เหตุการณ์ปัจจุบัน กับ อุดมการณ์อิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  9072

 

 

เหตุการณ์ปัจจุบัน กับ อุดมการณ์อิสลาม

 

โดย อ. อับดุลเราะมัน เจะอารง

 

           ผมอยู่ในแวดวงการศึกษา และในสถานที่ศึกษาจะมีนักศึกษาทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมรวมกัน พวกเขาอยู่ร่วมกันได้ เมื่อถึงเวลาปฏิบัติศาสนกิจพวกเขาต่างคนต่างไปปฏิบัติศาสนกิจของตน โดยการให้เกียรติซึ่งกันและกันและจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องศาสนาของแต่ละกลุ่ม หรือกล่าวหาสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติ สรุปได้ว่าต่างฝ่ายต่างสงวนสิ่งที่ตนยึดมั่นและปฏิบัติ แต่มีประการหนึ่งที่ได้ยินกันบ่อยมากจากปากของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมกล่าวว่า ชาวมุสลิมเห็นแก่ตัวและถือว่าศาสนาของตนเองถูกต้องและดีกว่าศาสนาอื่นๆทั้งหมด 

          มีคำถามหลายคำถามที่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมข้องใจและเคยถามกลุ่มนักศึกษาเอง แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เช่นคำถามที่พวกเขาส่วนมากจะถามกันคือ

 

           ???  ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมทุกคนจะตกนรกกันทุกคนกระนั้นหรือ ในขณะที่มีบางคนในกลุ่มพวกเขาคนที่ปฏิบัติตนเป็นคนดีทั้งชีวิต หรืออาจมีกริยามารยาทดีกว่ามุสลิมบางคน

 

ผู้เขียนขอตอบคำถามดังกล่าวเพื่อความกระจ่างสำหรับผู้ที่ถามและผู้ที่สนใจอิสลามทั่วไปดังนี้

 

         ใช่ ถูกต้อง ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมพระองค์อัลลอฮ์จะตัดสินให้อยู่ในนรก สาเหตุก็เพราะว่า พวกเขาไม่ยอมรับในพระองค์อัลลอฮ์ ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ ไม่ยอมปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ให้ปฏิบัติและไม่ละเว้นสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามในชีวิต

 

         พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์เพื่อพวกเขาจะได้เคารพภักดี บูชา หรือทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

وما خلقتُ الجِنَّ والإنْسَ إلا لِيعبدونِ ما أريدُ منهم من رزقٍ وما أريدُ أن يطعِمونِ إن الله هو الرزَّاقُ دو القوَّة المتين فإنَّ لِلدين ظلَموا دنوباً مثلَ دنوبِ أصحابِهم فلا يستطيعون ، فويلٌ لِلدين كفروا من يومِهم الدي كانوا يوعَدون (الداريات/56-60)

 

และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์เพื่ออื่นใดเว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า

(เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อใช้และข้อห้ามของพระองค์ กิจการของข้ากับพวกเขามิได้เหมือนกับกิจการของนายที่มีต่อบ่าวซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

และต่างมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่กิจการของข้าที่มีต่อพวกเขานั้น คือข้าได้สร้างพวกเขามาเพื่อให้พวกเขาเคารพภักดีต่อข้าองค์เดียว)

ข้าไม่ต้องการปัจจัยยังชีพจากพวกเขา และข้าไม่ต้องการให้พวกเขาให้อาหารแก่ข้า

แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ประทานปัจจัยยังชีพอันมากมาย ผู้ทรงพลัง ผู้ทรงมั่นคง ดังนั้นแท้จริง

สำหรับบรรดาผู้ประพฤติผิดนั้น เขาจะได้รับส่วนของการลงโทษเยี่ยงส่วนการลงโทษพวกเพื่อนของพวกเขา

ดังนั้น พวกเขาอย่าได้รีบเร่งให้ข้า(ลงโทษ)เลย

ดังนั้น ความหายนะจะประสบแด่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในวันของพวกเขาซึ่งได้ถูกสัญญาไว้

(ดังนั้น ความหายะ ความล่มจมและการลงโทษอย่างหนักจะประสบแด่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาวันกิยามะฮ์ ซึ่งอัลลอฮ์ได้สัญญามันไว้แก่พวกเขา)"

 

          เมื่อพวกเขาไม่ยอมรับในพระองค์อัลลอฮ์ ไม่ศรัทธาต่อพระองค์และไม่ยอมรับการเป็นศาสดาของท่านนะบีมุหัมมัด  คุณงามความดีทั้งหลายที่พวกเขาได้ปฏิบัติบนโลกนี้ก็จะสูญญหายไป เพราะไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับและการศรัทธา เกี่ยวกับความดีที่มนุษย์ได้ก่อไว้ในโลกนี้พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

وقدِمنا إلى ما عملوا من عملٍ فجعلناه هباءً منثوراً ، أصحاب الجنة يومئدٍ خيرٌ مستقَرًّا وأحسن مقيلاً (الفرقان 23-24)

 

“และเราได้มุ่งสู่ส่วนหนึ่งของการงานที่พวกเขาได้ปฏิบัติไป

(คืองานที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าเป็นการงานที่ดี เช่นการให้อาหารแก่คนยากจนขัดสนและต่อญาติ)  

แล้วเราทำให้มันไร้คุณค่ากลายเป็นลอองฝุ่นที่ปลิวว่อน

(เพราะการงานเหล่านี้มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานและมิเกิดจากการศรัทธา)

ชาวสวรรค์ในวันนั้นจะอยู่ในที่พำนักอันดีและที่พักผ่อนอันสบายยิ่ง”

 

         อีกหลักฐานหนึ่งคือ พระองค์ทรงเล่าเรื่องการเผยแผ่คำสอนของอิสลาม ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง นบีอิบรอฮีมกับพวกพ้องเขาไว่ว่า

واتْلُ عليهم نبأ إبراهيم إد قال لقومِه ما تعبدونَ قالوا نعبدُ أصناماً فنظلُّ لها عاكِفين قال هل يسمعونكم إد تدعونَ ؟ أو ينفعونكم أو يضرُّون ؟ قالوا وجدنا آباءنا كدلك يفعلون قال أفرأيتُم ما كنتم تعبدون ؟  أنتم وآباؤكم الأقدمون (الشعراء/69-76)

 

“(โอ้มุหัมมัด) จงเล่าเรื่องราวของนบีอิบรอฮีมให้แก่พวกเขา ขณะที่เขากล่าวแก่บิดาของเขา

และพวกพ้องของเขา พวกท่านเคารพภักดีอะไร พวกเขากล่าวว่า

เราเคารพภักดีรูปปั้น แล้วเราจะคงเป็นผู้ยึดมั่นต่อมันตลอดไป(ด้วยความดีใจและอวดอ้าง)

อิบรอฮีมกล่าวว่า เมื่อพวกท่านวิงวอนขอพวกมันได้ยินพวกท่านหรือ หรือมันให้คุณโทษแก่พวกท่านไหม

 พวกเขากล่าวว่า แต่เราได้พบบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติกันมาเช่นนั้น(เราก็ปฏิบัติไปเช่นนั้น)

อิบรอฮีมตอบว่า พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ สิ่งที่พวกท่านเคารพภักดีอยู่

ด้วยตัวของพวกท่านเองและบรรพบุรุษของพวกท่านแต่กาลก่อน”

 

         นอกจากนี้ยังมีคำยืนยันจากพระองค์อัลลอฮฺว่า บรรดาการงานของผู้ที่ไม่ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะไม่นับว่าเป็นคุณงามดวามดี และหากพวกเขาจะขอแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องรับโทษ พระองค์จะไม่ตอบรับอย่างแน่นอน เช่นในอายะฮ์ที่พระองค์ได้ตรัสไว้

إنَّ الدين كفروا لو أنَّ لهم ما في الأرضِ جميعا ومثلَه لِيفتَدوا به من عداب يوم القيامة ما تُقُبِّل منهم ولهم عدابٌ إليم يريدونَ أن يخرجوا منها وما هم بِخارجين منها ولهم عداب مقيم (المائدة/ 36-37)

 

“แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นหากพวกเขามีสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดและมีเยี่ยงนั้นอีกรวมกัน

เพื่อจะให้มันไถ่ตัวให้พ้นจากการลงโทษในวันกิยามะฮฺแล้ว มันก็จะไมถูกรับจากพวกเขา

(ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้รับโทษที่สาสม กับความยโสของพวกเขา)

และสำหรับพวกเขานั้นคือ การลงโทษอันเจ็บแสบ เขาเหล่านี้ปรารถนาที่จะออกจากไฟนรก

แต่พวกเขาก็หาได้ออกจากมันไปได้ไม่ และสำหรับพวกเขานั้นคือ การลงโทษที่คงอยู่คลอดไป”

 

        และอีกหลักฐานหนึ่งที่พระองค์อัลลอฮฺทรงให้ทราบว่า การงานของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นเหมือนกับภาพลวงตาที่เห็นแล้วเหมือนกับว่ามีน้ำ แต่เมื่อไปหามันปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย เช่นพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

إنَّ الدين كفروا أعمالهم كسرابٍ بِقيعةٍ يحسبُهم الظمْآنُ ماءً حتى إدا جاءه لم يجدْه شيئاً ووجدَ الله عنده فوفَّاه حسابَه  والله سريعُ الحٍساب (النور/39)

 

“และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น การงานของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพลวงตาในที่ราบโล่งเตียน

คนกระหายน้ำคิดว่ามันเป็นแอ่งน้ำ เมื่อเขามาถึงมันเขาจะไม่พบสิ่งใดเลย

แต่เขาได้พบอัลลอฮฺทรงอยู่ ประจันหน้าเขา แล้วพระองค์ทรงตอบแทนบัญชีการงานของเขาอย่างครบครัน

และอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้รีบเร่งในการตอบแทน หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลาย

ในท้องทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขาและเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า

เมื่อเขาเอามือของเขาออกมาเขาแทบจะมองไม่เห็นมัน

(คือเมื่อมนุษย์คนนั้นตกอยู่ในความมืดมนทั้งหลาย เมื่อเขาเอามือของเขาออกมาจะมองไม่เห็นมันเลย

เพราะความมืดของท้องทะเล ความมืดของคลื่น และความมืดของเมฆได้ปกคลุมและซ้อนกัน)

และผู้ใดที่ อัลลอฮฺไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย”