การกำเนิดของศาสดาพยากรณ์
  จำนวนคนเข้าชม  9878

 การพยากรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล

เรื่องการกำเนิดของท่านมูฮัมมัด  ศาสดาของศาสนาอิสลาม

         

          การพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการกำเนิดของศาสดามูฮัมมัด   นั้นสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงให้บุคคลที่มีความศรัทธาในพระคัมภีร์ไบเบิลเห็นถึงความสัตย์จริงของศาสนาอิสลาม
 

          ใน พระราชบัญญัติ 18, ศาสดาโมเสสได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าทรงตรัสกับเขาว่า

“เราจะโปรดให้บังเกิดผู้พยากรณ์อย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขา และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ประชาชนทั้งหลาย ต่อมาผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งผู้พยากรณ์กล่าวในนามของเรา เราจะกำหนดโทษผู้นั้น” (พระราชบัญญัติ 18:18-19)

จากบทต่างๆ เหล่านี้ในไบเบิ้ล เราสามารถสรุปได้ว่า ศาสดาในการพยากรณ์นี้จะต้องมีบุคลิกลักษณะสามประการดังนี้:

1) เขาจะต้องเป็นอย่างศาสดาโมเสส

2)  เขาจะต้องมาจากบรรดาพี่น้องของชาวยิว เช่น ลูกหลานของอิสมาเอล

3) พระผู้เป็นเจ้านั้นจะทรงใส่พระดำรัสของพระองค์ลงในปาก(คำพด)ของศาสดาท่านนี้และพระองค์จะทรงประกาศถึงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชามา

ขอให้เราลองตรวจสอบบุคลิกลักษณะทั้งสามประการนี้ให้ลึกลงไปอีก:

1) ศาสดาอย่างเช่นศาสดาโมเสส:


           เป็นการยากที่จะมีศาสดาคนใดถึงสองท่านที่จะมีบุคคลิกลักษณะเหมือนกันเป็นอย่างยิ่งเช่น ศาสดาโมเสสกับศาสดามูฮัมมัด  ทั้งสองต่างได้รับกฎระเบียบและข้อบัญญัติของชีวิตที่ชัดเจน ทั้งสองต่างต้องเผชิญกับเหล่าปัจจามิตรและต่างได้รับชัยชนะด้วยวิธีปาฏิหาริย์ต่างๆ นอกจากนี้ทั้งสองพระองค์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสดาและรัฐบุรุษอีกด้วย ทั้งสองยังต้องหลบหนีการวางแผนรอบฆ่า จากการวิเคราะห์ระหว่างศาสดาโมเสสกับศาสดาเยซูไม่เพียงแต่มีความคล้ายคลึงกันอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ยังมีความสำคัญโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย รวมทั้งการกำเนิดอย่างเป็นธรรมชาติ ชีวิตครอบครัวและการสิ้นชีพของทั้งศาสดาโมเสสและศาสดามูฮัมมัด แต่ไม่ใช่ศาสดาเยซู นอกจากนี้ สาวกของศาสดาเยซูยังถือว่าพระองค์เป็นบุตรแห่งพระเจ้า และไม่ได้เป็นศาสดาแห่งพระเจ้า เนื่องจากโมเสสและมูฮัมมัด  เป็นศาสดาแล้ว และเพราะชาวมุสลิมเชื่อว่าเยซูเป็นเช่นนั้น ดังนั้น การพยากรณ์จึงหมายถึงศาสดามูฮัมมัด ไม่ใช่ยซู เพราะว่าศาสดามูฮัมมัด นั้นมีความคล้ายคลึงกับศาสดาโมเสสยิ่งกว่าศาสดาเยซูนั่นเอง

อีกเช่นเดียวกัน มีคนสังเกตถึงคำสอนของพระเยซูที่ถ่ายทอดโดยสาวกยอห์นที่ว่า ชาวยิวทั้งหลายกำลังรอคอยการบรรลุผลของการพยากรณ์ที่สมบูรณ์ชัดเจนทั้งสามประการอยู่ ประการแรกคือ การมาของพระเยซูคริสต์ ประการที่สอง การมาของอีเลยาห์ และประการที่สาม การมาของศาสดา ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำถามทั้งสามข้อที่ถามกับท่านสาวกยอห์น ซึ่งเป็นนักบวชในนิกายโปรแตสแตนท์: “นี่แหละเป็นคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า "ท่านคือผู้ใดท่านได้ยอมรับ และมิได้ปฏิเสธ แต่ได้ยอมรับว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์" เขาทั้งหลายจึงถามท่านว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ" ท่านตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์" "ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นหรือ" และท่านตอบว่า "มิได้" (ยอห์น 1:19-21). ถ้าเราดูพระคัมภีร์ที่มีการอ้างอิงแบบไขว้ เราจะพบหมายเหตุที่ขอบหน้ากระดาษที่มีคำว่า “ศาสดา” ปรากฏอยู่ใน ยอห์น 1:21 ซึ่งคำเหล่านี้นั้นอ้างถึงการพยากรณ์ของพระราชบัญญัติ 18:15 และ 18:18.2  เราจึงพอสรุปได้จากสิ่งดังกล่าวนี้ว่า พระเยซูคริสต์นั้นไม่ใช่ศาสดาองค์ที่กล่าวไว้ใน พระราชบัญญัติ 18:18 .

2) จากพี่น้องชาวอิสราเอล:


          นะบีอิบรอฮิม (Abraham) มีบุตรชาย 2 คน คือ อิสมาเอลและอิสหาก (Ishmael and Isaac) (ปฐมกาล 21) ต่อมาอิสมาเอลกลายเป็นบรรพบุรุษของชนชาติอาหรับ และอิสหากกลายเป็นบรรพบุรุษของชนชาติยิว ศาสดาที่กล่าวถึงนี้ไม่ได้มาจากชนชาติยิวเอง แต่มาจากบรรดาพี่น้องของพวกเขา เช่น บรรดาพี่น้องของตระกูลอิสมาเอล มูฮัดมัด , คือหนึ่งในเครือญาติของอิสมาเอล จึงเป็นศาสดาที่แท้จริงที่สุด

          อีกทั้งในคัมภีร์ อิสยาห์ 42:1-13 ยังได้กล่าวถึงผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า ว่า “ผู้ที่ได้รับเลือก” และ “ผู้ถือสาร” ของพระองค์จะเป็นผู้ซึ่งนำกฎระเบียบต่างๆ ลงมา

“ท่านจะไม่ล้มเหลวหรือท้อแท้จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และเกาะทั้งหลายจะรอคอยพระราชบัญญัติของท่าน” (อิสยาห์ 42:4)

           บทที่ 11 ซึ่งเชื่อมโยงบุรุษผู้เป็นที่รอคอยเข้ากับทายาทของคีดาร์  คีดาร์คือใคร ตามที่ ปฐมกาล 25:13 ได้กล่าวไว้ว่า  คีดาร์คือบุตรคนที่สองของอิสมาเอล ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของศาสดามูฮัมมัด  นั่นเอง

3) พระผู้เป็นเจ้าจะใส่พระดำรัสของพระองค์ลงในคำพูดของศาสดาองค์นี้

          คำกล่าวต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า (ในพระคัมภีร์กุรอาน) ได้ถูกใส่ลงในคำพูดของศาสดามูฮัมมัด อย่างแท้จริง พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานฑูตสวรรค์กาเบรียลให้ลงไปสอนศาสดามูฮัมมัด ถึงพระดำรัสที่ถูกต้องของพระผู้เป็นเจ้า (พระคัมภีร์กุรอาน) และบัญชาให้นำอายะต่างๆ ในอัลกุรอานเหล่านั้นไปสอนสั่งผู้คนอย่างที่ทรงกล่าวมา ดังนั้น คำกล่าวดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นของมูฮัมมัดเอง อายะต่างๆหล่านั้นไม่ได้มาจากความคิดของท่านเอง แต่ได้ถูกใส่ลงในคำพูดของท่านโดยทูตสวรรค์กาเบรียล ในช่วงชีวิตของศาสดามูฮัมมัด ,และภายใต้การดูแลของพระองค์นั้น  อายะในอัลกุรอานจึงได้ถูกท่องจำและจารึกไว้โดยบรรดาสหายของท่าน

อีกทั้ง คำพยากรณ์ที่บันทึกไว้ใน พระราชบัญญัติ ได้กล่าวไว้ว่า ศาสดาองค์นี้จะทรงตรัสพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าในนามของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเรากลับไปดูพระคัมภีร์กุรอาน เราจะพบว่าทุกบทของพระคัมภีร์ ยกเว้นในบทที่ 9 จะนำเรื่องหรือขึ้นต้นด้วยวลี “ในนามของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
 

          เครื่องบ่งชี้อีกอย่างหนึ่ง (นอกจากคำพยากรณ์ที่บันทึกไว้ พันธสัญญาเล่มที่ห้า ได้แก่พระคัมภีร์ อิสยาห์ ที่เกี่ยวพันกับผู้ถือสารโดยเชื่อมโยงกับคีดาร์ด้วยบทสวดบทใหม่ (พระคัมภีร์ซึ่งจารึกด้วยภาษใหม่) ซึ่งสวดโดยพระผู้เป็นเจ้า (อิสยาห์ 42:10-11) ในที่นี้ได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งในคำพยากรณ์ที่บันทึกไว้ใน อิสยาห์: “แต่พระองค์จะตรัสกับชนชาตินี้โดยต่างภาษา” (อิสยาห์ 28:11 KJV) อีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวพันกัน ได้แก่ พระคัมภีร์กุรอานได้รับการเปิดเผยไปยังกลุ่มบุคคลต่างๆ ในช่วงกว่ายี่สิบสามปี เป็นเรื่องที่น่าสนใจเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ อิสยาห์ 28  ซึ่งได้กล่าวถึงในสิ่งเดียวกัน “เพราะเป็นข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ ข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ บรรทัดซ้อนบรรทัด บรรทัดซ้อนบรรทัด ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย”  (อิสยาห์ 28:10)

          โปรดสังเกตว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสเป็นคำพยากรณ์ไว้ พระราชบัญญัติ บทที่18 ว่า “ต่อมาผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งผู้พยากรณ์กล่าวในนามของเรา เราจะกำหนดโทษผู้นั้น” (พระราชบัญญัติ 18:19) สิ่งที่กล่าวมานี้หมายความว่า ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาในพระคัมภีร์จะต้องมีความศรัทธาในสิ่งศาสดาได้สั่งสอน และศาสดาที่ว่านี้ได้แก่ ศาสดามูฮัมมัดนั่นเอง

ที่มา : islam guide