ดุอาอ์และซิกิรฺที่ใช้อ่านเพื่อป้องกันจากชัยฏอน
โรคภัยไข้เจ็บมีสองประเภท คือ โรคทางใจ และโรคทางกายโรคทางใจนั้นมีสองชนิด คือ
1. โรคที่ว่าด้วย ชุบฮะฮฺ (ความเคลือบแคลงสงสัย) เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงพวกมุนาฟิกว่า:
ความว่า "ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรคอยู่ แล้วอัลลอฮฺก็ทรงเพิ่มให้พวกเขาเป็นโรค และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันแสนเจ็บปวด เนื่องด้วยเหตุที่พวกเขาโป้ปดมดเท็จ" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 10)
2. โรคที่ว่าด้วย ชะฮฺวะฮฺ (อารมณ์ใฝ่ต่ำ) เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสต่อเหล่ามารดาแห่งศรัทธาชนว่า
วามว่า "ดังนั้น พวกเธอจงอย่าทำเสียงอ่อน เพราะมันจะเป็นเหตุให้คนที่มีโรคในใจเกิดความใคร่อยาก" (อัล-อะหฺซาบ: 32)
ส่วนโรคทางกายนั้นก็คือ การเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วๆ ไป
การเยียวยาจิตใจและการรักษาโรคทางใจนั้นจะรู้ได้ผ่านการสอนของศาสนทูตทั้งหลายเท่านั้น แท้จริงแล้วไม่มีความดีใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจเว้นแต่เมื่อมันรู้จักพระเจ้าและผู้สร้างมัน ด้วยพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ ด้วยกิริยาและบทบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความโปรดปรานและความรักของพระองค์ และเป็นเหตุให้ห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามและความโกรธกริ้วของพระองค์
ส่วนการรักษาโรคทางกายนั้นมีสองชนิด คือ ชนิดที่หนึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺได้สอนให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ได้ด้วยสันดานเดิม เช่น การรักษาความหิวกระหายและความเหนื่อยล้า ซึ่งสามารถที่จะทำให้หายด้วยสิ่งตรงข้าม (นั่นคือการกิน การดื่ม และพักผ่อน ฯลฯ เหล่านี้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็รู้ได้เองโดยสันดาน) อีกชนิดหนึ่งนั้นต้องอาศัยการคิดและสังเกต การรักษานี้ต้องใช้ยาจากธรรมชาติหรือจากพระผู้เป็นเจ้า หรือใช้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน
โรคทางใจ
โรคทางใจ คือ อาการที่ผิดปกติจากความผ่องใสและความสมดุลของจิตใจ จิตใจที่ผ่องใสคือหัวใจที่รู้จักสัจธรรม รักความจริง และให้ความสำคัญกับมันเหนือสิ่งอื่นใด เพราะฉะนั้นโรคทางใจนั้นจึงอาจจะเกี่ยวข้องกับความสงสัยในสัจธรรม หรือให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่ามัน เช่นโรคทางใจของพวกมุนาฟิกผู้กลับกลอก ซึ่งมีทั้ง ชุบฮะฮฺ และ ชะฮฺวะฮฺ ส่วนโรคทางใจของผู้ที่ทำบาปนั้นคือโรคแห่ง ชะฮฺวะฮฺ
นอกจากนี้ยังมีโรคทางใจอื่นๆ อีกเช่น การโอ้อวด การหยิ่งยะโส การหลงตัวเอง การอิจฉาริษยา การทะนงตน การผยอง ชอบตำแหน่ง และทำตัวสูงส่งในแผ่นดิน โรคเหล่านี้ล้วนกำเนิดมาจากโรคหลักสองอย่าง คือ ชุบฮะฮฺ และ ชะฮฺวะฮฺ ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง ขออัลลอฮฺประทานความปลอดภัยแก่เราด้วยเทอญ
การป้องกันความชั่วร้ายของชัยฏอนมนุษย์และญิน
1. อัลลอฮฺได้สั่งให้เราพยายามสนทนาปราศรัยและทำดีกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เพื่อปรับให้นิสัยอันดีงามดั้งเดิมของเขากลับสู่ความรักใคร่และมารยาทที่ดี พระองค์ตรัสว่า
ความว่า "และย่อมไม่เท่ากันระหว่างความดีและความชั่ว จงต้าน(ความชั่วร้ายของคู่กรณี)ด้วย(วิธีการและแนวทาง)ที่ดีที่สุด เมื่อนั้น คนที่มีความเป็นศัตรูกันะหว่างเจ้ากับเขาก็จะกลับมาเป็นดังมิตรสหายผู้ใกล้ชิด และไม่มีใครที่จะได้รับสิ่งนั้น เว้นแต่ผู้ที่อดทน และไม่มีใครที่ได้รับสิ่งนั้น เว้นแต่เขาย่อมเป็นผู้ที่มีโชคอันยิ่งใหญ่" (ฟุศศิลัต: 34-35)
2. อัลลอฮฺสั่งให้เราขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้เราพ้นจากศัตรูที่เป็นชัยฏอน ซึ่งไม่ยอมรับกับเจรจาหรือทำดีด้วย ทว่านิสัยของมันนั้นคือการล่อลวงและเป็นศัตรูกับมนุษย์แต่เดิมอยู่แล้ว พระองค์ตรัสว่า
ความว่า "และหากว่ามีการยุแหย่เจ้าจากชัยฏอนด้วยการยั่วยุใดๆ ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินและผู้รอบรู้ยิ่ง" (ฟุศศิลัต: 36)
มลาอิกะฮฺและชัยฏอนนั้นจะคอยวนเวียนเปลี่ยนเวรเข้ามายังหัวใจของมนุษย์ เหมือนการเปลี่ยนผันของกลางวันและกลางคืน มนุษย์บางคนอาจจะมีกลางคืนนานกว่ากลางวัน บางคนกลางวันอาจจะนานกว่ากลางคืน บางคนอาจจะมีเวลาเป็นกลางคืนตลอด และบางคนก็อาจจะมีช่วงเวลาที่เป็นกลางวันตลอด (เป็นการเปรียบเทียบสภาพของหัวใจมนุษย์กับมลาอิกะฮฺและชัยฏอน) มลาอิกะฮฺนั้นมีงานที่พวกเขาจะทำกับหัวใจมนุษย์ ชัยฏอนก็มีงานที่พวกมันจะทำกับหัวใจมนุษย์เช่นกัน และไม่มีสิ่งใดที่อัลลอฮฺได้สั่งใช้และมีบัญชา เว้นแต่ชัยฏอนจะต้องเข้ามาล่อลวงด้วยสองทางเสมอ คือ อาจจะเป็นด้วยการล่อลวงให้ทำอย่างเกินเลยและละเมิดขอบเขต หรือล่อลวงให้ทำอย่างหย่อนยานและบกพร่อง
การเป็นศัตรูของชัยฏอนต่อลูกหลานอาดัมมนุษย์และญินซึ่งเป็นมัคลูกที่ถูกใช้โดยอัลลอฮฺนั้น มีความพิเศษเหนือมัคลูกอื่นๆ อยู่สามประการคือ มีสติปัญญา มีศาสนา และมีสิทธิในการตัดสินใจเลือก อิบลีสเป็นผู้แรกที่ใช้นิอฺมัตทั้งสามประการนี้ในทางที่ผิดด้วยการทรยศต่อคำสั่งแห่งพระผู้อภิบาลของมัน ทว่ายังหัวแข็งและดื้อด้านที่จะอยู่ในสภาพนั้น ซ้ำยังได้ขอร้องให้พระองค์ไว้ชีวิตมันจนถึงวันกิยามะฮฺ เพื่อที่จะใช้นิอฺมัตนี้ในการล่อลวงลูกหลานอาดัม และตกแต่งความผิดบาปให้ดูสวยงาม เพื่อชวนให้พวกเขาได้เข้านรกตามพวกมันไป
1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
ความว่า "แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น จงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริงแล้วมันเรียกร้องพรรคพวกของมันเพื่อให้กลายเป็นชาวนรก" (ฟาฏิร: 6)
2. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
ความว่า "แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ชัดเจนสำหรับมนุษย์" (ยูซุฟ: 5)
3. จาก ญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
«إنَّ عَرْشَ إبْلِيسَ عَلَى البَـحْرِ فَيَبْعَثُ سَرَايَاهُ فَيَفْتِنُونَ النَّاسَ، فَأَعْظَمُهُـمْ عِنْدَهُ أَعْظَمُهُـمْ فِتْنَةً».
ความว่า "แท้จริง บัลลังก์ของอิบลีสนั้นอยู่เหนือมหาสมุทร แล้วมันก็จะส่งกองทัพของมันเพื่อล่อลวงมนุษย์ ตัวที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่ลูกน้องที่อยู่กับมันคือตัวที่ร้ายกาจที่สุดในการล่อลวง" (บันทึกโดย มุสลิม: 2813)
ลักษณะการเป็นศัตรูของชัยฏอนลักษณะการแสดงออกถึงการเป็นศัตรูของชัยฏอนต่อมนุษย์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ
บางครั้ง ด้วยการหลอกมนุษย์ และตกแต่งความชั่วร้ายและบาปให้ดูสวยงามแก่พวกเขา แล้วมันก็ผละจากพวกเขาโดยไม่รับผิดชอบ
บางครั้ง ด้วยการหลอกให้มนุษย์มีความสับสนลังเลในการปฏิบัติอะมัล
บางครั้ง ด้วยการทำให้มนุษย์หลงผิด ให้สัญญาและความหวังอย่างโกหก และยุแหย่ระหว่างพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการชักชวนและนำพวกเขาสู่การทำบาปและสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย
บางครั้ง มันจะนั่งขวางทางการทำดีทั้งหมด เพื่อห้ามมนุษย์ไม่ให้ทำดี คอยทำให้ท้อ คอยขัดขวาง และทำให้กลัว
บางครั้ง มันพยายามให้ทะเลาะกันระหว่างมนุษย์ ด้วยการโยนความเป็นศัตรูและความโกรธเข้าใส่ระหว่างพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการปลุกความอิจฉาริษยาและคิดไม่ซื่อในหัวใจพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการทำร้ายพวกเขาด้วยความชั่วร้ายและโรคต่างๆ และขัดขวางพวกเขาจากเส้นทางของอัลลอฮฺด้วยวิธีการเท่าที่พวกมันจะทำได้
บางครั้ง ด้วยการปัสสาวะใส่หูของมนุษย์ เพื่อให้พวกเขานอนถึงเช้า และเป่ามนตร์บนหัวของพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาตื่น
ดังนั้น ผู้ใดที่ฟังและเชื่อตามชัยฏอน และยอมรับตามมัน เขาก็จะเป็นพรรคพวกของมันและจะถูกเรียกชุมนุมในวันกิยามะฮฺพร้อมพวกมัน และผู้ใดที่เชื่อฟังพระผู้อภิบาลของเขาและต่อสู้กับชัยฏอน พระองค์ก็จะปกป้องเขาจากมัน และจะทรงให้เขาได้เข้าสู่สวรรค์
1. อัลลอฮฺตรัสว่า
ความว่า "ชัยฎอนได้เข้า ไปครอบงำพวกเขา มันทำให้พวกเขาลืมรำลึกถึงอัลลอฮฺ ชนเหล่านั้นคือบรรดาพรรคพวกของชัยฏอน พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพรรคพวกของชัยฏอนนั้น พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน" (อัล-มุญาดะละฮฺ: 19)
2. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
ความว่า "พระองค์ตรัส(แก่ชัยฏอน)ว่า เจ้าจงไปให้พ้น! ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเขา(หมู่มนุษย์)ที่ปฏิบัติตามเจ้า แท้จริงนรกคือการตอบแทนของพวกเจ้า(และพรรคพวกที่ตามเจ้า) เป็นการตอบแทนที่สมบูรณ์ และเจ้าจงยั่วยวนผู้ที่เจ้าสามารถทำให้เขาหลงในหมู่พวกเขาด้วยเสียงของเจ้า และชักชวนพวกเขาให้เห็นพ้องด้วยด้วยม้าของเจ้าและด้วยเท้าของเจ้า และจงร่วมกับพวกเขาในทรัพย์สินและลูกหลาน(คือใช้มันในทางที่ผิด) และจงให้สัญญาแก่พวกเขา (คำสั่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺอนุมัติแก่ชัยฏอนเพื่อใช้ทดสอบมนุษย์) และชัยฏอนมิได้ให้สัญญาใดๆ แก่พวกเขา เว้นแต่เป็นการหลอกลวงเท่านั้น แท้จริงปวงบ่าวของข้านั้น เจ้าไม่มีอำนาจใดๆ เหนือพวกเขา และพอเพียงแล้วที่พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง(บรรดาบ่าวผู้ศรัทธาและพึ่งพาพระองค์)" (อัล-อิสรออฺ: 63-65)
3. จาก สับเราะฮฺ อิบนุ อบู ฟากิฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
«إنَّ الشَّيْطَانَ قَعَدَ لابْنِ آدَمَ بَأَطْرُقِهِ، فَقَعَدَ لَـهُ بِطَرِيقِ الإسلاِم، فَقَالَ: تُسْلِـمُ وَتَذَرُ دِينَكَ وَدِينَ آبَائِكَ وآبَاءِ أَبِيكَ فَعَصَاهُ فَأَسْلَـمَ.
ثُمَّ قَعَدَ لَـهُ بِطَرِيقِ الهِجْرَةِ فَقَالَ: تُـهَاجِرُ وَتَدَعُ أَرْضَكَ وَسَمَاءَكَ، وَإنَّمَا مَثَلُ المُهَاجِرِ كَمَثَلِ الفَرَسِ فِي الطِّوَلِ فَعَصَاهُ فَهَاجَرَ.
ثُمَّ قَعَدَ لَـهُ بِطَرِيقِ الجِهَادِ، فَقَالَ: تُـجَاهِدُ فَهُوَ جُهْدُ النَّفْسِ وَالماَلِ فَتُقَاتِلُ فَتُقْتَلُ فَتُنْكَحُ المَرْأَةُ، وَيُـقْسَمُ المَالُ، فَعَصَاهُ فَجَاهَدَ» فَقَالَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم : «فَمَنْ فَعَلَ ذَلِكَ كَانَ حَقّاً عَلَى الله عَزَّ وَجَلَّ أَنْ يُدْخِلَـهُ الجَنَّةَ..».ความว่า "แท้จริง ชัยฏอนจะนั่งอยู่บนทางทั้งหลายของมนุษย์ มันจะนั่งอยู่บนเส้นทางแห่งอิสลาม แล้วมันก็จะกล่าวว่าแก่มนุษย์ 'เจ้าจะรับอิสลาม จะละทิ้งศาสนาของเจ้าและศาสนาของปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษของเจ้าอย่างนั้นหรือ?' แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังมัน สุดท้ายเขาก็รับอิสลาม
จากนั้น มันก็นั่งอยู่บนเส้นทางแห่งการฮิจญ์เราะฮฺ(การอพยพเพื่ออิสลาม) มันจะกล่าวแก่มนุษย์ว่า 'เจ้าจะอพยพ จะละทิ้งแผ่นดินและท้องฟ้าของบ้านเกิดอย่างนั้นหรือ ? แท้จริงคนอพยพนั้นเปรียบเหมือนม้าที่ถูกผูกไว้(คือไม่มีอิสระเหมือนตอนที่อยู่ ณ บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง)' แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังมัน สุดท้ายเขาก็อพยพไป
จากนั้น มันก็จะนั่งอยู่บนเส้นทางแห่งการญิฮาด มันจะกล่าวแก่มนุษย์ว่า 'เจ้าจะญิฮาดอย่างนั้นหรือ ? มันหนักหนามากทั้งในเรื่องทรัพย์สินและชีวิต เจ้าสู้กับศัตรูแล้วเจ้าก็จะถูกฆ่าตาย ภรรยาของเจ้าก็จะแต่งงานใหม่ ทรัพย์สมบัติก็จะถูกแบ่ง' แต่มนุษย์ก็ไม่ฟังมัน สุดท้ายเขาออกไปญิฮาด"
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดที่ปฏิบัติได้ดังกล่าว ย่อมเป็นสิทธิที่อัลลอฮฺจะนำเขาเข้าสวรรค์"
(หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อะหฺมัด 16054 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ 2979 และ อัน-นะสาอีย์ 3134 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน)
มุหัมมัด อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์ที่มา : มุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์
แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน
Islam House