ช่วงเวลาที่มนุษย์ใกล้จะตาย
  จำนวนคนเข้าชม  16140

อะไร คือ ความตาย ?

 

         ในช่วงเวลาที่มนุษย์ทุกคนใกล้จะตายนั้น ความเป็นมนุษย์ได้หมดสิ้น ชะตากรรมถูกกำหนดอย่างแน่นอนว่าจะไปสวรรค์หรือไปนรก ตามผลกรรมที่ทำไว้ในโลกดุนยา บางทีเขาจะเห็นมาลาอีกะห์แห่งความเมตตา   (مَلاَئِكَةُ الرَّحْمَةِ ) และบางครั้งเขาจะเห็นมาลาอีกะห์แห่งการลงโทษ (مَلاَئِكَةُ الْعَذَابِ )

        ดังเช่นนี้อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ทรงตรัสบอกแก่เราถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่จะเป็นชาวสวรรค์ ในขณะความตายมาปรากฏแก่พวกเขาไว้ว่า  
 
 

{ اَلَّذِيْنَ تَتَوَفَّاهُمُ الْمَلاَئِكَةُ طَيِّبِيْنَ يَقُوْلُوْنَ سَلاَمٌ عَلَيْكُمُ ادْخُلُوا الْجَنَّةَ بِماَ كُنْتُمْ تَعْلَمُوْنَ } النحل 32

     " บรรดาผู้ที่มาลาอีกะห์ปลิดชีวิตของพวกเขา โดยที่พวกเขาเป็นคนดี มาลาอีกะห์จะกล่าวว่า

     ความสันติจงประสบแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์เถิด ด้วยเพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำเอาไว้ (กระทำความดีงามในโลกดุนยา) "

 
          เพราะฉะนั้นบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจกรรมที่ดี ในช่วงเวลาใกล้จะตายนั้น พวกเขาจะเห็นมาลาอีกะห์แห่งความเมตตา (مَلاَئِكَةُ الرَّحْمَةِ ) และจะได้รับสวรรค์เป็นรางวัลตอบแทนเป็นข่าวดีลำดับแรก พวกเขายิ้มแย้มด้วยความดีใจ ภูมิใจในผลตอบแทนอย่างดีเลิศที่จะได้รับ  และเมื่อเรามองไปยังใบหน้าหลังจากพวกเขาตายไป เราจะเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งอิ่มเอิบ ทั้งนี้เพราะใบหน้าของพวกเขาได้เห็นส่วนหนึ่งจากสัญญาของอัลเลาะห์ซึ่งไม่บิดพริ้ว นั่นคือผลตอบแทนที่ดีงาม อนึ่งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่สร้างความชั่วต่ออัลเลาะห์ และต่อต้านศาสนาของพระองค์ พวกนี้จะเผชิญหน้ากับความตายที่แตกต่างออกไป ดังอัลเลาะห์ ตาอาลา ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า  
 


{ وَلَوْ تَرَى إِذْ يَتَوَفَّى الَّذِيْنَ كَفَرُوْا وَالْمَلاَئِكَةُ يَضْرِبُوْنَ وُجُوْهَهُمْ وَأَدْبَارَهُمْ وَذُوْقُوْا عَذَابَ الْحَرِيْقِ } الأنفال 50

         " ถ้าหากว่าเจ้าแลเห็นขณะที่มาลาอีกะห์กำลังปลิดวิญญาณของบรรดาผู้ปฏิเสธอยู่นั้น มาลาอีกะห์จะตีที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขา และกล่าวว่าพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษแห่งการเผาไหม้เถิด "

และอัลเลาะห์ทรงตรัสบอกไว้อีกว่า

 
{ وَلَو تَرَى إِذِ الظَّالِمُوْنَ فِيْ غَمَراَتِ الْمَوْتِ وَالْمَلاَئِكَةُ بَاسِطُوْ أَيْدِيْهِمْ أَخْرِجُوْا أَنْفُسَكُمُ الْيَوْمَ تُجْزَوْنَ عَذَابَ الْهُوْنِ بِمَا كُنْتُمْ تَقُوْلُوْنَ عَلَى اللّهِ غَيْرَ الْحَقِّ وَكُنْتُمْ عَنْ آيَاتِهِ تَسْتَكْبِرُوْنَ }الأنعام 93

        " ถ้าหากว่าเจ้าแลเห็นขณะที่บรรดาผู้อธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย และมาลาอีกะห์กำลังยื่นมือของพวกเขา-เพื่อการลงโทษ- (โดยกล่าวว่า) 

     พวกท่านจงให้ชีวิตของพวกท่านออกมาให้แก่เราเถิด วันนี้พวกท่านจะได้รับผลตอบแทนกับการถูกลงโทษอันต่ำต้อย อันเนื่องจากพวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลเลาะห์ โดยปราศจากความจริง และเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงความหยิ่งยโสต่อบรรดาโองการของพระองค์  "

 
 
           บรรดาผู้ปฏิเสธ(กาเฟร)จะเห็นชะตากรรมและที่พำนักของพวกเขาในนรก จะเห็นในช่วงที่ชีวิตกำลังออกจากเรือนร่างหรือใกล้ตาย ยิ่งไปกว่านั้นมาลาอีกะห์แห่งการลงโทษจะตอบแทนอย่างต่ำต้อยแก่พวกเขา จะทุบตีที่ใบหน้าและหลังของพวกเขา และพวกเขาจะลิ้มรสกับการลงโทษอย่างแสนสาหัสด้วยการถูกเผาไหม้ แล้วพวกเขาจะไม่สามารถนำตัวออกจากการถูกลงโทษได้เลย ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีความสามารถที่เคยครอบครองหลงเหลืออยู่

        ในช่วงเวลาที่มนุษย์ใกล้ตาย มนุษย์จะได้ยินแต่ทว่าไม่สามารถจะตอบโต้ มนุษย์จะเห็นแต่ไม่สามารถจะรายงานสิ่งที่เห็นได้ มนุษย์จะมีความรู้สึกเสมือนกับการรู้สึกของผู้ที่มีชีวิต

        ท่านร่อซู้ล กล่าวกับพวกเราว่า

     "เมื่อพวกท่านมาเยี่ยมเยียนกุโบร์(หลุมศพ) พวกท่านจงให้สลามแก่ชาวกุโบร์ โดยกล่าวว่า اَلسَّلاَمُ عَلَيْكُمْ دِيَارَ قَوْمٍ مُؤْمِنِيْنَ    (ขอความสันติจงประสบแก่พวกท่าน โอ้บรรดาชาวมุอ์มินทั้งหลาย..)"

        ท่านร่อซู้ล  ใช้ให้เรากล่าวสลามแก่ชาวกุโบร์ แน่นอน ณ ที่ชาวกุโบร์จะต้องมีความรู้สึกต่อการให้สลามของเรา ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว ท่านร่อซู้ล  คงไม่ใช้ให้เราให้สลามแก่พวกเขาเป็นแน่

        เพราะฉะนั้น ชาวกุโบร์จะมีความรู้สึกต่อผู้มาเยี่ยมเยียน และการให้สลามของผู้มาเยือน และชาวกุโบร์จะมีความรู้สึกนึกคิดอีกอย่างนั่น คือ สิ่งซึ่งที่ทำให้พวกเขาจำแนกแยกได้ในระหว่างความหวังกับความหมดหวัง ดังอัลเลาะห์ทรงตรัสว่า

 
 
{ يَاأَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا لاَ تَتَوَلَّوْا قَوْماً غَضِبَ اللّهُ عَلَيْهِمْ قَدْ يَئِسُوْا مِنَ اْلآخِرَةِ كَماَ يَئِسَ الْكُفَّارُ مِنْ أَصْحَابِ الْقُبُوْرِ } الممخنة 13

        " โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าได้คบกับหมู่ชนที่อัลเลาะห์ทรงกริ้วโกรธต่อพวกเขาไว้เป็นมิตรสหาย แน่นอนพวกเขาหมดหวังต่อวันปรโลก (ในการตอบแทนของอัลเลาะห์) เสมือนกับที่พวกปฏิเสธศรัทธา หมดหวังต่อ(การฟื้นคืนชีพของ)ชาวกุโบร์"
 
           ความหมดหวังที่ชาวกุโบร์ได้พบนั้น คือ พวกเขาเกิดความรู้สึกหมดหวังที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา นั้นแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกที่จำแนกแยกได้ในระหว่างสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนั้น กล่าวคือเขารู้ว่านี่คือสิ่งที่ผิดหวังและนั่นคือสิ่งที่สมหวัง ดังนั้นอัลเลาะห์จึงได้ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า

 { كَماَ يَئِسَ الْكُفَّارُ مِنْ أَصْحَابِ الْقُبُوْرِ } الممخنة 13
 
       " เสมือนกับที่พวกปฏิเสธศรัทธาหมดหวังต่อ (การฟื้นคืนชีพของ) ชาวกุโบร์ "

 
 
           ชีวิตใน عَالَمُ الْبَرْزَخِ (หลังจากตายที่กุโบร์)นั้น มีความรู้สึกที่ผู้ตายจะทราบได้ ชีวิตในกุโบร์เป็นชีวิตที่ไม่มีวันเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อมนุษย์ถูกฝังที่กุโบร์ ในช่วงต้นๆอายุขัยของโลกดุนยา ก็ตายเรื่อยไปจนถึงวันกิยามะห์ มนุษย์คาดคิดว่าเขาอยู่ในกุโบร์เพียงหนึ่งวันหรือครึ่งวันเท่านั้น อัลเลาะห์ ตาอาลา ทรงให้อุทาหรณ์เรื่องวันเวลานี้แก่เรา    ในเรื่องราวของชาวถ้ำ (أهل الكهف ) อัลเลาะห์ได้ให้ชาวถ้ำนอนหลับไป  เป็นเวลา 309 ปี เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ได้ไต่ถามกัน(ในเรื่องวันเวลาที่หลับไป) ดังอัลกุรอานได้เล่าให้เราดังนี้

 
 
{ وَلِذلِكَ بَعَثْنَاهُمْ لِيَتَسَاءَلُوْا بَيْنَهُمْ قَالَ قَائِلٌ مِنْهُمْ كَمْ لَبِثْتُمْ قَالُوْا لَبِثْنَا يَوْمًا أَوْ بَعْضَ يَوْمٍ } الكهف 19
 

       " ดังเช่นที่กล่าวมา (ที่อัลเลาะห์ได้ให้พวกชาวถ้ำนอนหลับอยู่เป็นเวลานาน) เรา(อัลเลาะห์)จึงให้พวกเขาตื่นขึ้น เพื่อจะได้ไต่ถามกันในระหว่างพวกเขา (ในเรื่องระยะเวลาที่ตนหลับอยู่ในถ้ำ)

     คนหนึ่งในหมู่พวกเขากล่าวถามว่า พวกท่านมาอยู่ในถ้ำนี้นานเท่าไร ?

     พวกเขาที่ถูกถามก็ตอบว่า พวกเรามาอยู่ที่นี้ชั่ววันหนึ่งหรือครึ่งวัน (เนื่องจากพวกเขาเข้ามาอยู่ในถ้ำในตอนเช้า ได้นอนหลับไป แล้วตื่นขึ้นในตอนเย็น) "

 
 
         เพราะอะไร ที่พวกชาวถ้ำกล่าวว่า พวกเรามาอยู่ที่นี่ชั่ววันหนึ่งหรือครึ่งวัน ? เพราะพวกเขามองดูใบหน้าของพวกเขาซึ่งกันและกัน และมองดูเสื้อผ้าของแต่ละคนในพวกเขา พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยู่ในสภาพเหมือนเช่นตอนที่พวกเขาเข้ามาอยู่ในถ้ำ ถ้าสมมุติว่าพวกเขาตื่นขึ้นมา พบว่าเล็บของพวกเขายาว ผมและเคราของพวกเขาเปลี่ยนจากสีดำไปสู่สีขาว และใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยเหี่ยวย่น พวกเขาจะไม่กล่าวถามว่าพวกเขามาอยู่ที่นี่ชั่ววันหนึ่งหรือครึ่งวันเป็นแน่ แต่ทว่าในระหว่างอยู่ในถ้ำ พวกเขาหลับไป 309 ปี – ออกนอกระบบเวลา – ดังนั้นเวลาจึงไม่มีอิทธิพลอันใด ที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขา

        ในทำนองเดียวกัน ชาวกุโบร์จะลุกขึ้นมาจากกุโบร์ในสภาพที่พวกเขาถูกฝัง คือในตอนถูกฝังอายุเท่าใด ตอนลุกขึ้นมาจากกุโบร์ก็อายุเท่านั้น ไม่ใช่ว่าในตอนตาย ตอนถูกฝังเป็นเด็ก     แล้วตอนลุกขึ้นมาจากกุโบร์ก็เป็นคนชรา ไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาที่ผ่านมายาวนานแค่ไหนก็ตาม 

        ดังอัลเลาะห์ ตาอาลา ทรงกล่าวถามบรรดาชาวกุโบร์ว่า

{ قَالَ كَمْ لَبِثْتُمْ فِي اْلأَرْضِ عَدَدَ سِنِيْنَ قَالُوْا لَبِثْنَا يَوْمًا أَوْ بَعْضَ يَوْمٍ فَاسْأَلِ الْعَادِّيْنَ } المؤمنون 112-113

     "พระองค์ตรัสถามว่า พวกเจ้าพำนักอยู่ในพื้นแผ่นดินนี้เป็นจำนวนกี่ปี ?

     พวกเขากล่าวตอบว่า เราพำนักอยู่ที่นี่วันหนึ่งหรือครึ่งวัน ขอพระองค์โปรดถามนักคำนวณผู้เชี่ยวชาญเถิด (อิบนุอับบาสกล่าวว่า การถูกทรมานของพวกเขา ทำให้พวกเขาลืมกำหนดเวลาที่พำนักอยู่ในโลกดุนยา)"

 
 
          จากโองการนี้ ทำให้เราทราบถึงกฎเกณฑ์ของ عالم البرزخ ชีวิตหลังความตาย หรือชีวิตในกุโบร์ว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่มีวันเวลา วันเวลาจึงไม่มีอิทธิพลอันใดที่จะเปลี่ยนแปลงพวกชาวกุโบร์ เพราะพวกเขามีชีวิตอยู่ที่ออกนอกระบบเวลา กล่าวคือไม่มีวันเวลาสำหรับชาวกุโบร์ ..

        ความจริงอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ทรงอธิบายให้แก่เราได้ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาพวกฟิรอูนในขณะที่อยู่ในกุโบร์     ดังมี ในอัลกุรอานว่า


{ اَلنَّارُ يُعْرِضُوْنَ عَلَيْهاَ غُدُوًّا وَعَشِيًّا وَيَوْمَ تَقُوْمُ السَّاعَةُ أَدْخِلُوْا آلَ فِرْعَوْنَ أَشَدَّ الْعَذاَبِ } غافر 46

 
       "ไฟนรกนั้น พวกเขาจะถูกนำมาให้เห็นมันทั้งในยามเช้าและยามเย็น และในวันกิยามะห์จะมีเสียงกล่าวว่า พวกเจ้าจงนำบริวารของฟิรอูนเข้าไปรับการลงโทษอันสาหัสยิ่งเถิด"
 
 
          จากโองการนี้มีคำถามว่า ไฟนรกถูกนำมาให้บริวารของ   ฟิรอูนเห็นนั้นเมื่อใด ? ถูกนำมาให้เห็นในโลกดุนยากระนั้นหรือ ? ถ้าสมมติว่า ไฟนรกถูกนำมาให้พวกเขาเห็นมันในโลกดุนยาเพียงนาทีเดียว  บริวารฟิรอูนจะไม่กราบไหว้ฟิรอูนอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะต้องจับฟิรอูนฆ่า แล้วโยนเขาลงทะเลอย่างแน่นอน

        เพราะฉะนั้น ไฟนรกถูกนำให้บริวารฟิรอูนเห็นมันนั้น จะต้องไม่เกิดขึ้นในโลกดุนยา แล้วไฟนรกถูกนำมาให้เห็นในโลกหน้าอาคีเราะห์กระนั้นหรือ ? ไม่ใช่อีกเช่นกัน เพราะว่าในวันอาคีเราะห์จะไม่มีการถูกนำมาให้เห็น แต่ทว่าในวันอาคีเราะห์พวกเขาจะต้องเข้านรก และจะต้องถูกลงโทษในขุมนรกนั้น

        สรุปว่าพวกฟิรอูนไม่ถูกนำมาให้เห็นไฟนรกในโลกดุนยา และจะไม่ถูกนำมาให้เห็นในโลกหน้าอาคีเราะห์ แต่ทว่าในโลกอาคีเราะห์ พวกเขาจะต้องเข้านรกอย่างแท้จริง เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เป็นที่แน่นอนว่าพวกฟิรอูนหรือบริวารฟิรอูนถูกนำไฟนรกมาให้เห็นทั้งยามเช้าและยามเย็น (ตามที่มีในอัลกุรอาน) นั้น จะต้องเกิดขึ้นในช่วงหลังจากตายหรือชีวิตในกุโบร์นั่นเอง ..


        ไม่มีคนหนึ่งคนใดสามารถให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ได้ ณ ที่กุโบร์นั้นมีประเภทหนึ่งจากการลงโทษ (عذاب ) ที่มนุษย์จะต้องได้รับในกุโบร์ เช่น ความทุกข์ ความหวาดผวา ความหวาดกลัว แต่ทว่าการลงโทษที่แท้จริงจะยังไม่เกิดขึ้น นอกจากภายหลังจากการถูกสอบสวนในวันกิยามะห์ นับว่าเป็นการเพียงพอแล้วที่บริวารของฟิรอูนถูกลงโทษที่กุโบร์ คือ การที่พวกเขาเห็นนรกที่จะต้องได้รับ เห็นถึงสองครั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพราะการรอคอย(บาลา)เคราะห์กรรมหรือการรอคอยการถูกลงโทษนั้น มันรุนแรงยิ่งกว่าการถูกลงโทษที่แท้จริง ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขามั่นใจอย่างแน่นอนว่า พวกเขาจะต้องถูกลงโทษในขุมนรก ดังนั้นทุกขณะที่พวกเขามองไปยังนรก จะทำให้เกิดความรู้สึกหวาดผวาน่าสยดสยอง บางทีการเห็นนรกนี้นับเป็นการถูกลงโทษชนิดหนึ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าการถูกลงโทษตัวจริงของมันเสียอีก

 


ที่มา : มิฟตาฮู่ลอุลูมิดดีนียะห์ บ้านดอน

อะไร คือ ความตาย ? 1 >>>> Click