ข้อบัญญัติ(หุก่ม)ของการอิอฺติกาฟและหลักฐาน
คำถาม อะไรคือข้อบัญญัติของการอิอฺติกาฟ?
คำตอบ อัลหัมดุลิลลาฮฺ
ประการแรก การอิอฺติกาฟนั้นมีตัวบทบัญญัติไว้ทั้งในอัลกุรอาน อัสสุนนะฮฺ และอัลอิจญฺมาอฺ หลักฐานในอัลกุรอานคือ คำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
«وَعَهِدْنَا إِلَى إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ أَنْ طَهِّرَا بَيْتِيَ لِلطَّائِفِينَ وَالْعَاكِفِينَ وَالرُّكَّعِ السُّجُودِ»
“และเราได้บัญชาให้อิบรอฮีมและอิสมาอีลทำความสะอาดบ้านของเรา เพื่อพวกที่เฏาะวาฟ พวกที่พำนักอยู่ (อิอฺติกาฟ) และพวกที่รุกูอฺสุญูด”
[อัลบะเกาะเราะฮฺ: 125]
และคำตรัสของอัลลอฮฺอีกอายะฮฺหนึ่งว่า
«وَلا تُبَاشِرُوهُنَّ وَأَنْتُمْ عَاكِفُونَ فِي الْمَسَاجِدِ»
“และท่านทั้งหลาย อย่าร่วมประเวณีกับภรรยาของพวกท่าน ขณะที่พวกท่านอยู่ในมัสยิด (โดยตั้งเจตนาอิอฺติกาฟ)”
[อัลบะเกาะเราะฮฺ: 167]
ส่วนในอัสสุนนะฮฺนั้นมีบัญญัติไว้ในตัวบทหะดีษเป็นจำนวนมาก เช่น หะดีษท่านหญิงอาอิชะฮฺ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮา)กล่าวว่า
«كَانَ يَعْتَكِفُ الْعَشْرَ الأَوَاخِرَ مِنْ رَمَضَانَ حَتَّى تَوَفَّاهُ اللَّهُ ، ثُمَّ اعْتَكَفَ أَزْوَاجُهُ مِنْ بَعْدِهِ»
“ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้อิอฺติกาฟในสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน
ต่อมาบรรดาภรรยาของท่านได้ทำการอิอฺติกาฟ ภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป”
[บันทึกโดยอัลบุคอรี (2026) และมุสลิม (1172)]
และในส่วนของการอิจญฺมาอฺนั้น มีอุละมาอฺหลายต่อหลายท่านรายงานอิจญฺมาอฺว่าการอิอฺติกาฟเป็นที่บัญญัติในศาสนาอิสลาม เช่นท่านอันนะวะวียฺ อิบนุกุดดามะฮฺ และอิบนุตัยมิยฺยะฮฺ เป็นต้น
โปรดดูในหนังสืออัลมัจญฺมูอฺ (6/404) หนังสืออัลมุฆฺนียฺ (4/456)และหนังชัรหุลอุมดะฮฺ(2/711)
ท่านอิบนุบาซฺได้กล่าวไว้ในมัจญฺมูอุลฟะตาวา(15/437) ความว่า
“ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าการอิอฺติกาฟในมัสญิดนั้นเป็นการสร้างความใกล้ชิดกับเอกองค์อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา (อัลกุรบะฮฺ) และการอิอฺติกาฟในเดือนเราะมะฎอนนั้นประเสริฐกว่าเดือนอื่นๆ และการอิอฺติกาฟถูกบัญญัติทั้งในเดือนเราะมะฎอนและนอกเหนือเดือนเราะมะฎอน” [คัดมาอย่างสรุป]
ประการที่สอง บัญญัติ(หุก่ม)ของการอิอฺติกาฟนั้นเป็นสุนนะฮฺไม่ใช่วาญิบ นอกจากว่าจะมีการนะซัรฺ(บนบาน)ว่าจะกระทำจึงถือว่าเป็นสิ่งวาญิบ ทั้งนี้เนื่องจากคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ว่า
«مَنْ نَذَرَ أَنْ يُطِيعَ اللَّهَ فَلْيُطِعْهُ ، وَمَنْ نَذَرَ أَنْ يَعْصِيَهُ فَلا يَعْصِهِ»
“ใครก็ตามที่ได้ทำการนะซัรฺ(บนบาน)ว่าจะปฏิบัติในสิ่งที่เป็นการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแล้ว เขาผู้นั้นจงปฏิบัติตามคำบนบานนั้นๆ
และใครก็ตามที่ได้ทำการนะซัรฺ(บนบาน)ว่าจะปฏิบัติในสิ่งที่เป็นการทรยศต่ออัลลอฮฺแล้ว เขาผู้นั้นอย่าได้ปฏิบัติตามคำบนบานนั้นๆ”
[รายงานโดยอัลบุคอรี (6696)]
และเนื่องจากท่านอุมัรฺ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ)เคยกล่าวกับท่านนบีว่า
يَا رَسُولَ اللَّهِ ، إِنِّي نَذَرْتُ فِي الْجَاهِلِيَّةِ أَنْ أَعْتَكِفَ لَيْلَةً فِي الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ . قَالَ : « أَوْفِ بِنَذْرِكَ »
“โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ แท้จริงฉันเคยบนบานไว้ก่อนที่ฉันจะเข้ารับอิสลามว่าฉันจะทำการอิอฺติกาฟในมัสญิดอัลหะรอมหนึ่งคืน
ท่านนบีตอบว่า “ท่านจงปฏิบัติตามคำบนบานของท่านเถิด”
[รายงานโดยอัลบุคอรี (6697)]
และท่านอิบนุมุนซิรฺ ได้กล่าวในหนังสือ(อัลอิจญฺมาอฺ)ของท่าน(หน้า 53)ว่า
"وأجمعوا على أن الاعتكاف سنة لا يجب على الناس فرضا إلا أن يوجبه المرء على نفسه نذرا فيجب عليه" اهـ
“และบรรดาอุละมาอฺได้มีมติเอกฉันท์ว่าการอิอฺติกาฟนั้นเป็นสุนนะฮฺไม่ใช่เป็นสิ่งที่วาญิบแก่มุสลิม
นอกจากว่าเขาจะจงใจทำให้มันเป็นสิ่งวาญิบสำหรับเขาด้วยการนะซัรฺ(บนบาน) เช่นนั้นแล้วจึงถือเป็นสิ่งวาญิบแก่เขา”
โปรดดูรายละเอียดในหนังสือ “ฟิกฮุล อิอฺติกาฟ”ของดร.คอลิด อัลมุชัยกิหฺ หน้า 31
ที่มา : www.islamqa.com/ar/ref/48999
แปลโดย: ดานียา เจะสนิ / Islam House