บัญญัติเกี่ยวกับการถือศีลอดของผู้ป่วย
  จำนวนคนเข้าชม  40993

บัญญัติเกี่ยวกับการถือศีลอดของผู้ป่วย

โดย : อุมมุรีม

 

 

เมื่อใดที่อนุญาตให้ผู้ป่วยละศีลอดได้?

          อัลเลาะห์ ทรงผ่อนผันให้ผู้ป่วยละศีลอดในเดือนรอมฎอนได้ ชอบให้ผู้ป่วยละศีลอดหากผู้ป่วยประสบกับความยากลำบากในการถือศีลอดเกินกว่าจะอดทนได้ หรือป่วยหนักจนเกรงว่าหากถือศีลอดแล้วจะเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง หรือถ้าถือศีลอดแล้วอาการจะยิ่งทรุดหนักยิ่งขึ้นหรือจะหายจากอาการป่วยช้าไปอีกเป็นต้น เพราะอัลเลาะห์ได้ทรงผ่อนผันให้ผู้ป่วยละศีลอดได้ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงผ่อนผันนับเป็นการดี เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ เมื่อหายป่วยแล้วก็ให้ถือศีลอดใช้ให้ครบตามจำนวนที่ขาดไป

ดังดำรัสของอัลเลาะห์ ที่ว่า :

(คือถูกกำหนดให้ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน) ในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วย หรืออยู่ในการเดินทางก็ให้ถือใช้ในวันอื่น

(อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 184)

          และหากการถือศีลอดจะก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็จำเป็นแก่ผู้ป่วยที่จะต้องละศีลอด

อัลเลาะห์ ตรัสว่า :

 "และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ"

          (อันนิซาอฺ 4 : 29) 

สิ่งที่ทำให้เสียการถือศีลอด

ท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า :

         “สิ่งที่จะทำให้เสียศีลอดคือ สิ่งที่เข้าสู่ภายใน หาใช่สิ่งที่ออกมา(จากร่างกาย)”

          ดังนั้นการนำสิ่งใดเข้าสู่ภายในโดยเจตนา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะบำรุงร่างกาย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม หรือไม่บำรุง เช่นยา กล้องส่องภายใน หรือเครื่องมือทางการแพทย์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เสียศีลอดทั้งสิ้น

          นักวิชาการมีความเห็นขัดแย้งกันในคำกำจัดความของคำว่า “ภายใน” หรือ الجوف บางท่านให้ความหมายว่า : หมายถึง ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ซึ่งเริ่มจากลำคอ สิ้นสุดที่ทวารหนัก ทางเดินปัสสาวะ และช่องคลอดไม่นับว่าเป็นภายใน แต่มีนักวิชาการบางท่านเห็นว่าสิ่งที่เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะและช่องคลอดก็ทำให้เสียศีลอดเช่นกัน

          ส่วนตา หู จมูกนั้น และโพรงปากนั้น บรรดาอุละมาอฺไม่นับว่าเป็น หากแต่เป็นทางนำไปสู่ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น

 

          จากที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้นจึงพอสรุปได้ว่า สิ่งที่ทำให้เสียและไม่เสียศีลอด มีดังนี้ ;

 

1.   การสวนทวาร ยา และส่องกล้องที่สอดใส่ทางทวารหนัก เหล่านี้ทำให้เสียศีลอด เนื่องจากเข้าสู่ภายในร่างกาย ไม่ว่าจะสอดเข้าทางช่องปาก ช่องทวาร หรือทางอื่นๆ

2.   แพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้นิ้วสอดเข้าไปในทวาร หรือช่องคลอด หากสอดแค่ปากทวารไม่ทำให้เสียศีลอด แต่ถ้าลึกเขาไปภายใน ถือว่าทำให้เสียศีลอด

3.   กล้องส่องทางเดินอาหาร กระเพาะ ลำไส้ ทำให้เสียศีลอด

4.   กล้องส่องคอ หลอดลม และปอดไม่ทำให้เสียศีลอด เนื่องจากกล้องเหล่านี้สอดเข้าสู่หลอดลมโดยผ่านทางจมูก และโพรงจมูก โดยไม่เข้าสู่ภายในร่างกาย(ระบบทางเดินอาหาร)

5.   การฉีดยา (ที่ไม่ใช่เป็นยาบำรุงร่างกาย เช่นยารักษาโรค ยาชา) เข้าทางกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และใต้ผิวหนัง ไม่ทำให้เสียศีลอด

6.   การเจาะเลือด ตรวจเลือด ถ่ายเลือด ผ่าฝี และหนอง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยขนาดไหน ไม่ทำให้เสียศีลอด

7.   การหยอดตา ผงทาตา ยาหยอดหู ไม่ทำให้เสียศีลอด

          มีรายงานซึ่งบันทึกโดยอิมามอบูดาวูด ระบุว่า :

          “ท่านอนัส บิน มาลิก ใช้ผงทาตาขณะถือศีลอด”

          เพราะตัวยาเหล่านี้ไม่ได้เข้าสู่ร่างกาย แม้ว่าผู้ป่วยจะสัมผัสถึงความขมของยานี้ ก็เฉพาะที่ปลายลิ้น ซึ่งเป็นส่วนน้อยเกินกว่าจะกลืนได้

ท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า :

      “ไม่เป็นความผิดแต่ประการใด กับการชิมรสชาดของอาหาร หรือน้ำส้ม และกับการชิมรสชาติของสิ่งที่เขาต้องการจะซื้อ”

          ฮะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า อนุมัติให้ชิมอาหารได้ หากไม่เข้าสู่ลำคอ ดังนั้นยาหยอดซึ่งมีความจำเป็นกว่า หากไม่เข้าสู่ลำคอก็ไม่ทำให้เสียศีลอดเช่นเดียวกัน

8.   ยาพ่นหรือยาหยอดจมูก และเลือดกำเดาที่ไหลออกมาจากจมูกเหล่านี้ไม่ทำให้เสียศีลอด แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้ในเวลากลางวันขณะถือศีลอด หากผู้ป่วยสัมผัสได้ถึงรสชาติของยาหรือเลือดในปาก ให้รีบบ้วนออกโดยเร็ว จะไม่ทำให้เสียศีลอด แต่หาผู้ป่วยเจตนากลืนเข้าสู่ลำคอ การถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องชดใช้ในวันอื่น

9.   การหมดสติ หากผู้ป่วยหมดสติตลอดทั้งวัน (ตั้งแต่แสงอรุณปรากฏ จนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า) การหมดสติในลักษณะนี้ทำให้เสียศีลอด จำเป็นต้องถือศีลอดชดใช้ หากผู้ป่วยรู้สึกตัว และมีสติแม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆในกลางวัน การถือศีลอดของเขายังถือว่าใช้ได้ ให้ถือศีลอดต่อ

10.   เลือดที่ไหลซึมตามซอกฟัน และเหงือก การกลั้วปากด้วยยา การรักษาฟัน การแปรงฟัน ไม่ทำให้เสียศีลอด

มีรายงานจากท่าน อามิร อิบนิ รอบีอะห์ กล่าวว่า :

          “ฉันเห็นท่านรอซูล หลายครั้งหลายคราจนนับไม่ถ้วน ใช้ไม่ข่อยสีฟันในขณะที่ท่านถือศีลอด”

(บันทึกโดยท่านอิมาม อัตติรมิซีย์)

          แต่หากการมีเลือดหรือตัวยาเล็ดลอดลงสู่ลำคอ และผู้ป่วยรู้สึกถึงรสชาติของมันให้รีบบ้วนทิ้งไป หากเขาเจตนากลืนถือว่าการถือศีลอดเสีย จำเป็นต้องถือศีลอดชดใช้  แต่หากเลือดหรือตัวยา ลงสู่คอโดยไม่ทันระวังก็ไม่ทำให้เสียศีลอด

          อนึ่ง การรักษาฟันขณะถือศีลอดในกลางวัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ(มักรูฮฺ) ควรจะเลื่อนเวลารักษาไปหลังละศีลอดแล้ว นอกจากในกรณีจำเป็นจริงๆ เช่นปวดมากๆ จนทนไม่ไหวเป็นต้น

11.   การอาเจียน ผู้ป่วยที่อาเจียนออกมาเอง ไม่ทำให้การถือศีลอดเสีย แต่หากผู้ป่วยเจตนาอาเจียนออกมา การถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ไม่ได้

ท่านรอซูล กล่าวว่า :

          “ผู้ใดอาเจียนออกมาเอง ไม่จำเป็นแก่เขาที่จะถือศีลอดใช้ และผู้ใดเจตนาอาเจียนออกมา เขาจะต้องถือศีลอดใช้”

(บันทึกโดยอัลฮากิม)

12.   การสูดดมของหอม หรือยาดม หรืออื่นๆ ไม่ทำให้เสียศีลอด

         ท่านอิมามอิบนุตัยมียะห์ รอฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า :   “ไม่เป็นไรกับการสูดดมของหอมสำหรับผู้ถือศีลอด”

         ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีตัวบทในศาสนาที่ชี้ให้เห็นว่า ห้ามกระทำดังกล่าว

 

การถือศีลอดใช้ของผู้ป่วย

 

          ผู้ป่วยที่ขาดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน จำเป็นจะต้องถือศีลอดใช้ ไม่จำเป็นที่จะต้องชดใช้ทันทีหลังจากการหายป่วยแล้ว หรือหลังจากเดือนรอมฎอนสิ้นสุดลง แม้นว่าจะชอบให้รีบชดใช้ก็ตาม เพราะหนี้ของอัลเลาะห์  ควรแก่การชดใช้เป็นสิ่งแรก อนุญาตให้ชดใช้ได้ในเวลาใดก็ได้ แต่จะต้องไม่ใช่วันอีดทั้งสอง ไม่ใช่วันตัชรีก( 11-12-13 เดือนซุลฮิจญะห์) และจะต้องไม่ล่าช้าออกไปจนไปชนกับเดือนรอมฎอนในปีถัดไป

          มีรายงานว่าท่านหญิงอาอิชะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า :
          “นางเคยชดใช้การถือศีลอดที่นางค้างอยู่ของเดือนรอมฎอนในเดือนชะอฺบาน”

(บันทึกโดยอิมามมุสลิม)

          การถือศีลอดใช้นั้น จะถือต่อเนื่องเลย หรือจะเว้นระยะข้ามวันก็ได้ ท่านนบี  กล่าวว่า :
          “ถ้าเขาประสงค์จะถือศีลอดเว้นระยะหรือต่อเนื่องก็ได้”

(บันทึกโดยอัดดารุลกุฏนีย์)

          ผู้ที่หายจากการป่วย และล่าช้าในการชดใช้ จนกระทั่งรอมฎอนในปีถัดไปมาถึง นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันดังนี้ ;
 
 

ทัศนะที่หนึ่ง : เห็นว่าจำเป็นที่เขาจะต้องถือศีลอดใช้แม้จะล่าช้าโดนไม่ต้องเสียฟิดยะห์แต่ประการใด

หลักฐานของทัศนะนี้ก็คือ ดำรัสของอัลเลาะห์ ในซูเราะห์ อัลบะเกาะเราะห์ อายะห์ที่ 184 ที่ว่า :

           ก็ให้ถือใช้ในวันอื่น

           ในดำรัสนี้อัลเลาะห์ มิได้จำกัดหรือเจาะจง ดังนั้นจึงครอบคลุมหมด

 

ทัศนะที่สอง : เห็นว่า จำเป็นจะต้องถือศีลอดใช้โดยไม่ต้องเสียฟิตยะห์ หากมีเหตุขัดข้อง แต่ถ้าหากค้างถือศีลอดโดยไม่มีเหตุขัดข้อง แต่เป็นเพราะการปล่อยปะละเลย ก็จำเป็นจะต้องถือศีลอดใช้ พร้อมกับการเสียฟิตยะห์ มีรายงานจากท่านอิบนุอับบ๊าส กล่าวว่า :

          “ผู้ใดเพิกเฉยการละเลยในการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน จนกระทั่งเข้าสู่รอมฎอนในปีถัดไป ก็จำเป็นที่เขาจะต้องถือศีลอดเดือนรอมฎอนปีนั้นเสียก่อน แล้วจึงถือศีลอดใช้ในสิ่งที่ค้างไว้ และจะต้องให้อาหารแก่คนยากจนขัดสนหนึ่งคนต่อหนึ่งวัน(ฟิดยะห์)
 

(บันทึกโดยอัดดารุลกุฏนีย์) 
      

 

เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์