ทางสายกลาง
อุมม์รอชิด
ธรรมชาติของมนุษย์ มีความเป็นกลางอยู่ในสามัญสำนึกที่มาพร้อมกับจิตวิญญาณ ซึ่งมีทั้งความดีและความชั่ว มนุษย์มีความยุติธรรม และสามารถที่จะใช้สติปัญญาในการคิดพิจารณา แต่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆจะเป็นตัวชักนำให้มนุษย์มีความเอนเอียง โอนอ่อนไปตามกระแสที่ถาโถมเข้ามา ความเป็นกลางจึงหายไป !
มนุษย์ ไม่ใช่ มลาอิกะฮ์หรือเทวดา ที่ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่มีความรู้สึก
มนุษย์ ไมใช่ ซาตาน หรือปีศาจ ที่มีแต่ความเลวร้าย และอยากประพฤติชั่วตลอดเวลา
มนุษย์ มิใช่ สัตว์เดรัจฉาน กิน ขับถ่าย ผสมพันธุ์ และนอน
มนุษย์ คือ สิ่งถูกสร้างที่มีความน่าอัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ของผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดมนุษย์
มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ได้พยายามตั้งคำถามและค้นหาคำตอบในการเกิดมาของตนเองว่า เกิดมาทำไม ? เกิดมาได้อย่างไร ? เกิดมาเพื่ออะไร ? เพราะอะไรถึงได้เกิดมา ? เหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์ที่ยังไม่เจอคำตอบ แต่ใครจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีกว่าผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดโลกใบนี้ ผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง
ผู้ทรงสร้างได้ส่งคำตอบมาพร้อมกับแผนที่เดินทาง เพื่อให้มนุษย์ได้ดำเนินวิถีชีวิตอย่างถูกต้องในทางสายกลาง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายอย่างสวยงาม เพราะมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ซาตาน หรือ สัตว์เดรัจฉาน ผู้สร้างจึงให้สติปัญญาเพื่อใช้พินิจพิจารณาในการเลือกทางเดิน ทางสายกลางจึงเป็นทางที่ผู้สร้างมอบความรัก ความปราถนาดี ความเมตตากรุณาปรานี และพร้อมจะให้อภัยเสมอเมื่อมนุษย์เดินหลงทาง และกลับมาสู่ทางเดินที่ถูกต้อง
ความรักที่ผู้สร้างได้มอบให้มานั้นมีมากมาย ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความยิ่งใหญ่ และความปราถนาดี โดยการส่งต้นแบบเพื่อมาอธิบายให้ชัดแจ้งและเพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงแผนการเดินทางมากที่สุด นั่นคือการส่งผู้นำเพื่อมาเป็นต้นฉบับที่ถูกต้อง และเพื่อป้องกันการหลงทางนั่นเอง
ท่านนะบีมุฮัมมัด เป็นผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อภาระที่หนักอึ้ง ที่ได้ถูกบัญชาใช้ให้มาเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม และดีที่สุดในหมู่มนุษย์ด้วยกัน แบบฉบับแห่งความอดทน ความเพียรพยายาม ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรักษาสัญญา รักษาคำพูดและการกระทำ
การเป็นตัวอย่างของ ผู้นำประชาชาติ ผู้นำชนผ่า ผู้นำกลุ่ม ผู้นำครอบครัว
การเป็นตัวอย่างของ นักบิหาร นักการจัดการ นักธุรกิจ นักการตลาด นักการวางแผน นักวิเคราะห์
การเป็นตัวอย่างของ การปฏิบัติความดีงามต่อเพื่อมนุษย์ มีความสัมพันธ์ต่อมิตร เอื้ออาทรต่อศัตรู
การเป็นตัวอย่างของ การให้อภัยต่อทุกคนที่ทำร้าย ต่อคนที่กล่าวร้าย ต่อคนที่จ้องจะทำลายท่าน
แบบฉบับของท่านนะบีมุฮัมมัด นั้นมีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด และครอบคลุมในวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ถ้ามุสลิมทุกคนปฏิบัติตามซุนนะฮ์ นะบีมุฮัมมัด อย่างที่กล่าวอ้าง สังคมมุสลิมคงไม่วุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน
ฮะดิษบทหนึ่งเล่าจาก อนัส ได้กล่าวไว้ ความว่า
“ได้มีชายสามกลุ่มมายังบ้านภรรยาของท่านนะบี ถามถึงการทำอิบาดะฮ์ของท่านนะบี เมื่อพวกเขาได้รับการบอกกล่าว คล้ายกับพวกเขาเห็นว่ามันยังน้อยไป พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราจะไปเทียบกับท่านนะบี ได้ที่ไหน ทานนะบี ได้ถูกอภัยให้แล้วทั้งบาปที่มีอยู่ก่อน และบาปที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
คนหนึ่งของพวกเขาได้กล่าวว่า เราจะละหมาดกลางคืนตลอดไป
อีกคนกล่าวว่า เราจะถือศีลอดตลอดทั้งปีโดยไม่ละ
อีกคนกล่าวว่า เราจะแยกตัวออกจากพวกผู้หญิง และจะไม่แต่งงานตลอดไป
ต่อมาท่านเราะซูล ได้มายังพวกเขาแล้วกล่าวว่า
พวกท่านใช่ไหมที่ได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พึงทราบเถิด ขอสามบานต่ออัลลอฮ์ ว่า
แท้จริงฉันเป็นผู้ที่มีควมกลัวและความยำเกรงมากที่สุดในหมู่พวกท่านต่ออัลลอฮ์
แต่ฉันยังถือศีลอด ละศีลด ละหมาด นอน และแต่งงานกับพวกผู้หญิง
ดังนั้นผู้ใดรังเกียจแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งในพวกของฉัน”
(รายงานโดย บุคอรีย์ มุสลิม และนาซาอีย์)
แค่ซุนนะฮ์เพียงไม่กี่ข้อในฮะดิษบทนี้ ถ้ามุสลิมปฏิบัติเหมือนดั่งที่ท่านนะบีมุฮัมมัดปฏิบัติ และท่านได้กล่าวว่า “ดังนั้นผู้ใดรังเกียจแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งในพวกของฉัน" เราต้องมองดูตนเองและพิจารณาคนรอบข้างที่กำลังกล่าวอ้างถึงการยึดมั่นในซุนนะฮ์ พวกเขาและเราได้ปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านนะบีมุฮัมมัด อย่างแท้จริง แล้วหรือยัง ?
ทางสายกลางที่กำลังพูดถึง คงไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่หลุดออกมาเพื่อการกล่าวอ้าง แต่ยังต้องรวมถึงการกระทำที่บ่งบอกว่า เราได้เดินอยู่ในทางสายกลางตามแบบฉบับของท่านนะบีมุฮัมมัด อย่างแท้จริง
ทางสายกลางคือ ทางไหนแน่ ?
การดำเนินชีวิตสายกลาง หรือการเดินทางสายกลาง หรือการอยู่ตรงกลาง โดยไม่เอนเอียงไปกลุ่มไหน หรือพวกไหน คือ การดำเนินชีวิตตามคัมภีร์อัลกุรอาน และซุนนะฮ์ ท่านนะบีมุฮัมมัด รวมทั้งยึดบทบัญญัติอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต เพื่อนำมาซึ่งความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
หลายครั้งที่บางกลุ่ม บางองค์กร หรือบางบุคคล มักจะอ้างตนว่าเรานั้นยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง คือการเข้ากับกลุ่มไหนก็ได้ ที่บอกว่าเป็นมุสลิม องค์กรหรือกลุ่มของฉันรับได้หมด ไม่มีการโต้แย้ง โต้เถียงหรือสืบประวัติ สามารถทำงานด้วยกันได้โดยง่าย
หลายครั้งที่บางกลุ่ม บางองค์กร หรือบางบุคคล ที่บอกว่าอยู่ตรงกลาง คือ การที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ข้องแวะ ไม่ข้องเกี่ยว แม้กลุ่มอื่นจะบอกว่าเป็นมุสลิมก็ตาม ถ้ากลุ่มนั้นไม่ได้ยึดทัศนะเดียวกัน ถ้ากลุ่มไหนไม่ทำตามแบบของฉัน ไม่เชื่อผู้นำกลุ่มของฉัน โดยคิดว่ากลุ่มอื่นมีความเอนเอียงไปหมดด้วยการตัดสินของผู้นำกลุ่ม
ทางสายกลางคือ ทางไหนแน่ ?
ถ้าจะถามทัศนะของบรรดาอุลามาอ์ คงต้องอ้างอิงบรรดาอุลามาอ์ที่มีมากมายในประวัติศาสตร์ อุลามาอ์ร่วมสมัย และอุลามาอ์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ถ้านำเนื้อหาบทความต่างๆ เพื่ออธิบายถึงทางสายกลางอย่างเดียวคงต้องใช้หน้ากระดาษหลายหน้า และหนังสืออีกหลายเล่ม และเราคงต้องไปเรียนภาษาอาหรับเพื่อให้เข้าถึงใจความของความหมายโดยแท้จริง ไม่บิดเบือน และเสริมแต่ง แต่ถ้าจะกระทำทั้งหมดนั้นคงหมดความสามารถของมุสลิมธรรมดาๆ อย่างเราเป็นแน่แท้
เพราะฉะนั้นทางสายกลางคือ ทางไหนแน่ ?
ทางสายกลางคือ ทางที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงบัญญัติให้มนุษย์เดินตามแนวทางที่ดีที่สุดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ พระองค์ทรงเลือกสรรค์แต่สิ่งที่ดีให้กับบ่าวของพระองค์ และทรงส่งท่านนะบีมุฮัมมัด มาดำเนินวิถีชีวิตเพื่อเป็นแบบฉบับ โดยการอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม ทรงจารึกประวัติศาสตร์กล่าวถึงเรื่องราวในอดีตอันเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อให้มนุษย์นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง และทรงจารึกตัวอย่างที่ชั่ว เพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้มนุษย์กระทำตามในสิ่งที่ชั่วนั้น
พระองค์ทรงบัญญัติกฏหมายมาเพื่อคุ้มครอง และปกป้องเพื่อให้ดำรงคงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเพื่อสืบทอดตำนานจวบจนวันกิยามะฮ์ และเหนือสิ่งอื่นใด คือ....เพื่อเป็นบททดสอบในความจงรักภักดีของสิ่งถูกสร้าง ว่าจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้สร้าง หรือไม่ ? ดังเช่น ลูกมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ เด็กมีความเคารพผู้ใหญ่ ผู้ยากจนมีความรักต่อผู้ที่แบ่งปัน ผู้ที่ได้รับความยากลำบากจะสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ให้การช่วยเหลือ และอื่นๆอีกมากมาย
แล้วกับผู้สร้างมนุษย์หล่ะ ! เราเป็นมนุษย์เกิดมามีชีวิต ได้ทำอะไรที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้สร้างบ้าง ! !
มนุษย์ต้องพึ่งพามนุษย์ด้วยกัน โอบอ้อมอารี เมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สร้างความสงบสันติในสังคมมนุษย์ตามบทบัญญัติอัลอิสลาม นั่นคือสิ่งที่ผู้สร้างได้บอกกล่าวไว้ใน คัมภีร์อัลกุรอาน
ย้อนกลับมองดูตนเองบ้างไหมว่า ท่านได้เดินตามทางแห่งแสงสว่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้หรือไม่ ! หรือ ? ท่านยังเดินตามทางที่มีแต่ความมืดสลัว ทางที่มืดบอด ทางที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน หรือ ? ท่านกำลังหลงทางกันอยู่
ทางสายกลางเป็นทางที่ดีที่สุดที่ได้ถูกกำหนดไว้ แต่การที่จะรู้ว่าทางไหนเป็นทางที่ถูกต้อง จึงต้องใช้สติปัญญาในการพินิจ พิจารณา หาเหตุผล หาความจริง เปรียบเทียบกับอัลกุรอาน และซุนนะฮ์ท่านนะบีมุฮัมมัด เราต้องเปิดดวงตา เปิดหัวใจมองโลกใบนี้อย่างกว้างๆ เพราะโลกใบนี้กว้างสำหรับมนุษย์ในยุคนี้ แต่โลกหน้านั้นคงไม่สามารถเปรียบเทียบถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและไม่สามารถใช้จิตนาการใดๆได้ เพราะฉะนั้นเราต้องใช้สายตามอง ใช้ความรู้สึกสัมผัส ใช้หูในการฟังให้ได้ยิน ใช้สมองในการคิดพิจารณา ใช้หัวใจในการตัดสิน จึงจะสามารถรู้ถึงทางสายกลางอย่างแท้จริงได้
ในปัจจุบันมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบ มีวิวัฒนาการการวางแผน การใช้เล่ห์เหลี่ยม กลโกงต่างๆ ทำให้มนุษย์ที่ไม่มีความรู้หลงเชื่อ ด้วยจากรูปลักษณ์ภายนอก การแต่งกายใส่ชุดโต๊ป ไว้เครายาว หน้าผากขึ้นสีดำ การพูดจาที่น่าเชื่อถือหรือพูดเพื่อให้สะใจคนฟัง จนทำให้คนหลงเชื่อและสามารถชี้แนะทางให้ผู้คนเดินได้โดยง่าย แต่เราจะรู้ไหมว่าทางนั้นเป็นทางที่ถูกต้องหรือไม่ ?
ทางสายกลางคือ ทางไหนแน่ ?
ทางที่เดินตามแผนที่ คือ อัลกุรอาน เดินตามรอยเท้าที่มีการยืนยันโดยพระองค์อัลลอฮ์ คือ ซุนนะฮ์ท่านนะบีมุฮัมมัด เดินตามแสงสว่างที่ส่องตามทาง คือ บทบัญญัติอัลอิสลาม เดินตามจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตในโลกนี้ คือ "ความตาย"
ทุกสิ่งทุกอย่างจะกระจ่างเมื่อ ความตาย ได้มาเยือน และวันนั้นเองเป็นวันตัดสินเบื้องต้นว่า เราเดินตามทางสายกลางที่กล่าวไว้หรือไม่ !
ขออัลลอฮ์ ให้เราได้เดินตามทางนำที่เที่ยงตรงที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ เพื่อไปให้ถึงสรวงสวรรค์ของพระองค์ด้วยเถิด............. อามีนญารอบบัลอาลามีน