกว่า และถาวรกว่า ( ฏอฮา 20/ 131 )
และมุสลิมจะต้องให้ได้มาซึ่งกำลังความเข็มแข็งด้วยการศึกษาหาความรู้ ฝึกปรือทักษะ และแผ่ขยายกำลังทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ศาสนาอนุมัติ มีการวางแผนทางยุทธวิธี ที่ถูกต้อง รอบคอบ และมีกองกำลังที่เข้มแข็งไว้พร้อมสรรพ ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
قال الله تعالى وَأَعِدُّوْا لَهُمْ مَّا اسْتَطَعْتُمْ مِّنْ قُوَّةٍ { سورة الأنفال 60
และพวกเจ้าจงเตรียมกำลังให้พร้อมไว้สำหรับพวกเขา เท่าที่พวกเจ้าจะมีความสามารถ (อัลอันฟาล 8/60)นี่คือผลประโยชน์และความเร้นลับขั้นพื้นฐานแห่งโลกของมุสลิม ดังที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
قال الله تعالى قُلْ مَنْ حَرَّمَ زِيْنَةَ اللهِ الَّتِيْ أَخْرَجَ لِعِبَادِهِ وَالطَّيِّبَاتِ مِنَ الرِّزْقِ قُلْ هِيَ لِلَّذِيْنَ آمَنُوْا فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا خَالِصَةً يَوْمَ الْقِيَامَةِ { سورة الأعراف 32
(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ผู้ใดเล่าที่ห้ามสิ่งประดับประดาของอัลลอฮ์ที่ทรงให้มีขึ้นเพื่อปวงบ่าวของพระองค์ และจากบรรดาปัจจัยยังชีพ(ริสกีย์) ที่ดี(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า มันเป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาผู้ที่ศรัทธา ในชีวิตเป็นอยู่แห่งโลกนี้ และสำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์โดยเฉพาะ ( อัลอะอ์ร็อฟ 7/32 )
และอัลลอฮ์ ทรงตรัสอีกว่า
قال الله تعالى وَ سَخَّرَ لَكُمْ مَّا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الأَرْضِ جَمِيْعًا مِّنْهُ .... الآية { سورة الجاثية 13
และพระองค์ทรงทำให้สิ่งที่อยู่ในบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า ทั้งหมดนั้น ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น ( อัลญาซิยะฮ์ 45/ 13)ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ และต้องป้องกันมิให้บรรดาพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา) ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิ่งดังกล่าว
9 การตั้งชื่อด้วยกับชื่อของพวกกุฟฟาร (ปฏิเสธศรัทธา)เนื่องมาจากการที่มุสลิมบางคนตั้งชื่อบุตรหลานของตนด้วยชื่อต่างๆ กัน และละทิ้งชื่อบรรดาบรรพบุรุษ พ่อแม่ปู่ย่าตายายอันเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมมุสลิม ท่านนะบี จึงกล่าวว่า
قال النبي (( خَيْر ُالأَسْمَاءِ عَبْدُ اللهِ وَعَبْدُ الرَّحْمَنِ ))
ชื่อที่ดีที่สุดคือชื่อ อับดุลลอฮ์ และอับดุรเราะฮ์มาน (บันทึกโดย อิมาม มุสลิม )
จากการที่มีการเปลี่ยนชื่อและมีการตั้งชื่อกันแปลกๆผิดเพี้ยน ทำให้มุสลิมรุ่นหลังเป็นเหตุให้ขาดการติดต่อสัมพันธ์ และเกิดการขาดตอนกันระหว่างตระกูล ที่เคยเกี่ยวพันกันมา
10 การขออภัยโทษให้กับพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา)
การขออภัยโทษและการให้ความเอ็นดูเมตตารักใคร่สงสารพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา) ตลอดจนคล้อยตามหลักเชื่อมั่นของพวกกุฟฟาร(ปฏิเสธศรัทธา) ทั้งๆ ที่ อัลลอฮ์ ทรงห้ามการกระทำดังกล่าว ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
قال الله تعالى مَا كَانَ لِلنَّبِي ِّ وَالَّذِيْنَ آمَنُوْا أَنْ يَسْتَغْفِرُوا لِلْمُشْرِكِيْنَ وَلَوْ كَانُوْا أُوْلِي الْقُرْبَى مِنْ بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُمْ أَنَّهُمْ أَصْحَابَ الْجَحِْيمِ { سورة التوبة 113
ไม่อนุญาตให้ผู้เป็นนะบีและบรรดาผู้ศรัทธา ที่จะขออภัยโทษให้แก่บรรดามุชริก แม้ว่าพวกเขาจะเคยเป็นญาติใกล้ชิดกันมาก่อนก็ตามภายหลังจากเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาแล้วว่า แท้จริง พวกเขานั้นเป็นชาวนรก (อัตเตาว์บะฮ์ 9/113)
เพราะเท่ากับเป็นการประกันความรักให้กับพวกเขาและเป็นการปรับปรุงแก้ไขฟื้นฟูสิ่งที่พวกเขามีต่อท่าน
เชค ดร. ซอลิฮฺ บินเฟาว์ซาน อัลเฟาว์ซาน
แปลและเรียบเรียงโดย อ.มาลิก โยธาสมุทร