ราชวงค์อุมัยยะฮ์ (The Umayyad Dynasty)
ราชวงค์อุมัยยะฮ์ อยู่ระหว่างปี ฮ.ศ. 41-132 หรือ ค.ศ.661-750 ศูนย์กลางการปกครอง อยู่ที่ เมือง "ชาม"
หลังจากท่านอาลี เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูน คนที่ 4 เสียชีวิต ท่านหะสัน บุตรของท่านอาลีได้รับเลือกตั้งเป็นเคาะลีฟะฮ์คนต่อไป แต่ดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ได้ไม่กี่เดือนก็ยอมสละตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ให้แก่ท่านมุอาวียะฮ์ อิบนุ อบี สุฟยาน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในรัฐอิสลาม พร้อมกับหลีกเลี่ยงความแตกแยกและการสูญเสียเลือดระหว่างชาวมุสลิมด้วยกันมากกว่านี้มุอาวิยะฮ์เป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านแรกในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ท่านสืบเชื้อสายจากตระกูล อุมัยยะห์ บุตรของอับดุซซัม ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ในสมัยการปกครองของราชวงค์อุมัยยะฮ์ ท่านมุอาวียะฮ์ ได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักร ท่านทำให้ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์กลายเป็นตำแหน่งกษัตริย์โดยการสืนสันติวงค์ ท่านได้ทรงแต่งตั้งยะซิด โอรสของท่านให้เป็นกษัตริย์ ต่อมาการแต่งตั้งแบบนี้ได้กลายเป็นตัวอย่างการแต่งตั้งเคาะลีฟะฮ์มาตลอดราชวงค์อุมัยยะฮ์ ทั้งราชวงศ์อับบาสียะฮ์และอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นผู้สร้างตำแหน่งกษัตริย์โดยการสืนสันติวงค์ขึ้นในประวัติศาสตร์ของอิสลาม การปกครองแบบประชาธิปไตยระหว่างเผ่าของเคาะลีฟะฮ์ท่านก่อนๆก็หมดสิ้นไป กลายเป็นการปกครองแบบกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราช
ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้มีเคาะลีฟะฮ์ทั้งหมด 14 องค์ ซึ่งปกครองตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 41-132 หรือ ค . ศ . 661-750 มีอาณาเขตการปกครองครอบคลุมทั้ง 3 ทวีป คือ
1 ทวีปเอเชียไปถึงเมืองจีน และเมืองกาบูล ซึ่งพิชิตโดยมูฮำหมัด บิน กอซิม
2. ทวีปยุโรป ไปถึงเมืองอันดาลุส ประเทศสเปนในปัจจุบัน ซึ่งพิชิต โดย ตอริก บิน ซียาด
3. ทวีปแอฟริกา ไปถึง ประเทศที่ติดอยู่กับทะเลแอตแลนติก
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ชามหรือประเทศซีเรียในปัจจุบัน เมื่อได้ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์แล้วท่านมุอาวิยะฮ์ก็ได้อุทิศตนให้แก่การทำให้อาณาจักรอิสลามผนึกเข้าเป็นปึกแผ่นเรียกร้องความสามัคคีในชาติ ซึ่งแตกสลายและไร้ความสงบสุขมาตั้งแต่ท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมานถูกฆาตกรรม เมื่อตั้งตัวได้สำเร็จแล้วท่านมุอาวิยะฮ์เริ่มหาทางพิชิตดินแดนอื่นๆ สานต่อจากเคาะลีฟะฮ์ในอดีต
ท่านมุอาวิยะฮ์เป็นผู้บริหารที่ดี เป็นท่านแรกที่จัดตั้งกรมสารบรรณ (Diwan al-Khatam) และกรมไปรษณีย์ขึ้น จัดตั้งกองกำลังตำรวจและกองทหารองครักษ์ แต่งตั้งเจ้าเมืองให้ทำการบริหารส่วนท้องถิ่นและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิเศษให้เป็นผู้บริหารเงินรายได้ของแผ่นดิน เมื่อท่านมุอาวิยะฮ์สิ้นชีพในปี ค . ศ . 680 ท่านยะซิดขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ หลังจากยะซิดสิ้นพระชนม์มุอาวิยะฮ์ที่ 2 โอรสของยะซิดได้ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อ แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไปในเวลาต่อมา ท่านมุอาวิยะฮ์ที่ 2 ไม่มีโอรสและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นรัชทายาท ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้งท่านมัรวาน อิบนุ อิลหากัม เป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านที่ 4 แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ท่านมัรวานครองราชย์อยู่ได้ไม่ถึงปีก็สิ้นพระชนม์และได้แต่งตั้งโอรสชื่ออับดุลมาลิกเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อไป
เมื่ออับดุลมาลิก ( ค . ศ . 685 705) สามารถปราบปรามกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อตนเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านได้เริ่มงานบูรณะความเป็นระเบียบภายในราชอาณาจักรอิสลาม ได้ทำการปฏิรูปและนำเอามาตรการการบริหารแผ่นดินใหม่ๆ มาใช้ ปฏิรูปเหรียญอาหรับใหม่ ทั้งเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ซึ่งมีชื่อว่าดินาร์ ดิรฮัมและฟอล นอกจากนี้ในรัชสมัยของท่านได้มีการปฏิรูปภาษาอาหรับโดยการนำเอาสระและเครื่องหมายจุดใส่ลงในตัวอักษรอย่างที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ เคาะลีฟะฮ์อับดุลมาลิกสิ้นพระชนม์ในปี ค . ศ . 705 หลังจากครองราชย์ได้ 21 ปี
เมื่ออับดุลมาลิกสิ้นพระชนม์ วะลีดที่ 1 ซึ่งเป็นโอรสก็ขึ้นครองราชย์ในดามัสกัส ท่านวะลีดที่ 1 นับเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกมุสลิม ในรัชสมัยของท่าน ( ค . ศ . 705715) อาณาจักรอิสลามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ ท่านได้ปราบปรามการแข็งข้อของพวกชีอะฮ์และคอวาริจญ์จนราบคาบลง ราชอาณาจักรเต็มไปด้วยความสงบสันติ ได้ขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองบุคอรอ สมรขันฑ์ เมืองสินธ์ เอเชียกลางทั้งหมด แอฟริกาและสเปนต่างตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรของท่านขยายจากชายแดนจีนไปจนถึงอ่าวบิสเคย (Biscay) และจากทะเลโอรอล (Oral Sea) ไปจนถึงเขตแดนกุจญ์ราตและบอมเบย์ในอินเดียท่านได้สร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล จัดหาเงินช่วยเหลือคนชราและคนพิการ จัดให้มีโรงพยาบาลคนตาบอดโดยเฉพาะ ในรัชสมัยนั้นศิลปะและวัฒนธรรมเริ่มเจริญรุ่งเรือง ท่านเป็นนักสร้างที่ยิ่งใหญ่ ได้บูรณะและขยายมัสยิดแห่งมะดีนะฮ์และมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม พัฒนาการค้าให้เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย
นับได้ว่ารัชสมัยของเคาะลีฟะฮ์วะลีดที่ 1 ราชอาณาจักรอิสลามมีความสงบรุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อเคาะลีฟะฮ์วะลีดพี่ชายสิ้นชีพลง ท่านสุไลมานได้ขึ้นครองราชย์ เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่มีเมตตาต่อสหายแต่โหดร้ายต่อศัตรูมีชื่อเสียงในเรื่องฮาเร็มและการมีชีวิตอย่างหรูหรา ในรัชสมัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ที่โดดเด่นต่อราชอาณาจักรอิสลามมากนัก คุณประโยชน์อย่างเดียวที่ท่านทำให้แก่รัฐอิสลามคือการแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อว่าอุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เป็นเคาะลีฟะฮ์ ซึ่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม ท่านสุไลมาน สิ้นชีพหลังจากที่เป็นเคาะลีฟะฮ์ได้ 2 ปีกับอีก 5 เดือน
ท่านอุมัรอิบนุ อัลอะซีซ ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ในปี ค . ศ . 717 ท่านเป็นอนุชาของอับดุลมาลิก บิดาของท่านเป็นผู้ปกครองอียิปต์มาเป็นเวลานานและมารดาของท่านเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ ท่านเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก บริหารอาณาจักรอิสลามอย่างยุติธรรมจนได้สมญานามว่า เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 5 ท่านพยายามจำกัดความไม่เสมอภาคระหว่างมุสลิมชาวอาหรับกับมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ นอกจากนี้ท่านอุมัรได้ทรงแต่งตั้งบุคคลสำคัญๆ ขึ้นครองตำแหน่งสูงๆ โดยเลือกเอาผู้ที่เที่ยงธรรมและซื่อตรงเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแก่เหล่าประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ปกครองท่านเห็นความสำคัญในการทำนุบำรุงดินแดนที่ได้มาครอบครองแล้วให้เจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างไกลออกไปอีก ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของท่านอุมัร คือ การรวบรวมหะดีษอย่างเป็นทางการ ตลอดการปกครองของท่านอุมัรประชาชนในราชอาณาจักรอิสลามทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต่างก็มีความสุขและได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมกันทั่วหน้า
ที่มา : Islamic information center of psu Fathoni
Next Part 2 >>>> Click