ข้อชี้ขาดสำหรับผู้ทิ้งละหมาด
โดย อิสมาอีล กอเซ็ม
ข้อชี้ขาดของบรรดานักปราชญ์สำหรับผู้ที่ทิ้งละหมาด
สำหรับปัญหาในประเด็นนี้ นักวิชาการได้มีความเห็นขัดแย้งกันตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยที่ท่านอีหม่ามอะหมัดได้กล่าวว่า
“ผู้ที่ได้ละทิ้งละหมาดนั้น เขาได้ตกศาสนา และจะต้องถูกฆ่า หากเขาไม่กลับเนื้อกลับตัว”
แต่ในทัศนะของ อะบูอะนีฟะฮฺ มาลิกและชาฟีอีย์ นั้น ยังไม่ตัดสินว่า ผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา แต่พวกเขาถือว่าผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นคนชั่วที่ฝาฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ และพวกเขายังมีความขัดแย้งในประเด็นอื่นอีกโดยที่มาลิก และชาฟีอีย์นั้นได้ให้ความเห็นว่า
“ผู้ที่ทิ้งละหมาดนั้นจะต้องถูกฆ่าในฐานะที่มีความผิด”
ส่วนอบูอะนีฟะฮฺนั้นมีความเห็นว่า ให้ขับไล่พวกเขา (หมายถึงผู้ที่ไม่ละหมาด) โดยไม่จำเป็นต้องฆ่า และเมื่อเรื่องดั่งกล่าวเป็นปัญหาที่ขัดแย้งกัน จำเป็นที่จะต้องนำปัญหานี้กลับสู่อัลกุรอาน และอัซซุนะฮฺ ซึ่งเมื่อเรากลับไปดูอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ เราจะพบว่าแท้จริงอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺของท่านนะบี ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ได้ละทิ้งละหมาดนั้น เป็นผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา
หลักฐานจากอัลกุรอาน
สำหรับหลักฐานในเรื่องนี้ จากอัลกุรอาน คำพูดของอัลลอฮ์ที่ว่า
"ดังนั้น หากพวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัว และพวกเขาได้ดำรงละหมาด และพวกเขาชำระซากาต ดังนั้นพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมศาสนากับพวกเจ้า"
และอีกอายะหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้กล่าวไว้ว่า
“ภายหลังจากพวกเขา ชนรุ่นหนึ่งก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทำการละทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามอารมณ์ใคร่
ต่อมาพวกเขาก็ได้ประสบกับความหายนะ เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธาและกระทำความดี
ชนเหล่านั้นแหละจะได้เข้าสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด”
(ซูเราะห์มัรยัม 59-60)
เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญอายะนี้ เราก็จะเห็นว่าอัลลอฮ์ได้กล่าวถึงกลุ่มชนที่จะมาทีหลัง โดยที่พวกเขาเป็นผู้ที่ละทิ้งละหมาด เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และจะต้องประสบกับความหายนะ นอกจากผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวได้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี และจากอายะนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ละหมาดก็คือผู้ปฏิเสธศรัทธา
และจากซูเราะห์อัตเตาบะฮฺ อัลลอฮฺได้กำหนดเงื่อนไขเพื่อที่จะให้ความเป็นพี่น้องร่วมศาสนาระหว่างเราและพวกตั้งภาคีไว้ 3 เงื่อนไข คือ
1. พวกเขาจะต้องเลิกการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ
2. พวกเขาจะต้องดำรงละหมาด
3. พวกเขาจะต้องชำระซากาต
ดังนั้นพวกเขาละทิ้งการตั้งภาคี แต่ไม่ละหมาดก็ไม่ถือว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมศาสนา และ เมื่อเราได้พิจารณาอายะอัลกุรอานที่อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงในกรณีที่ฆ่ากันตาย: ที่ว่า
“แล้วผู้ใดที่สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา ถูกอภัยให้แก่เขาแล้วก็ให้ปฏิบัติตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี”
(ซูเราะห์อัลบากอเราะห์ อายะที่ 178 )
ความหมายอายะนี้ก็คือ ผู้ใดที่ฆ่าผู้อื่นตาย โดยที่มีคนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายได้ให้อภัยแก่เขา โดยไม่ปรารถนาให้ผู้ที่ฆ่าต้องรับโทษคือ จะต้องถูกฆ่าให้ตายตามกัน ก็ให้ถือปฏิบัติตามนั้น ถึงแม้ว่าญาติคนอื่นจะไม่ยินยอมก็ตาม คำว่า “สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา” นั้นหมายถึงว่าได้มีการอภัยส่วนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายและใช้ถ้อยคำว่าพี่น้องของเขา ให้รู้สึกเป็นพี่น้องกันเพราะผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน
และจากอายะนี้ เช่นเดียวกันทำให้รู้ว่าการทิ้งละหมาดนั้นถือว่า เป็นการกระทำความร้ายแรงกว่าการฆ่าชีวิตของผู้อื่นเสียอีก โดยที่อิสลามยังถือว่าผู้ที่ฆ่ากันตายนั้นยังเป็นพี่น้องร่วมศาสนาอยู่ แต่อิสลามถือว่าผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เพราะเขาได้ละทิ้งละหน้าที่ของเขาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าซึ่งสร้างเขามา ดังนั้นจำเป็นสำหรับผู้ที่ละทิ้งละหมาดจะต้องกลับเนื้อกลับตัวขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ เพื่อว่าเขาจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์ และจะได้เข้าสวนสวรรค์ของพระองค์
หลักฐานจากอัซซุนนะฮฺ
ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า
“แท้จริงระหว่างคนคนหนึ่งกับการตั้งภาคี (ต่ออัลลอฮ์) และการปฏิเสธศรัทธา ก็คือ การทิ้งละหมาด”
และอีกคำพูดหนึ่งของท่านที่ว่า
“สัญญาหนึ่งที่จะมาแบ่งแยก ระหว่างเราและพวกเขา (หมายถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา) คือการละหมาด
ดังนั้นผู้ใดละทิ้งการละหมาด แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา”
บันทึกโดย อะหมัด อบูดาวูด อัตตีรมีซีย์
สำหรับคำว่า “ปฏิเสธ” ในหะดิษนี้ก็หมายถึง การปฏิเสธที่ทำให้ตกศาสนา เนื่องจากท่านนบีมูฮัมหมัด ได้ทำให้การละหมาดมาเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา และเป็นที่ทราบกันดีว่า แนวทางของการปฏิเสธไม่ใช่แนวทางของอิสลาม และผู้ใดที่ไม่รักษาสัญญานี้ (หมายถึงการละหมาด) ดังนั้นเขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธา
ความสำคัญของการละหมาดในอิสลาม
1. บัญญัติอิสลามได้ให้ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
2. การละหมาดนั้นเปรียบเสมือนเสาหลักของศาสนาผู้ใดที่ไม่ละหมาด ก็เหมือนกับเขา ได้ทำให้เสาหลักศาสนาล้มลง นั่นเท่ากับว่า เขาได้ทำลายศาสนาในตัวของเขาเอง
3. การละหมาดจะเป็นสิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ เหมือนหะดิษของ ท่านนะบี ที่ว่า
“สิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ ก็คือการละหมาด
ดังนั้นหากว่าการทำละหมาดนั้นดี แน่นอนเขาจะได้รับความสำเร็จ และได้รับความปลอดภัย
และหากว่าการละหมาดนั้นเสีย (ไม่ถูกรับ) แน่นอนเขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุน”
4. การละหมาดนั้นเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่ท่านรอซูล ได้สั่งเสียแก่ประชาชาติของท่านก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไป โดยที่ท่านกล่าวว่า
“การละหมาดและสิ่งที่มือขวาของพวกเจ้าได้ครอบครองอยู่ (หมายถึงทาสหญิง)”
จากหะดิษนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาดในขณะที่ท่านนะบีจะจากโลกนี้ไป คำสั่งเสียสุดท้ายของท่าน คือ ให้รักษาละหมาด
5. การละหมาดเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ์ อย่างเดียวที่มุสลิมจะต้องถือปฏิบัติไม่ว่าจะอยู่ในสหภาพใด ห้ามละทิ้งเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเดินทาง ซึ่งต่างกับดิบาดะฮ์อย่างอื่น
ยกเว้นคน 3 ประเภทคือ คนบ้า เด็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์บังคับของศาสนา และคนนอนหลับจนกว่าเขาจะตื่น
โทษของผู้ที่ละทิ้งศาสนาที่จะได้รับในโลกหน้า
1. มะลาอิกะฮจะทำการลงโทษพวกเขาด้วยการตีที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขา
2. พวกเขาจะต้องไปอยู่ร่วมกันกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และผู้ตั้งภาคีในนรกและอื่น ๆ จากนี้อีกมากมายจากการลงโทษ
พี่น้องที่รักประตูแห่งการขออภัยโทษกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮ์ ยังคงเปิดอยู่เสมอ ให้พี่น้องได้มุ่งหน้าหาพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเสียใจต่อความผิดที่ผ่านมาในอดีต และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความผิดอีกต่อไป และจะทำการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ให้มาก แน่นอนอัลลอฮ์ จะอภัยโทษให้กับพี่น้องในความผิดของพี่น้อง ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านนบี ตลอดจนเครือญาติ และบรรดาสาวกของท่านทั้งหมด
ข้อมูลบางส่วนแปลจากหนังสือ “ฮุก่มของผู้ทิ้งละหมาด” ของ เชคอุซัยมีน