เตาฮีดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม
  จำนวนคนเข้าชม  9957

 

 

เตาฮีดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม


โดย ... อิสมาอีล  กอเซ็ม


          จากประวัติของมนุษยชาติเราคงไม่เคยเห็นบุรุษที่มีความยิ่งใหญ่ และชื่อเสียงของท่านนั้นไม่เคยเลือนหายไปจากโลกใบนี้เลย  ท่านผู้นั้น คือ ท่านนะบีมุฮัมมัด ท่านคือนักปฏิรูปสังคม จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติอาหรับ ก่อนการมาของศาสนาอิสลาม จะพบว่าสังคมอาหรับ คือ สังคมที่ขาดความรู้ และ วิชาการแขนงต่างๆจมอยู่กับอวิชา  ความงมงาย ความเชื่อที่หลงผิด  และปัญหาทางสังคมมากมาย 

          ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นยากที่จะแก้ไขได้  เช่น ปัญหาการดูถูกเหยียดหยามผู้หญิง  ไม่ให้เกียรติผู้หญิง มองผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่าในสังคม  จนในยุคนั้นมักจะฝังลูกผู้หญิงทั้งเป็น  เพราะกลัวความอับอายที่จะเกิดจากการมีลูกผู้หญิง  ผู้หญิงเมื่อสามีตายนางไม่มีสิทธิ์ที่จะรับมรดก แถมนางยังต้องตกเป็นมรดกของคนอื่นแล้วแต่จะแบ่งปันกัน  

 

          การรบราฆ่าฟันกันระหว่างเผ่ามีแต่การแก้แค้นไม่มีผู้ที่จะไกล่เกลี่ยสงบศึก  และปัญหาอีกมากมายที่ทำให้สังคมอาหรับต้องจมปลักอยู่กับความมืด    แต่แล้วแสงสว่างแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่   ที่เป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเลือกตัวแทนให้มาทำหน้าที่นี้  คือ การนำพามนุษย์ออกจากการเป็นทาสมนุษย์ด้วยกัน มาสู่การเป็นบ่าวของอัลลอฮ์  ซุบหานาอูวาตาอาลา   การเริ่มต้นของท่านนะบี มุฮัมมัด เหมือนดั่งคนแปลกหน้า ที่ไม่มีใครรู้จัก  และเป็นเรื่องต้องอาศัยความศรัทธาที่หนักแน่น จึงจะสามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้  นั่นคือการนำสาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้ามาประกาศและเรียกร้องผู้คนมาสู่สัจธรรม 

          แต่ไม่มีการเรียกร้องใดๆ  ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้  นอกจากการเรียกร้องมาสู่การศรัทธา ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว  เรียกร้องมาสู่การยอมรับว่า อัลลอฮ์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่สมควรได้รับการเคารพภักดี  ดังนั้นการสร้างความศรัทธาในเรื่องพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก  ท่านนะบี ได้สร้างหลักการศรัทธาให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อต่อพระเจ้าอยู่แล้ว คือพวกมุชริกีน(บรรดาผู้ที่ตั้งภาคี)ในเมืองมักกะฮ์ โดยที่พวกเขายอมรับการมีอยู่ของอัลลอฮ์ เชื่อว่าอัลลอฮ์ คือผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ให้เป็น ให้ตาย ประทานปัจจัยยังชีพต่างๆ   แต่กลับไม่ยอมรับว่าอัลลอฮ์  คือพระเจ้าองค์เดียว พวกเขามีพระเจ้าอื่นในการเคารพภักดีพร้อมกับการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์  สภาพของพวกเขาจึงไม่ถูกเรียกว่ามุสลิม เพราะมีแค่เตาฮีดอัรรูบูบียะ คือ การเชื่อว่าอัลลอฮ์ เป็นพระเจ้าเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีการเคารพภักดีต่อพระองค์ เพียงเท่านั้นไม่ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นมุสลิม

 

          การที่จะสร้างประชาชาติอิสลามให้เป็นหนึ่ง  คือการสร้างหลักความเชื่อที่เป็นเอกภาพ ซึ่งเป็นหลักความเชื่อที่มาจากอัลลอฮ์ และการทำให้ผู้คนเข้าใจอากีดะห์ที่ถูกต้อง นั่นคือสิ่งแรกที่บรรดาผู้ทำหน้าที่เรียกร้องจะต้องตระหนัก เหมือนดังที่ท่านนะบี ได้ส่งท่าน มุอาซ  ไปยังไปประเทศยะมัน(เยเมน) เพื่อทำการเรียกร้องชาวคัมภีร์  หรืออะฮ์ลุลกีตาบ ให้มาสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  ดังหะดีษต่อไปนี้

لما بعث معاذا إلى اليمن قال إنك تقدم على قوم أهل كتاب فإذا جئتهم فادعهم إلى أن يشهدوا أن لا إله إلا الله، وأن محمداً رسول الله فإن هم أجابوك لذلك فأخبرهم أن الله فرض عليهم خمس صلوات في يومهم وليلتهم فإذا فعلوا فأخبرهم أن الله قد فرض عليهم زكاة تؤخذ من أغنيائهم فترد على فقرائهم فإذا أطاعوا بها فخذ منهم وتوق كرائم أموالهم
إحدى روايات حديث معاذ المشهور وهي عند البخاري (1425، 4090)، ومسلم (19) عن ابن عباس.
 
          ขณะท่านนะบี ได้ส่งท่านมุอาซ ไปยังยะมัน ท่านได้กล่าวแก่มุอาซว่า 

 

“แท้จริงเจ้านั้น จะต้องไปหากลุ่มของชาวคัมภีร์  เมื่อไปถึงยังพวกเขา จงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขา ให้ยอมรับในการกล่าวคำปฏิญาณว่า

"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพโดยแท้จริงนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นเราะซูลของอัลลอฮ์"

 หากพวกเขาตอบรับเจ้า (หมายถึงตอบรับการเชิญชวน) จงบอกพวกเขาว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้กำหนดให้ละหมาดวันและคืนหนึ่งห้าเวลา

หากพวกเขาปฏิบัติตาม(หมายถึงปฏิบัติละหมาด)ก็จงบอกพวกเขาว่า อัลลอฮ์ได้กำหนดให้จ่ายซากาต

โดยที่ไปเอาจากคนรวยมามอบให้แก่บรรดาผู้ที่ยากจนในหมู่พวกเขา 

หากพวกเขาเชื่อฟังในเรื่องซากาต เจ้าจงเอาจากพวกเขา และเจ้าจงระวัง ในทรัพย์สมบัติที่มีค่าของพวกเขา”

 

(สายรายงานหนึ่งจากสายรายงานต่างๆ ของะดีษท่านมุอาซที่เป็นที่รู้จัก ที่อยู่ในซอเอียะ อัลบุคอรี)

          จากหะดีษจะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่า การให้มีความเข้าใจในหลักเตาฮีด หลักความเชื่อที่ถูกต้อง ซึ่งชาวคัมภีร์ หรืออะฮ์ลุลกีตาบ มีหลักศรัทธาต่ออัลลลอฮ์อยู่แล้ว  และทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เช่นกัน  แต่เมื่อท่านนะบี ถูกส่งมา การอิบาดะห์ในรูปแบบเดิมของพวกเขานั้นใช้ไม่ได้ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ท่านนะบี ได้นำมา ทั้งๆที่ชาวคัมภีร์มีความเชื่อต่ออัลลอฮ์อยู่แล้ว แต่การเริ่มนำเสนออิสลามให้แก่พวกเขาต้องเริ่มต้นในการทำความเข้าใจ หลักความเชื่อที่ถูกต้องเสียก่อน ถึงจะให้ปฏิบัติในบทบัญญัติข้อต่อๆ ไป 

 

          ในปัจจุบันมุสลิมมีมาก แต่มีมุสลิมจำนวนมากที่ไม่เข้าใจในเรื่องหลักความเชื่อที่ถูกต้อง  จึงเป็นเหตุให้มุสลิมมีแต่จำนวน แต่ขาดพลังความน่าเกรงขาม และเป็นสาเหตุให้สังคมมุสลิมไม่พัฒนา เพราะบางกลุ่มเคร่งครัดในสิ่งที่ไม่ได้มาจากบทบัญญัติของอัลอิสลาม  บางครั้งเคร่งครัดในเรื่องที่เป็นซุนนะฮ์ แต่ละทิ้งสิ่งที่เป็นวาญิบ และหลักความเชื่อของบางกลุ่มไปค้านกับหลักความเชื่อของอิสลาม และอีกมากที่ต้องแก้ไขและปรับปรุง จากบรรดาผู้รู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาของพระองค์  

 

          คนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าพลังของมุสลิม คือการรวมพลให้มีจำนวนมากและอยู่ด้วยกัน  โดยที่ไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นมีหลักความเชื่อเดียวกันหรือไม่  โดยเฉพาะงานเผยแผ่ศาสนา ถ้าหลักความเชื่อไม่ถูกต้องการทำงานย่อมไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ทำไมผู้ที่ร่วมทำสงครามบะดัรพร้อมกับท่านนะบี  จึงได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์  ทั้งที่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าศัตรู เพราะการมีหลักความเชื่อมั่นอันเดียวกัน เป็นหลักความเชื่อที่ได้รับการปลูกฝังจากท่านนะบี  และอัลลอฮ์ จะช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ที่มีหลักความเชื่อที่ถูกต้อง 

          เมื่อได้ศึกษาถึงการล่มสลายของอาณาจักรอิสลามในยุคต่างๆ เช่น ราชวงค์อับบาซีย์  ระบบคอลีฟะที่ล่มสลาย อาณาจักรอุสมานียะ ระบบปกครองโดยคอลีฟะอาณาจักรสุดท้ายได้ล่มสลายไป เราจะพบว่าในแต่ละยุคผู้คนต่างหันเหออกจากหลักความเชื่อที่ถูกต้อง จึงเป็นสาเหตุให้ศัตรูอิสลามหมดความเกรงกลัว ความสงบสุขและความช่วยเหลือในอัลลอฮ์ ที่ทุกคนต่างถามหาจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่แก้ไขหลักความเชื่อที่ถูกต้องให้แก่คนในสังคม ในชุมชนของเรา  ทำการปลูกฝังเยาวชนรุ่นใหม่ให้เข้าใจในอิสลามที่ถ่องแท้ ความรุ่งเรืองของอิสลามที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คงจะกลับมาอีกครั้ง 

 

          ในปัจจุบันมีแนวทางต่างๆที่อ้างอิงศาสนาอิสลาม แต่เป็นแนวทางที่จ้องทำลายหลักความเชื่อของศาสนา สาเหตุที่ประชาติอิสลามไม่สามารถรวมตัวกันได้ทั้งๆที่มีมุสลิมจำนวนมาก และมุสลิมถูกเข่นฆ่า ถูกรังแก กดขี่ข่มเหง ซึ่งในจำนวนที่มากมายของมุสลิมกลับไม่สามารถที่จะหักห้ามการทารุณต่อพี่น้องมุสลิมได้  เนื่องจากหลักความเชื่อได้ถูกทำลายไป หรืออีกประเด็นหนึ่งคือ การไม่เข้าใจในเรื่องของอากีดะห์ที่แท้จริง อากีดะห์ อัลวาลาฮฺ (การมีความรักและการให้ความช่วยต่อผู้ศรัทธา) ได้หายไปหมด 

 

          ปัจจุบันคำถามที่ถามเกี่ยวกับหลักความเชื่อมีน้อยมาก ส่วนมากผู้คนจะถามในเรื่องของฟิกฮ์มากกว่า  เนื่องจากมุสลิมได้รับความรู้ในเรื่องอากีดะห์ เรื่องเตาฮีดน้อยมาก การเริ่มต้นของบรรดานักวิชาการในยุคปัจจุบัน ในการนำเสนอความรู้เกี่ยวกับเรื่องศาสนา มักไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องของอากีดะห์ หลักความเชื่อ เพราะหลายคนเข้าใจว่า เขาเชื่ออัลลอฮ์อยู่แล้ว  จึงไม่จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องนี้ให้มาก    มุชริกในยุคของท่านนะบี ก็มีความเชื่อต่ออัลลอฮ์ แต่ท่านนะบี กลับยังไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นมุสลิม   และในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกเรียกว่ามุสลิม และมีความเชื่อต่ออัลลอฮ์ ว่า อัลลอฮ์ คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ให้เป็นผู้ให้ตาย แต่ยังมีการตั้งภาคีในการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ เยี่ยงกับมุชริกีนในยุคของท่านนะบี  ฉะนั้นเราอย่าหลงดีใจกับจำนวนที่มากมายของคนที่ถูกเรียกว่ามุสลิม

         เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อต้องนำมาสอนผู้คนให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้  ถ้าบรรดามุสลิมมีความเข้าใจในเรื่องของ อากีดะ (หลักความเชื่อ ) ที่ถูกต้อง การขับเคลื่อนการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม จะไปได้อย่างรวดเร็ว  ท่านนะบีได้ใช้เวลาปลูกฝังเรื่องอากีดะห์แก่บรรดาศอหาบะห์ ที่เมืองมักกะฮ์เป็นเวลา 13 ปี จนพวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้น ท่านนะบี จึงได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ ในการนำเสนอเรื่องบทบัญญัติต่าง ซึ่งพวกเขาปฏิบัติตามโดยทันที

 

          ในปัจจุบันมีมุสลิมบางส่วนไม่ละหมาด  ไม่ถือศีลอด ไม่จ่ายซากาต   เนื่องจากพวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องอากีดะห์    บรรดาผู้รู้ที่ทำหน้าที่สอนศาสนาจะต้อง ดำเนินตามรูปแบบที่ท่านนะบีได้ปฏิบัติไว้ 

          ที่ลืมเสียไม่ได้ในการทำงานศาสนา คือ อัลอิคลาศ ความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ หวังในความโปรดปรานจากพระองค์ การงานที่เราทำจะถูกตอบรับ ณ ที่ อัลลอฮ์ อย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮ์