สาระสำคัญของการประกันภัย
โดย .. มุร็อด บินหะซัน
ตามมาตราที่ 861 ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัยระบุว่า อันว่าสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้ ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา แลในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกัน
จากบทบัญญัติมาตรา 861 นี้สัญญาประกันภัยจึงอาจแยกสาระได้สามประการคือ
ก. เป็นสัญญาที่บุคคลฝ่ายหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง
ข. การใช้เงินขึ้นกับเงื่อนไขแห่งการเกิดเหตุการณ์ขึ้นในอนาคต อันเป็นเหตุวินาศภัยหรือเหตุอย่างอื่นในอนาคตอันได้ระบุไว้ในสัญญา
ค. โดยผู้เอาประกันภัยตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกัน จะเห็นได้ว่าลักษณะของสัญญาประกันภัยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสองประการคือ
(1) วินาศภัย
(2) เหตุอย่างอื่น
(1) วินาศภัย คือ ความเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้ เช่น การประกันอัคคีภัย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ หรือการกระทำของคนก็ได้ รวมถึงภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว หรือเกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น การประกันความทุจริตของลูกจ้าง ประกันการใช้หนี้ของลูกหนี้ ประกันการถูกโจรกรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นการประกันความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ(2) เหตุอย่างอื่นในอนาคต หมายถึงเหตุอย่างอื่นนอกจากวินาศภัย คือความตาย จึงมีหลักเกณฑ์แตกต่างไปจากสัญญาประกันวินาศภัย เป็นสัญญาซึ่งตกลงจะชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยการกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอน ซึ่งเป็นภัยที่ทุกคนจะต้องประสบ การประกันภัยชนิดนี้ได้แก่สัญญาประกันชีวิต จึงไม่ใช่การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะชีวิตมนุษย์มีค่ามากกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้ (สุภาพ สารีพิมพ์, 2548 : 4 - 8)
การประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับมรดกคือการประกันภัยประเภทที่มีเงื่อนไขขึ้นกับเหตุอย่างอื่นในอนาคต หมายถึงการประกันชีวิตนั่นเอง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การประกันชีวิตแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ การประกันชีวิตที่ทำโดยถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม และการทำประกันชีวิตที่ไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม การแบ่งเงินกรมธรรม์ที่ได้มาจากการทำประกันชีวิตที่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ให้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนของผู้รับประโยชน์ที่ถูกระบุชื่อไว้ในสัญญาในอัตราส่วน 1/3 ของเงินกรมธรรม์ถือว่าการระบุ ให้ผู้รับประโยชน์รับเงินกรมธรรม์ทั้งหมดนั้นเป็นการทำพินัยกรรม จึงขึ้นอยู่กับทายาทผู้อื่น หากผู้รับประโยชน์นั้นเป็นทายาทที่รับมรดกได้ ส่วนกรมธรรม์ที่เหลืออีก 2/3 ให้แบ่งแก่บรรดาทายาทที่มีสิทธิ์รับมรดกได้ในอัตราส่วนที่ศาสนาอิสลามได้กำหนดไว้ในกฎหมายมรดก
ส่วนการแบ่งเงินกรมธรรม์ที่ได้มาจากการทำประกันชีวิตที่ไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามก็ให้แบ่งเงินกรมธรรม์เป็น 2 ส่วนเช่นเดียวกัน คือส่วนที่เป็นเบี้ยประกันและส่วนที่เป็นกรมธรรม์ที่เพิ่มขึ้นจากเบี้ยประกัน
สำหรับเบี้ยประกันให้แบ่งให้แก่ทายาทที่รับมรดกได้ในอัตราส่วนที่กฎหมายอิสลามได้กำหนดไว้ในกฎหมายมรดก ส่วนเงินกรมธรรม์ที่เพิ่มจากเบี้ยประกันหากบริษัทรับประกันมีความพอใจที่จะช่วยเหลือครอบครัวของผู้เอาประกัน ก็ให้ตกลงกันระหว่างทายาทในการแบ่งทรัพย์นั้นหรือจะให้ผู้รับประโยชน์ที่ถูกระบุชื่อไว้ในสัญญาก็ได้