เพื่อปลดเปลื้องความแห้งแล้ง
  จำนวนคนเข้าชม  6534

เพื่อปลดเปลื้องความแห้งแล้ง


 
          อัลกุรอานที่คนมุสลิมทั่วโลกศรัทธากันในวันนี้คือพระมหาคัมภีร์ปาฏิหารย์ อันจีรังและพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันชัดแจ้ง  แท้จริงอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลพระองค์ทรงได้ประทานอัลกุรอานลงมาในคืนอันจำเริญ ซึ่งเป็นคืนอัน ประเสริฐยิ่งของเดือนเราะมะฎอน   แท้จริงพระองค์ทรงตักเตือนมนุษยชาติ ด้วยพระบัญชาของพระองค์ในพระคัมภีร์เล่มสุดท้าย นั่นคือ อัลกุรอาน

          ทุกๆ  กิจการที่สำคัญของมนุษย์ได้ถูกจำแนกและถูกจัดเตรียมไว้ โดยที่อัลลอฮฺทรงคัดเลือกคืนอันมีเกียรติยิ่งนัก เพื่อประทานคัมภีร์ฉบับสุดท้ายให้แก่ศาสนทูตคนสุดท้ายของพระองค์

          แท้จริงอัลกุรอานนั้นคือพระบัญชามาจากอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งมนุษยชาติ  พระองค์   ส่วนคัมภีร์อัลกุรอานมาเพื่อเป็นความเมตตามาจากพระเจ้าให้แก่พวกเราแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ พระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง  หากพวกมันเป็นผู้เชื่อมั่น

          ไม่มีพระเจ้าใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้      นอกจากอัลลอฮฺพระองค์เดียว  แท้จริงพระองค์นั้นคือ    พระเจ้าผู้ทรงให้เป็นและผู้ทรงให้ตาย     พระเจ้าของพวกเราและพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเราในสมัยก่อน ๆ   ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธอัลลอฮฺพระผู้สร้างเรา  และพวกที่มิได้มีความเชื่อมั่นในคัมภีร์อัลกุรอาน          พวกเขาเหล่านั้นจะคงอยู่ในการสงสัยในเรื่องการฟื้นคืนชีพ  และพวกเขากังวล เหยียดหยาม หยิ่งยโส

          ในสมัยที่ท่านมุฮัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮฺได้เผยแผ่ศาสนาอิสลาม ในเมืองมักกะฮ  หมู่ชนของท่านได้ปฏิเสธและเย้ยหยันการเรียกร้องของท่าน   และอัลลอฮฺได้ทรงตักเตือนพวกเขาพร้อมปลอบใจท่านศาสนทูตของพระองค์ว่า: “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำไอหมอกออกมาซึ่งจะเห็นชัด  แล้วจะครอบคลุมผู้คน”

          ดังนั้น อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขาด้วยความแห้งแล้ง  ในวันเวลาที่ท้องฟ้าซึ่งหมอกอย่างหนาทึบออกมา  ซึ่งทุกคนมองเห็นได้ชัดแจ้ง  และได้ปกคลุมพวกเขาในทุกๆ ด้าน   พวกเขาก็เลยกล่าวว่า:  “นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด”  

          แล้วพวกเขาก็ได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺว่า :  “ข้าแต่พระเจ้าของข้า   ขอให้พระองค์ทรงได้ปลดเปลื้องการลงโทษอันนี้ให้พ้นจากข้าพระองค์ด้วยเถิด  แท้จริงพวกข้าเป็นผู้ศรัทธา”

         ข้อตักเตือนนั้นหาป็นผลแก่พวกเขาไม่ ทั้งๆ  ที่ได้มีท่านมุฮัมมัดศาสนทูตของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ชี้แจงอย่างชัดเจนมายังพวกเขาแล้ว  แต่พวกเขาก็ผินหลังออกไปจากท่ามุฮัมมัดศาสนทูตของพระองค์     และพวกเขาก็ได้กล่าวแก่ท่านมุฮัมมัดศาสนทูตของพระองค์ว่า “เป็นคนบ้าทีได้รับการเสี้ยมสอน”

          หลังจากนั้น  อัลลอฮฺทรงได้ปลดเปลื้องการลงโทษนั้นให้พ้นไปจากพวกเขาในระยะหนึ่ง  แล้วพวกเขาก็กลับไปสู่สภาพเดิม   คือการทำเคารพสักการะเจว็ดต่าง ๆ  การดื้อรั้น และการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พวกเขาไม่รักษาคำมั่นสัญญาขณะที่วิงวอนขอเมื่ออยู่ในสภาพคับขัน

โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย ! พวกท่านจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเถิด  และจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านมุฮัมมัดศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระองค์เถิด และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ศรัทธา

โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย ! ฉันกลัวแทนพวกท่าน  ถึงวันแห่งการลงโทษของอัลลอฮฺ วันที่พระองค์จะทรงปราบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ด้วยการปราบครั้งยิ่งใหญ่  แน่นอนพระองค์เป็นผู้ตอบแทนอย่างสาสม

          ฉันขอเชิญชวนท่านซึ่งเป็นพี่น้องของฉัน เพื่อท่านหันกลับมานับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาอันดังเดิมที่นับถือ โดยอาดัมต้นตระกูลของมวลมนุษย์ทั้งโลก

          และหากพวกท่านปฏิเสธการเรียกร้องของฉัน   ในฐานะที่ฉันเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาอิสลามตามแนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัดศาสนทูตท่านสุดท้ายของอัลลอฮฺ  แน่นอน  ท่านมุฮัมมัดศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระองค์ก็ได้ถูกปฏิเสธมาแล้ว และบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย   ของพระองค์ในสมัยก่อน ๆ     ก็ได้ถูกปฏิเสธมาก่อนแล้วเหมือนกัน

          แน่นอน อัลลอฮฺทรงได้ทดสอบหมู่ชนของฟาโรห์ และ ได้มีท่านนบีมูซา(โมเสส)ศาสนทูตผู้มีเกียรติมายังหมู่ชนของฟาโรห์  โดยท่านนบีมูซาได้กล่าวว่า:

 “จงมอบปวงบ่าวของอัลลอฮฺให้แก่ฉัน  แท้จริงฉันคือศาสนทูตผู้ซื่อสัตย์มายังพวกท่าน และพวกท่านอย่ายกตัวเหนืออัลลอฮฺ   แท้จริงฉันมาหาพวกท่านพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งและแท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่านมิให้พวกท่านทำร้ายฉัน  และถ้าหากพวกท่านไม่เชื่อฉันก็จงถอยห่างออกไปจากฉัน”

          เมื่อพวกฟาโรห์ปฏิเสธและยืนกรานที่จะทำร้ายและจะฆ่าท่านนบีมูซาศาสนทูตของพระองค์  แล้วท่านนบีมูซาก็วิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาว่า: “ชนเหล่านี้เป็นหมู่ชนผู้กระทำผิด”

          ฟาโรห์และพรรคพวกได้ปฏิเสธศรัทธา  พวกเขาเป็นผู้อธรรมยิ่ง   และพวกเขาจะฆ่าท่านนบีมูซาพร้อมกับบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

          ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทรงบัญชาให้แก่ท่านนบีมูซาศาสนทูตของพระองค์ว่า   : “จงเดินทางในเวลากลางคืน  พร้อมด้วยปวงบ่าวของข้า  เพราะพวกเจ้าจะถูกติดตามแน่นอน  และจงปล่อยทะเลให้สงบนิ่ง (เหมือนเดิม) เพราะแท้จริงพวกเขาเป็นไพร่พลจมน้ำตาย”

          ฟาโรห์พร้อมพรรคพวกของเขาได้ทิ้งสวนหลากหลาย  และน้ำพุหลายแห่ง  และเรือกสวน ไร่นา  อาคารระโหฐานอันมีเกียรติและความสะดวกสบายที่พวกเขาสนุกสนานร่าเริง เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงได้ให้หมู่ชนอื่นรับมรดกครอบครองมัน  คือ หลังฟาโรห์และพรรคพวกของเขาได้ถูกจมน้ำตายหมดแล้ว

           การสูญเสียของพวกเขาในครั้งนี้   ไม่มีผู้ใดเสียใจร้องไห้เพราะความเสียดายเลย ชั้นฟ้าและแผ่นดินมิได้ร่ำไห้เพราะเสียดายพวกเขา  และพวกเขาจะไม่ถูกประวิงเวลา  เมื่อถึงเวลาที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้  พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขา   และพระองค์ทรงให้วงศ์วานของอิสรออีลรอดพ้นจากการทรมานอย่างน่าอดสูจากฟาโรห์  แท้จริงฟาโรห์นั้นเขาเป็นผู้โอหังที่มาจากบรรดาผู้ฝ่าฝืน

           และโดยแน่นอน  พระองค์ได้เลือกวงศ์วานของอิสรออีลเหนือประชาชาติทั้งหลายในยุคนั้น   เนื่องด้วยความรอบรู้ของพระองค์   และพระองค์ทรงได้ประทานสัญญาณต่างๆ  แก่พวกเขาเป็นการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่    เช่น ทะเลแยกอกจากกัน ให้เมฆเป็นร่มเงาแก่พวกเขา และให้น้ำผึ้งและนกคุ่มเป็นอาหารแก่พวกเขาในยามหลงทางและอื่นจากนั้น เพื่อเป็นการทดสอบว่าพวกเขาจะเป็นผู้ขอบคุณหรือผู้ทรยศ

          แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ  และไม่เชื่อฟังท่านมุฮัมมัดศาสนทูตแห่งยุคของเรานี้  แน่นอนพวกเขาไม่เชื่อการมีวันฟื้นคืนชีพ  และพวกเขาจะกล่าวว่า :

“มันเป็นเพียงความตายครั้งแรกของเราและเราจะไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก   ดั้งนั้น  จงนำบรรพบุรุษของเรากลับมาอีกซิ หากท่านเป็นผู้สัตย์จริง”

         พวกผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านมุฮัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮฺดีกว่า หรือว่าหมู่ชนของตุบบะอฺ (ชาวสะบะอฺแห่งเยเมน)และบรรดาหมู่ชนก่อนหน้าพวกเขาดีกว่า   ?  ซึ่งอัลลอฮฺทรงได้ทำหลายล้างพวกเขา   เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้กระทำผิดและปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

         และอัลลอฮฺมิได้สร้างชันฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่างไร้สาระ  พระองค์มิได้สร้างทั้งสองนั้น เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อความจริงและเพื่อจะดูว่าใครเป็นผู้ขอบคุณ ใครเป็นผู้เนรคุณ    ทั้งนี้หลังจากที่สารอิสลามได้มาถึงพวกเขา  แต่ว่าส่วนมากพวกเขาไม่รู้

         แท้จริงวันแห่งการตัดสินนั้นเป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับพวกเขาทั้งหมด วันที่ญาติสนิทจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดให้แก่ญาติสนิทอีกคนหนึ่งได้     และพวกเขาเองก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ    เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮฺทรงมีเมตตา    แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

         แท้จริงต้นซักกูมในนรกจะเป็นอาหารแก่ชาวนรก     เพราะเขาคือผู้ทำบาปมากและผู้เนรคุณต่ออัลลอฮฺ     มันเป็นเสมือนทองแดงที่ถูกต้มเดือดอยู่ในท้องของพวกเขาเหมือนกับน้ำร้อนที่เดือดพล่าน  และมีเสียงแก่ยามเฝ้านรกว่า: 

“จงจับเขาไปและลากเขาไปสู่กลางไฟลุกโชน  แล้วจงราดลงบนหัวเขาเป็นการลงโทษแห่งน้ำเดือด   จงลิ้มรสการลงโทษซิ   แท้จริงเจ้า(เคยพูดว่า)เป็นผู้มีอำนาจ ผู้มีเกียรติ แท้จริง  นี่คือสิ่งที่เจ้าเคยสงสัยไว้”

          แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พวกเขาจะอยู่ในสถานที่อันสงบ  และปลอดภัย    ท่ามกลางสวนสวรรค์หลากหลาย  และน้ำพุอีกหลายแห่ง  พวกเขาจะสวมอาภรณ์ทำด้วยผ้าไหมละเอียด  และผ้าไหมหยาบ หันหน้าเข้าหากัน  เช่นนั้นแหละ   อัลลอฮฺจะให้พวกเขามีคู่ครองเป็นหญิงสาววัยรุ่นมีดวงตาสวยงาม   พวกเขาจะเรียกเอาผลไม้ทุกชนิดที่อยู่ในสวนสวรรค์นั้นอย่างปลอดภัย 
ในสวนสวรรค์นั้น      พวกเขาจะไม่ได้ลิ้มรสความตายนอกจากความตายครั้งแรก(ในโลกดุนยาแห่งนี้ ) และพระองค์จะทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรก    เป็นความโปรดปรานจากพระเจ้าของเรา   นั่นคือความสำเร็จอันใหญ่หลวง

          ดังนั้น    อัลลอฮฺจึงได้ทรงทำให้อัลกุรอานเป็นที่ง่ายดายในภาษาอาหรับเพื่อพวกเราจะได้ใคร่ครวญ   หวังว่าพวกท่านจะศรัทธา และมีความยำเกรง มีคุณธรรม ต่อพระองค์อัลลอฮฺ  แต่ส่วนมากของมวลมนุษย์ไม่ใคร่ครวญ 

          ดังนั้น สิ่งที่พวกปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺจะได้รับ    คือ ความหายนะและไฟนรก  และสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลามจะได้รับ  คือ  ความสำเร็จ ชัยชนะและสวนสวรรค์

ฉะนั้น  จงคอยดูเถิด  แท้จริงพวกเขาก็จะเป็นผู้คอยดูเช่นกัน. 

          ท่านจงกล่าวเถิด คำปฏิญาณว่า : “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ, มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮฺ” “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺ” แน่นอน ท่านจะพบกับความสันติสุขในโลกนี้ และท่านจะพ้นจากไฟนรก และจะได้เข้าสวนสวรรค์ในวันปรโลก


ผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮฺ

บ่าวของอัลลอฮฺ / อะหมัดซิดดิก อับดุลรอฮฺหมาน

Islam House