คำสอนสากลและสาสน์เพื่อมนุษยชาติ
  จำนวนคนเข้าชม  5512

 

 

คำสอนที่เป็นสากลและสาสน์เพื่อมนุษยชาติ


โดย ... ลุกมานุลหะกีม   


               ความจริงที่จะต้องกล่าว ณ ที่นี้ คือ การประกาศเชิญชวนที่ปรากฎในอัลกุรอานและซุนนะฮฺเป็นคำประกาศสากลที่ครอบคลุม มนุษย์ทั้งมวลดังที่ อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

" จงกล่าวเถิดว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือรอซูลของอัลลอฮฺมายังพวกท่านทั้งมวล"

(7/158)

อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

"และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย"

 (34/28)

อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

" และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อโปรดความเมตตาแก่สากลจักรวาล"

 (21/107)

          คำสอนที่เป็นสากลและสาสน์เพื่อมนุษยชาติที่ปรากฎในอิสลามนั้น มิได้เป็นแนวคิดเชิงปรัชญาหรือสโลแกนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในหลักฐานตามประวัติศาสตร์ของการเผยแผ่อิสลาม

          ซึ่งมนุษยชาติทุกหมู่เหล่าอันประกอบด้วยเชื้อชาติและสีผิวที่หลากหลายต่างมีส่วนร่วมก่อร่างสร้างประภาคารแห่งอิสลามอย่างเท่าเทียมกัน จนกระทั่งเราไม่สามารถระบุได้ว่าอิสลามเป็นศาสนาของชนสัญชาติใด ชนชั้นไหนและผู้คนในทวีปใด เพราะอิสลามสามารถรวบรวมพลเมืองทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกประเทศเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาในศาสนาเดียวกัน

 

          อิสลามถือว่ามนุษย์ คือ ครอบครัวเดียวกัน อิสลามคือศาสนาของบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย และประวัติศาสตร์ของอิสลาม คือประวัติศาสตร์ที่ร่วมจารึกโดยบรรดาศาสนทูต เช่นเดียวกัน

         ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงเรียกผู้ศรัทธาว่า ประชาชาติผู้ตอบรับการเชิญชวน และเรียกผู้ปฏิเสธว่า ประชาชาติแห่งการเผยแผ่ อันหมายถึง เป็นกลุ่มเป้าหมายสำหรับการเชิญชวนและเผยแผ่ เพราะเป็นหน้าที่หลักของมุสลิมทุกคนที่จะต้องปลดปล่อยมวลมนุษย์จากการเป็นทาสที่เคารพภักดีต่อมนุษย์ สู่การเป็นบ่าวที่เคารพภักดีต่อ อัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ อิสลามถือว่ามนุษย์มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน อิสลามปฏิเสธระบบนายหน้าที่คอยเจรจาต่อรองระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ์  ทุกคนมีสิทธิ หน้าที่และโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน

 

ศัพท์ทางศาสนบัญญัติบางคำที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ

        1. ดารุลอิสลาม หมายถึง ประเทศที่ปฏิบัติใช้กฎหมายอิสลามโดยมีประชาชนเลื่อมใสและศรัทธาระบบอิสลาม พร้อมมีความพยายามที่จะใช้กฎหมายอิสลามในชีวิตประจำวัน ดารุลอิสลาม ไม่ได้มีความหมายว่า ประชาชนทุกคนที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศดังกล่าวต้องเป็นมุสลิม เพราะสิ่งดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ชาวมุสลิมอาจเป็นชนส่วนใหญ่โดยที่ชนต่างศาสนิกมีสิทธิพำนักอาศัยและยึดมั่น ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของแต่ละศาสนา ทั้งนี้เพราะอิสลามไม่มีแผ่นดินหรือประเทศที่เฉพาะเจาะจง ประชาชาติมุสลิมไม่ได้อาศัย ณ ประเทศหนึ่งประเทศใดเป็นการเฉพาะ อิสลามจึงเป็นศาสนาที่เรียกร้องการเป็นราษฎรสากลที่ไม่ผูกพันกับประเทศใด ประเทศหนึ่ง แผ่นดินของมุสลิมคือโลกทั้งผองที่ไม่มีข้อจำกัดด้านประชากรศาสตร์และ ภูมิศาสตร์

 

        2. “ ดารุลหัรบิ ” หมายถึง ประเทศที่เป็นคู่สงครามกับประชาชาติมุสลิม หรือประเทศที่รุกรานและล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และไม่มีสนธิ สัญญาใดๆผูกมัดระหว่างกัน อิสลามอนุมัติให้ประกาศสงครามโดยมีวัตถุประสงค์ตอบโต้การรุกราน ปกป้องการเผยแผ่อิสลาม ลบล้างความอยุติธรรม และปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้เป็นอิสระ หากสถานการณ์สงครามได้เปลี่ยนสภาพเป็นการรุกรานหรือก่อการร้าย อิสลามถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแผนการณ์ของเหล่ามารร้ายที่สร้างมลทินแก่อิสลามตลอดจนเป็นตัวถ่วงการ แผ่ขยายของอิสลาม

 

       3. “ ดารุลมุอาฮะดะฮฺ ” หมายถึง ประเทศที่มีสนธิสัญญาผูกมัดกับประชาชาติมุสลิม อิสลามถือว่าการปฏิบัติตามสัญญาถือเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาที่ไม่อนุญาตให้มี การฉ้อฉลหรือหลอกลวงสัญญา ดังอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า:

" และจงปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน เพราะแท้จริงสัญญานั้นจะถูกสอบสวน"

 (17/34)

          อิสลามเป็นศาสนาที่ยืนหยัดสร้างสันติภาพในสังคมมนุษย์ให้ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม กฎดั้งเดิมในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสังคมโลก ตามทัศนะอิสลามคือสันติภาพไม่ใช่สงคราม ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อใดที่มีโอกาสสร้างสันติภาพ อิสลามจึงเรียกร้องและฉกฉวยโอกาสนั้นให้กลับสู่สภาวะดั้งเดิมทันที ถึงแม้ในช่วงเกิดภาวะสงครามก็ตาม อิสลามจึงไม่สนใจผลกระทบต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่มีการประนีประนอม อิสลามจึงไม่พยายามที่จะไปสืบค้นความตั้งใจที่แท้จริงของคู่สงครามที่ยอมประนีประนอม ว่ามีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นบางอย่างหรือไม่ อิสลามตอบรับการประนีประนอมหยุดสงครามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น เพราะสันติภาพเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮ์  ในขณะที่การรุกราน สงครามและอารมณ์โกรธนั้น เป็นคุณลักษณะเฉพาะของเหล่ามารร้าย

อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

" และหากพวกเขาโอนอ่อนเพื่อสงบศึกแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายภารกิจแด่อัลลอฮฺเถิด

แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง " 

(อัลอันฟาล/61-62)

"และหากพวกเขาประสงค์ที่จะหลอกลวงพวกเจ้า เป็นการเพียงพอแล้วกับอัลลอฮฺ (ที่คอยจะพิทักษ์ปกป้อง)

พระองค์คือผู้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยความช่วยเหลือของพระองค์และด้วยกำลังของ บรรดาผู้ศรัทธา"

( 8 / 61-62 )

          ลองสังเกตดูคำว่า “และจงมอบหมายภารกิจแด่อัลลอฮ์ เถิด” ที่อัลกุรอานเรียกร้องให้มุสลิมกล้าตัดสินใจในการประนีประนอมกับข้าศึก โดยไม่ต้องหวั่นวิตกกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหรืออาจติดกับดักแผนลวงที่ข้าศึกอยู่ในภาวะจนตรอกจนต้องยอมฝืนประกาศการประนีประนอม ใครก็แล้วแต่ที่ศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ในสถานการณ์ที่สันติสุขแล้ว ผลสุดท้ายจะก่อประโยชน์อันใหญ่หลวงแก่อิสลาม ทั้งนี้เพราะสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนด้วยการใช้เหตุผลและการสานเสวนา ไม่ใช่การใช้พละกำลัง อิสลามเผยแพร่ด้วยพลังแห่งปัญญาไม่ใช่อำนาจของกองกำลังที่เหนือกว่า เป้าประสงค์อันสูงส่งของอิสลามคือการนำมาซึ่งสันติสุขมายังมวลมนุษย์ถึงแม้ จะเป็นคนต่างศาสนิกก็ตาม

อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

" และหากว่ามีคนใดในหมู่ผู้ตั้งภาคีได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง

ก็จงคุ้มครองเขาเถิดจนกว่าเขาจะได้ยิน และรับฟังโองการของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขายังที่ปลอดภัยของเขา"

 (9/6)

         โองการดังกล่าวสอนให้เราทราบว่า ในการญิฮาดที่ยิ่งใหญ่คือการให้ความคุ้มครองและประกันความปลอดภัยแก่ชนต่างศาสนิก

         การญิฮาดในอิสลามจึงมีวัตถุประสงค์อันสูงส่ง เนื่องจากแหล่งที่มาของความศรัทธาคือจิตใจ ไม่มีอำนาจใดๆ ที่สามารถบังคับจิตใจได้เว้นแต่พลังแห่งการใช้เหตุผลและสติปัญญา การบังคับจึงเป็นการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้เกิดภาวะกลับกลอก ความไม่จริงใจและการฉกฉวยโอกาส การบังคับจึงไม่มีวันเนรมิตให้เกิดกระแสการตอบรับด้วยความเต็มใจได้ถึงแม้ ต้องทุ่มงบประมาณอันมหาศาลแค่ไหนและใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม

 

          ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงตระหนักและให้ความสำคัญในเรื่องการให้ความอิสระในการนับถือศาสนาสำหรับคนต่างศาสนิก " อิสลามจึงยึดมั่นในหลักการที่ว่า ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา "  ภารกิจหลักประการเดียวที่อิสลามมอบหมายไว้ให้แก่บรรดาศาสนทูตและเหล่าทายาท อันได้แก่ บรรดาอุละมาอฺ (ผู้รู้) คือการเผยแผ่ศาสนาและการนำเสนออิสลามแก่ประชาคมโลกด้วยจรรยาบรรณอันสูงส่ง กริยามารยาทที่สวยงาม ความอดทนที่มั่นคง ถึงแม้มนุษย์ทั้งผองจะปฏิเสธการเชิญชวน แต่มุสลิมต้องไม่ย่อท้อที่จะเผยแผ่ความดีงามแก่มนุษยชาติ ดังอัลลอฮฺทรงตรัสว่า

" ดังนั้นหากพวกเขาผินหลังกลับ (ไม่ยอมศรัทธา) แท้จริงหน้าที่ของเจ้าคือการแจ้งข่าวอย่างชัดแจ้งเท่านั้น"

 (16/82)

 

 


อิกเราะฮ์ออนไลน์