ต้อง ! เรียนรู้หลักความเชื่ออย่างถูกต้อง
ดร.ซอและห์ บิน เฟาซาน
พึงทราบเถิดว่า อัลลอฮ์ ทรงประทานให้แก่ฉันและพวกท่าน ในเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องของอากีดะห์(หลักความเชื่อ)อิสลาม เพื่อที่จะได้ทราบความหมาย และได้ยึดปฏิบัติตามหลักความเชื่อนั้น และจะต้องเรียนรู้ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับหลักความเชื่ออิสลาม และสิ่งที่มาทำลายหลักความเชื่อ หรือมาทำให้หลักความเชื่อเกิดความบกพร่องสั่นคลอน ไม่ว่าด้วยกับการตั้งภาคี(ชิริก)ที่ใหญ่และเล็ก
قال الله تعالى : (فاعلم أنه لا إله إلا الله واستغفر لذنبك )
“ฉะนั้นพึงรู้เถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และจงขออภัยโทษต่อความผิดเพื่อตัวเจ้า”
( มูฮัมหมัด / 19)
ท่านอิหม่ามอัลบุคอรีย์ รอฮิมาอุลลอฮ์ได้กล่าวไว้ในหัวเรื่องที่ว่าด้วยความรู้ต้องมาก่อนคำพูดและการกระทำ โดยที่ท่านได้นำอายะนี้มาประกอบเป็นหลักฐาน
ท่าน อัลหาฟิซ อิบนู หาญัรได้กล่าวว่า
“อิบนุลมูนีรได้กล่าวว่า ที่อิหม่ามบุคอรีย์ หมายถึง คือ ความรู้นั้นเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้คำพูดและการงานนั้นถูกต้อง หากไม่มีความรู้ ทั้งคำพูดการกระทำก็ไม่ถูกยอมรับ ซึ่งความรู้นั้นต้องมาก่อนคำพูดและการกระทำ เนื่องจากเมื่อเจตนาถูกต้องการงานก็ถูกต้องด้วย....”จนจบคำพูด
บรรดานักวิชาการต่างให้ความเอาใจใส่ ในการเรียนรู้ และสอนกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อ พวกเขาถือว่าเป็นวิชาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยการแต่งหนังสือและทำการจำแนกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกฏเกณฑ์ต่างๆ และสิ่งที่มีความจำเป็นในเรื่องหลักความเชื่อ พวกเขาได้ทำการชี้แจงสิ่งที่จะมาทำให้หลักความเชื่อเสียหาย สั่นคลอนและบกพร่อง ด้วยกับการตั้งภาคี(ชิริก)ต่ออัลลอฮ์ ความงมงาย และการอุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา(บิดอะฮ์)
ความหมายของคำปฏิญาณว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพโดยแท้จริงนอกจากอัลลอฮ์” ไม่ใช่แค่การกล่าวออกมาเพียงปลายลิ้น แต่ต้องทราบความหมายที่บ่งชี้ทั้งหมด และความต้องการของคำนี้ ต้องปฏิบัติโดยการแสดงออกมา(ภายนอก) และความยึดมั่นศรัทธา(ภายใน)
มีสิ่งที่จะมาทำให้คำปฏิญาณนี้บกพร่อง และไม่สามารถทราบได้ นอกจากต้องศึกษาเรียนรู้เท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีวิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักอากีดะห์ในทุกระดับของการเรียน ต้องกำหนดคาบเรียนให้เพียงพอ ต้องเลือกบรรดาครูที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ต้องกำหนดเกณฑ์การผ่านชั้น การสอบตก ให้แตกต่างกับการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบันวิชาอากีดะห์ เป็นวิชาที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ในการเรียนการสอนอย่างเข้มงวด ทำให้สภาพของเยาวชนมุสลิมที่เติบโตมาโดยไม่มีความรู้ในหลักความเชื่อที่ถูกต้อง เกิดการแพร่หลายของการตั้งภาคี การอุตริในศาสนา และความงมงายต่าง ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในหลักความเชื่อของศาสนา เราจะพบเห็นมุสลิมที่กระทำสิ่งที่ผิดต่างๆเหล่านั้น โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ตกออกจากศาสนาเลยทีเดียว
ท่านอารุลมุมีนีน ท่าน อุมัร บิน คอตตอบ รอฏิยัลลอฮูอันฮูได้กล่าวว่า
(يوشك أن تنقض عرى الاسلام عروة عروة إذا نشأ في الإسلام من لا يعرف الجاهلية )
“ใกล้เข้ามาแล้ว ที่ห่วงแห่งอิสลามจะหมดไปทีละห่วง บุคคลที่เติบโตขึ้นมาในสังคมอิสลาม จะไม่รู้จักญาฮิลียะห์” (คือไม่เคยสัมผัสสิ่งหะรอม)
ด้วยเหตุนี้ การเลือกหนังสือที่มีความถูกต้องบริสุทธิ์ ที่แต่งขึ้นมาตามแนวทางของอัศสลัฟซอและห์ แนวทางของอะลุซซุนนะห์ วัลญามาฮะห์ และสอดคล้องกับ กีตาบุลลอฮ์และอัซซุนนะห์ หนังสือเหล่านั้นควรมาเป็นหลักสูตรในการเรียนให้แก่บรรดานักเรียน และหลีกห่างจากหนังสือที่สวนทางกับแนวทางของสลัฟ เช่น หนังสือที่อยู่ในแนวทางของอาชาอิเราะห์ และอัลมัวะตาซิละห์ อัลญะมียะห์ และกลุ่มต่างที่หลงผิดจากแนวทางของอัศสลัฟ
ต้องมีระบบการเรียนการสอนในมัสยิดต่างๆ ให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้ประการแรกในเรื่องอากีดะห์(หลักความเชื่อ)ที่อยู่ในแนวทางของชนชาวสลัฟ ซึ่งต้องมีการอธิบายตัวบทต่างๆ ที่ให้เกิดประโยชน์แก่บรรดานักเรียนและผู้ที่มาเรียน นอกเหนือจากบทเรียนในมัสยิดต้องมีบทสรุปที่จะบรรยายให้แก่บุคคลทั่วไปได้รับฟัง เพื่อทำให้การเผยแผ่หลักความเชื่ออิสลามไปได้ทั่วถึง และสามารถที่จะนำบทเรียนบอกผ่านทางสถานีวิทยุ พูดเน้นย้ำถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่ออยู่เป็นประจำ นอกเหนือจากนี้ต้องเอาใจใส่เป็นรายบุคคลที่ยังมีหลักความเชื่อที่สั่นคลอน
ดังนั้นหน้าที่ของมุสลิมต้องศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจในเรื่องของหลักความเชื่อ ที่มาจากหนังสือที่ได้แต่งขึ้นมาสอดคล้องกับแนวทางของสลัฟ ส่วนหนังสือที่แต่งขึ้นมาสวนทางกับแนวทางสลัฟ หากมุสลิมมีความเข้าใจในแนวทางสลัฟอย่างดีแล้วก็สามารถ ที่จะตอบโต้ชี้แจงข้อคลุมเครือต่างๆ และสามารถนำไปสู่ความเข้าใจหลักความเชื่อของชาวอะฮ์ลุซซุนนะห์ได้
โอ้...... บรรดามุสลิม
ในขณะที่ท่านได้อ่านอัลกุรอาน และพิจารณาแล้วจะพบว่ามีอายะและซูเราะห์ต่างๆ มากมาย ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของหลักความเชื่อ โดยเฉพาะซูเราะห์อัลมักกียะห์ (ซูเราะห์ที่ถูกประทานขณะที่ท่านนะบีอยู่ที่มักกะฮ์)เกือบทั้งหมด ได้ลงมาเจาะจงอธิบายหลักความเชื่อของอิสลาม และตอบโต้ข้อคลุมเคลือต่างๆ
ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นในซูเราะห์อัลฟาติหะ
ท่านอิหม่าม อิบนู กัยยิม รอฮิมาอุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า
“ท่านพึงทราบไว้เถิดว่า แท้จริงซูเราะห์นี้คลอบคลุมการเรียกร้องที่สูงส่ง และสมบูรณ์แบบที่สุด ความสมบูรณ์ที่รวมไว้ ที่คลอบคลุมความหมายที่มีต่อผู้ที่ถูกเคารพภักดีที่ทรงเกียติรอันสูงสุด มีอยู่สามพระนาม ซึ่งเป็นที่กลับมาของพระนามที่สวยงาม และคุณลักษณะที่สูงส่ง คือ อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเมตตา ซูเราะห์นี้ได้อธิบายถึงผู้ที่ถูกเคารพภักดี ผู้ที่เป็นพระเจ้า และผู้ทรงเมตตา สำหรับอายะห์
(إياك نعبد وإياك نستعين ) เกี่ยวข้องกับการเคารพภักดี
(وإياك نستعين ) เกี่ยวข้องกับการเป็นพระเจ้า
และการขอให้ชี้นำไปสู่แนวทางที่เที่ยงตรง ในคุณลักษณะแห่งความเมตตา สำหรับการสรรเสริญ (الحمد) ครอบคลุมสามเรื่องด้วยกัน คือ พระองค์ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญในการเคารพภักดี ในการเป็นพระเจ้า และในความเมตตาของพระองค์ การสรรเสริญการสดุดี เป็นความสมบูรณ์สองอย่างที่คู่ควรกับเกียรติของอัลลอฮ์ และรวมไปถึงการกลับไปหาพระองค์ การตอบแทนแก่ปวงบ่าวในการงานที่ได้ปฏิบัติไว้ ไม่ว่าจะเป็นการงานที่ดี และชั่ว อัลลอฮ์พระองค์เดียวเท่านั้นจะเป็นผู้ชี้ขาดระหว่างมนุษยชาติทั้งหมด และการตัดสินของพระองค์มีความเที่ยงธรรม ทั้งหมดนี้ถูกกล่าวไว้ในดำรัสของพระองค์ที่ว่า
(مالك يوم الدين) ผู้ทรงสิทธิ์แห่งวันตอบแทน
และในซูเราะห์อัลฟาติหะยังรวมไว้ซึ่งการยืนยันถึงการเป็นนะบีในหลายๆด้าน......
หลังจากนั้นท่านอิบนุลกอยยิมรอฮิมาอุลลอฮ์ได้อธิบายเรื่องนี้ด้วยคำพูดที่ยืดยาวเป็นประโยชน์ ไปจนถึงคำพูดของท่านที่ว่า
สำหรับอัลกุรอานทั้งหมดนั้นรวมไว้ซึ่งหลักการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ และสิทธิของอัลลอฮ์ และการตอบแทนของพระองค์ และรวมไว้ในเรื่องของการตั้งภาคี และบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี และผลตอบแทนของการตั้งภาคี
อายะห์
(الحمد لله رب العالمين ) (การสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก)
ในอายะห์นี้กล่าวถึงการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์
( الرحمن الرحيم ) ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ในอายะห์ก็กล่าวถึงการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์
ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง
(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว (*และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด)
สำหรับอายะห์นี้ก็กล่าวถึง การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ และยังรวมไปถึงการขอให้ได้รับทางนำไปสู่แนวทางบรรดาผู้ที่ให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์
ส่วนอายะห์ที่ว่า (غير المغضوب عليهم ولا الضالين ) มิใช่แนวทางของผู้ที่ถูกกริ้วโกรธ และมิใช่แนวทางของผู้ที่หลงผิด บรรดาผู้ที่หลักการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ได้หายไป
อิบนุลกอยยิมยังกล่าวต่อไปอีกว่า
ส่วนมากของซูเราะห์ต่างๆ ในอัลกุรอานจะรวมไว้ ซึ่งหลักการให้เอกภาพสองชนิด เพราะว่าอัลกุรอานบางครั้งเป็นการบอกกล่าวถึง อัลลอฮ์และพระนามคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ ซึ่งเรียกว่าการให้เอกภาพที่เกี่ยวข้องกับความรู้ (เตาฮีด อัลอิลมีย์ อัลคอบารีย์)และการบอกเล่า
อัลกุรอานมาเรียกร้องไปสู่การเคารพภักดี และการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว และไม่มีการตั้งภาคีใดๆต่อพระองค์ในการเคารพภักดี และละทิ้งทุกสิ่งที่ถูกเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮ์ ซึ่งเรียกว่าการให้เอกภาพที่เป็นความต้องการและการเรียกร้อง (อัตเตาฮีด อัลอิรอดีย์ อัตตอลาบีย์)
และอัลกุรอานมาในรูปของคำสั่งใช้ คำสั่งห้าม ให้มีการยึ่ดมั่นในการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ ดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิทธิต่างๆ ในการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์และเป็นความสมบูรณ์ในการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์
และอัลกุรอานมาในสำนวนการบอกเล่าถึงการให้เกียติรยกย่อง ต่อบรรดาผู้ที่ให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ ในสิ่งที่อัลลอฮ์จะต้องประทานแก่พวกเขาในโลกนี้ ซึ่งอัลลอฮ์จะยกย่องเกียรติของพวกเขาในโลกหน้า ซึ่งเป็นผลจากการให้เอกภาพต่อพระองค์ และอัลกุรอานได้บอกถึงบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี
และอัลลอฮ์ได้ปฏิบัติเช่นไรกับพวกเขาในโลกนี้ที่เป็นการลงโทษแก่พวกเขา ซึ่งเป็นการตอบแทนแก่บุคคลที่ออกจากการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ .....” จบคำพูดของอิบนุลกอยยิม
ทั้งๆ ที่อัลกุรอานได้ให้ความเอาใจใส่ ในเรื่องของหลักความเชื่ออิสลาม แต่ว่ามีผู้คนอีกจำนวนมากที่อ่านอัลกุรอานแต่กลับไม่เข้าใจในเรื่องของหลักความเชื่อที่ถูกต้อง เลยทำให้พวกเขามีอากีดะห์ที่สับสนปนเปและคลาดเคลื่อน เนื่องจากได้ปฏิบัติในสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาได้ปฏิบัติไว้ และพวกเขาอ่านอัลกุรอานโดยปราศจากการใคร่ครวญ ไม่มีพลังอำนาจใดๆ นอกจากอำนาจของอัลลอฮ์
จากหนังสือ الارشاد إلى صحيح الاعتقاد
แปลโดย อิสมาอีล กอเซ็ม