สิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม
โดย : อาจารย์ มาลิก โยธาสมุทร
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม ซึ่งการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า การสู้รบในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตและการขัดขวางให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธการศรัทธาต่อพระองค์ และการกีดกัน อัล-มัสยิดิลฮะรอมตลอดจนการขับไล่ชาวอัล-มัสยิดิลฮะรอมออกไปนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์ และการฟิตนะห์นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า และพวกเขาจะยังคงต่อสู้พวกเจ้าต่อไป จนกว่าพวกเขาจะทำให้พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของพวกเจ้า หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
(อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 217)
ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ เถิด ที่จริงศาสนาของอัลเลาะห์ นั้นมีศาสนาเดียว และหนทางของพระองค์นั้นมีอยู่หนทางเดียวที่ชัดเจนเที่ยงตรงที่สุด ส่วนทางที่หลงผิดนั้นมีหลายทาง มีหลายกลุ่ม หลายเหล่าปะปนกันมากมาย อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง(คือทางอื่น ๆ ที่มนุษย์อุตริกำหนดขึ้นเอง ซึ่งมิใช่มาจากอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ) เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
(อัลอันอาม 6 : 153)
เพราะบรรดาหนทางทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นทนทางที่เป็นเท็จ หลงผิด ที่ชัยฏอนเป็นตัวชี้นำ ชักจูงทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ผู้ที่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง ที่ตั้งอยู่บนความจริง จะต้องถูกขัดขวางต่อต้าน จากบรรดาชัยฏอนในทุกรูปแบบและวิธีการ เพื่อให้เขาถลำตัวตกลงไป อยู่ในหนทางที่หลงผิดให้จงได้ ไม่ว่าจะด้วยการสำทับ ข่มขู่ หรือหว่านล้อม ยุยง ส่งเสริมให้กระทำสิ่งใดๆที่ไม่ถูกต้อง และหลงผิดไปจากทางของอัลเลาะห์ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นมุสลิม เราจะต้องรู้จักหนทางที่ถูกต้อง และรู้เท่าทันหนทางที่หลงผิด เพื่อที่เราจะสามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ไม่หลงกลของชัยฏอน และเพื่อที่จะไม่ถูกมันหลอกลวง และที่สำคัญก็คือ เราจะต้องมีความอดทน และยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับความจริงอยู่เสมอและตลอดไป
ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย การกลับออกไปจากศาสนาอิสลาม ไปสู่การกุฟุรฺ(มุรตัด)นั้น บางทีก็เป็นการละทิ้งศาสนาอิสลามทั้งหมดไปเป็นกาฟิรเต็มตัว และบางทีก็ด้วยการกระทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้การเป็นอิสลามบกพร่อง หรือทำให้ต้องสูญเสียอิสลามไป แต่ขณะเดียวกัน ผู้นั้นก็ยังคงหลงเรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิมอยู่ เพราะคิดว่าตนยังมีการปฏิบัติสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสลามอยู่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว เขาหาได้เป็นมุสลิมอีกต่อไปไม่ และนี่นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพูดกันให้ชัดเจน เพราะผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสภาพดังกล่าว อันเนื่องจากความเขลาของตนเองโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในฐานะสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม อันเนื่องจากการกระทำที่ทำให้เสียอิสลาม
บางคนคิดว่า ใครที่ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากบรรดาสัญลักษณ์ของอิสลาม เขาก็คือมุสลิมแล้ว แม้ว่าเขาจะกระทำสิ่งที่เป็นกุฟุรฺอยู่ก็ตาม ดังกล่าวเป็นการคาดเดาที่ผิดมหันต์ หากแต่เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมาอันเนื่องมาจากความเขลา ละการขาดความรู้ในคำสอนของอิสลามนั่นเอง
และจากการกระทำที่ทำให้เสียอิสลาม(มุรตัด)นี่เอง นับเป็นท่าที่ที่น่าปวดร้าวสำหรับผู้คนเป็นจำนวนมากในปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ อะไรคือทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง อะไรคือทางที่หลงผิด
พวกเขาไม่รู้ดอกว่า ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม และมุ่งหน้าทำอิบาดะห์บางอย่างอยู่ แล้วต่อมาเขาได้กระทำสิ่งที่ทำให้เสียอิสลามตามไปด้วยนั้นจะได้รับผลเช่นใด? ดังเช่น ผู้ที่อาบน้ำละหมาด แล้วต่อมาก็มีฮะดัษ(สิ่งที่ทำให้เสียน้ำละหมาด เช่น ผายลม หมดสติ เป็นบ้า หรือกระทบทวารทั้งสอง ฯลฯ) เกิดขึ้น แล้วยังจะถือว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีน้ำละหมาดอยู่อีกกระนั้นหรือ?
ที่จริงศาสนาอิสลามมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ปราศจากความเป็นจริง และมิใช่เป็นการรวมกันระหว่างสองขั้วที่ขัดแย้งตรงข้ามกัน แต่อิสลามคือศาสนาแห่งความรู้ ศาสนาที่เป็นจริงและสัตย์จริง อิสลามคือการยอมจำนนตนต่ออัลเลาะห์ ด้วยการให้เอกภาพ(เตาว์ฮีด) ต่ออัลเลาะห์ เป็นหนึ่งเดียวต่อพระองค์ เชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ โดยไม่นำพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ อิสลามเป็นศาสนาเดียวเท่านั้นที่ครบถ้วยสมบูรณ์ จำเป็นจะต้องดำรงรักษาสัญลักษณ์ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของอิสลามเอาไว้ และให้ห่างไกลจากบรรดาสิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม อิสลามเป็นทั้งศาสนา เป็นทั้งรัฐ เป็นการเคารพภักดี(อิบาดะห์) เป็นบทบัญญัติ(ฮุกุม) และเป็นการปฏิบัติ เป็นการเรียกร้องเชิญชวน(ดะอฺวะห์) และเป็นการเสียสละ ต่อสู้(ญิฮาด) กล่าวโดยสรุป ศาสนาอิสลามคือ ระบอบแห่งการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาตินั่นเอง
ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย ผู้ที่เป็นมุสลิมนั้น มิได้หมายถึงผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากมุสลิม หรือ “แขก” ตามคำเรียกขานของคนไทยทั่วๆไปที่ยังคงกระทำสิ่งที่ทำให้สูญเสียอิสลาม(กุฟุรฺ) หรือทำในสิ่งที่ทำให้ตนสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) บุคคลประเภทนี้ไม่นับว่าเป็นมุสลิมที่แท้จริง ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กล่าวยกย่องชมเชยสรรเสริญอิสลาม โดยไม่ยึดมั่นในแนวทางที่เที่ยงตรงของอิสลาม และไม่ปฏิบัติตามบัญญัติ คำตัดสิน ข้อชี้ขาดของอิสลาม ก็ไม่นับว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิมด้วยเช่นกัน
ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้เสียอิสลามนั้นมีอยู่มากมาย เป็นสาเหตุทำให้สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม(ริดดะห์) เราจะขอยกมากล่าวเฉพาะที่เกิดขึ้นอยู่มากมายในสังคมของเรา เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดแจ้ง และเพื่อเราจะได้ระวังตนไม่ให้ตกอยู่ในสภาพดังกล่าว นั่นก็คือ
การตั้งภาคี (อัชชิรกฺ) ในการอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ ดังเช่น มีการอิบาดะห์ต่อกุบู๊ร มีการวิงวอนขอดุอาอฺจากคนตาย การขอความช่วยเหลือจากคนที่ตายไปแล้วเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดกับผู้ตาย หรือเพื่อให้ได้รับตามที่ตนปรารถนาไม่ว่าจะด้วยการบนบานศาลกล่าว(การนะซัร) การเชือดบูชาเพื่อทำตามคำบนบาน การเชือดเพื่อญิน เพื่อให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งปัจจุบันมีทำกันเป็นจำนวนมากจากผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม โดยอ้างว่า เพื่อเป็นสื่อ(วะซีละห์) ระหว่างตัวเขากับอัลเลาะห์ เพื่อให้ได้รับความสำเร็จและสมหวังตามที่เขาปรารถนา ไม่ว่าจะด้วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ดี การเชือดให้กับญินก็ดี การเสี่ยงทายต่างๆก็ดี และการเชือดเพื่ออื่นจากอัลเลาะห์ นับเป็นชิริกใหญ่ เป็นชิริกอักบัรทั้งสิ้น
ริดดะห์อีกชนิดหนึ่งที่ทำให้เสียอิสลามก็คือ การเย้ยหยันสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านรอซูล(ซ.ล.)นำมา เช่นเย้ยหยันในเรื่องการไว้เครา การแปรงฟัน การใช้กันให้ทำความดี ห้ามปรามกันมิให้ทำความชั่ว และในเรื่องการญิฮาด ฯลฯ อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
65. และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา(*1*) แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุก, พูดเล่น,เท่านั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าต่ออัลลอฮ์ และบรรดาโองการของพระองค์และร่อซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน ?
66. พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธา(*2*)แล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า(*3*) เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง(*4*)เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด
(อัตเตาว์บะห์ 9 : 65-66)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) เกี่ยวกับคำพูดของพวกเขาที่กล่าวดูถูกและเย้ยหยันท่านนบี
(2) คือเนื่องจากพวกเขาเย้ยหยันอัลลอฮ์ และโองการของพระองค์ และเย้ยหยันร่อซูลของพระองค์
(3) คือกลุ่มที่กลับเนื้อกลับตัวและขออภัยโทษ
(4) คือกลุ่มที่ดื้อรั้นอยู่ไม่ยอมกลับตัว หรือที่ตายไปโดยมิได้สำนึกผิด และกลับ
ริดดะห์อีกประการหนึ่ง ที่ทำให้เสียอิสลาม ก็คือการพิพากษา หรือตัดสินที่ไม่เป็นไปตามที่อัลเลาะห์(ซ.บ.) ได้ประทานบัญญัติลงมา ดังนั้น ผู้ใดที่พิพากษาไม่เป็นไปตามที่อัลเลาะห์ได้ทรงมีบัญญัติไว้ และเห็นว่าการพิพากษาของเขานั้น ดียิ่งกว่าฮุกุมของอัลเลาะห์ และผู้เป็นรอซูลของพระองค์ และเป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่า หรือเห็นว่าสามารถที่จะเลือกไม่เอาคำพิพากษาตัดสินของอัลเลาะห์ หรือตัดสินให้ไปเป็นอื่นจากคำพิพากษาตัดสินของอัลเลาะห์ เช่น ใช้กฎหมายอื่นๆทั่วๆไป เขาก็คือ กาฟิรฺ เป็นมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม ตามที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอตลงมา โดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอต ตัดสิน(*1*)ด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮ์(*2*) และพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า(*3*) จงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย(*4*) และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา
(อัลมาอิดะห์ 5 : 44)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) คือตัดสินระหว่างพวกยิวหลังจากท่านนะบีมูซาได้ล่วงลับไปแล้ว เช่น เกี่ยวกับบรรดาค่อลีฟะฮฺ และบรรดานักปราชญ์ของมุสลิมใช้อัล-กุรอานตัดสินระหว่างมุสลิมีน หลังจากท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
(2) กล่าวคือเนื่องจากอัลลอฮ์ทรงมอบหมายให้บรรดผู้ที่รู้แจ้งในพระองค์และบรรดานักปราชญ์รักษาคัมภีร์ไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้คัมภีร์นั้นตัดสินระหว่างพวกเขา
(3) หมายถึงบรรดาผู้ที่รู้แจ้งในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลาย
(4) หมายถึงว่าไม่ยอมปฏิบัติตามโองการของอัลลอฮ์ โดยเห็นแก่ผลประโยชน์อัน
ไม่ว่าจะเอากฎหมายอื่นใดมาตัดสินในทุกเรื่อง หรือในบางเรื่อง บางกรณีก็ตาม ตราบใดที่เขายังเห็นว่า ดังกล่าวนั้น เป็นการดีแก่สังคม หรือเป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ เขาผู้นั้นคือผู้ปฏิเสธศรัทธา แม้ว่าเขาจะละหมาด จะถือศีลอด และอ้างตนว่ายังเป็นมุสลิมอยู่ก็ตาม
และในทำนองเดียวกัน ผู้ที่มิต้องการให้มีการตัดสินให้เป็นไปตามบทบัญญัติศาสนา ก็เข้าอยู่ในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน ดังที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
เจ้า(มุฮัมหมัด) มิได้มองดูบรรดาผู้ที่อ้างตนว่าพวกเขาศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าและสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้าดอกหรือ ?(*1*) โดยที่เขาเหล่านั้นต้องการที่จะให้การแก่อัฏฏอฆูต (*2*) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกใช้ให้ปฏิเสธมันและชัยฏอนนั้นต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางที่ห่างไกล
(ซูเราะห์ อันนิซาอฺ 4 :60)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) บรรดาผู้ที่อ้างตนว่าศรัทธานั้น คือพวกมุนาฟิก
(2) หมายถึง กะอ์บ บินอัล-อัชร็อฟ เพื่อให้เขาตัดสิน - สาเหตุแห่งการลงมาของอายะฮ์นี้มีว่า มีชายชาวอันซอร์คนหนึ่งกับชาวยิวคนหนึ่งทะเลาะกันชาวยิวกล่าวว่าให้มุฮัมมัดตัดสินระหว่างฉันกับท่าน แล้วชาวอันซอรก็กล่าวว่า ให้กะอ์บ บิน อัล-อัชร็อฟ เป็นผู้ตัดสิน
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ คับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี (คือดีใจเห็นชอบตามที่ท่านนะบีตัดสินทุกอย่าง เช่นนี้พวกเขาจึงจะอยู่ในฐานะผู้ศรัทธา )
(ซูเราะห์ อันนิซาอฺ 4 :65)
และนี่คือ สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับมุสลิมปัจจุบัน เพราะรัฐบาลมุสลิมหรือผู้ปกครองมุสลิมเป็นจำนวนมากผินหลังละทิ้งไม่เอาคัมภีร์ของอัลเลาะห์ มาใช้ในการตัดสิน แต่กลับไปเอากฎหมายที่ออกมาโดยพวกตะวันตก และนำมาใช้ตัดสินระหว่างประชาชน ดังนั้น จึงจำเป็นที่มุสลิมจะต้องรู้บทบัญญัติของอัลเลาะห์ ให้ดี และอย่าได้ยินยอมกระทำตามบทบัญญัติของผู้ฝ่าฝืนเหล่านั้นเป็นอันขาด!
สิ่งที่ทำให้เสียอิสลามอีกประการหนึ่งคือ การละทิ้งละหมาด ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธการละหมาดฟัรดูว่ามิใช่เป็นวาญิบ เขาก็ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) ด้วยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์มุสลิม และผู้ใดที่ละทิ้งละหมาดเพราะความเกียจคร้านมิใช่เพราะปฏิเสธหลักการ ทั้งๆที่มีการเรียกร้องให้ไปละหมาด แต่เขาก็ยังคงดื้อดึง และละทิ้งละหมาดอยู่เป็นประจำ เขาก็เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น ดังที่อัลเลาะห์ตรัสว่า :
แล้วหากพวกเขาสำนึกผิดกลับตัว และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาตแล้วไซร้ก็เป็นพี่น้องของพวกเจ้าในศาสนา และเราจะแจกแจงบรรดาโองการไว้แก่กลุ่มชนที่รู้(คือกลุ่มชนที่ใช้สติปัญญาและมีความเข้าใจ)
(ซูเราะห์ อัตเตาว์บะห์ 9 : 11)
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
42. อะไรที่นำพวกท่านเข้าสู่กองไฟที่เผาไหม้ (*1*)
43. พวกเขากล่าวว่า เรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำละหมาด
44. เรามิได้ให้อาหารแก่บรรดาผู้ขัดสน
45. และพวกเราเคยมั่วสุมอยู่กับพวกที่มั่วสุม
46. และเราเคยปฏิเสธวันแห่งการตอบแทน
47. จนกระทั่งความตายได้มาเยือนเรา (*2*)
48. ดังนั้นการชะฟาอะห์ของบรรดาผู้มีชะฟาอะห์จะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเขา (*3*)
(ซูเราะห์ อัลมุดดัรซิร 74 : 42-48)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) คือทุกชีวิตนั้นย่อมผูกพันกับผลงานที่เขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยา เว้นแต่กลุ่มทางเขา คือบรรดามุอฺมินที่มีความสุขเพราะพวกเขาได้สามารถปลดเปลื้องตัวของพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษด้วยการศรัทธาและการจงรักภักดีเชื่อฟังต่ออัลเลาะห์ พวกเขาจะมีความสุขอยู่ในสวนสวรรค์และไต่ถามซึ่งกันและกันถึงสภาพของบรรดาผู้กระทำผิดที่อยู่ในนรกว่า ด้วยเหตุอันใดเล่าที่ทำให้พวกท่านเข้าไปอยู่ในนรก? การถามนี้เป็นการดูถูกและเย้ยหยันเพราะเขารู้ดีถึงสาเหตุอันแท้จริงแล้ว
(2) บรรดาผู้กระทำผิดที่อยู่ในนรกจะกล่าวตอบว่า พวกเขาได้กระทำผิดที่ใหญ่ยิ่ง คือการทิ้งละหมาด ไม่บริจาคซะกาต มั่วสุมอยู่กับคนเลว และปฏิเสธวันกิยามะฮฺว่าไม่มีการชำระและการตอบแทนในการทำความผิดดังกล่าวนั้น พวกเราก็มิได้สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวจนกระทั่งความตายได้มาถึงเรา แล้วพวกเราก็ต้องมารับเคราะห์กรรมดังที่เห็นอยู่ขณะนี้
(3) ดังนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดช่วยพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ถึงแม้ว่าชาวโลกทั้งมวลจะมาช่วยเหลือพวกเขาก็ตาม การชะฟาอะห์ของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการตอบรับ
และยังแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเข้านรก ก็เพราะการละทิ้งการละหมาดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ การขอชะฟาอะห์ของผู้ขอชะฟาอะห์ใดๆ จึงไม่เป็นผล การขอชะฟาอะห์ของผู้ที่ขอชะฟาอะห์ที่เป็นมุสลิมนั้น จะเป็นประโยชน์แก่เขา ด้วยอนุมัติของอัลเลาะห์
ท่านรอซูล กล่าวว่า : พันธะสัญญาระหว่างเรากับพวกเขา(พวกกาฟิรฺ) ก็คือ การละหมาด
(บันทึกโดยอัตติรมิซีย์)
ฮะดีษนี้ ชี้ให้เห็นว่า การละหมาดเป็นตัวจำแนกชี้ขาดระหว่างผู้เป็นกาฟิร กับผู้เป็นมุสลิม ดังนั้น ผู้ใดที่ไม่ละหมาดเขาก็มิใช่มุสลิม ท่านรอซูล กล่าวว่า :
ระหว่างผู้เป็นบ่าวกับการกุฟรฺ หรือ ชิริก ก็คือ การละทิ้งละหมาดนั่นเอง
(บันทึกโดยอัตติรมิซีย์)
ตัวบทจากกิตาบุลลอฮ์ และซุนนะห์แห่งรอซูล ของพระองค์เหล่านี้ บ่งชี้ชัดว่า ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นกุฟรฺ และออกนอกแนวทางของอิสลาม แม้ว่าเขาจะอ้างว่าตนเป็นมุสลิมและอาศัยอยู่กับมุสลิมก็ตาม
ปัจจุบันมีผู้ละทิ้งละหมาดกันเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดกล้าจะไปทำอะไรกับพวกเขาได้ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ละหมาด แต่อย่างไรก็ตาม อิสลามยังให้โอกาสเขากลับเนื้อกลับตัว หากเขาต้องการจะกลับเนื้อกลับตัวและดำรงละหมาด หรือไม่ก็ให้ประหารชีวิตเขาได้ในฐานะที่เป็นผู้ตกศาสนา(มุรตัด) ไม่อนุญาตให้นำศพมาฝังในกุบู๊รของมุสลิม ทรัพย์มรดกของเขานั้นญาติคนใดก็รับไม่ได้ แต่ให้ส่งเข้ากองคลังกลางของอิสลาม(บัยตุลมาล) และในทำนองเดียวกันก็ให้แยกภรรยาของเขาที่เป็นมุสลิมะห์ออกไปเสีย เพราะมุสลิมะห์นั้น ไม่เป็นที่อนุมัติ(ฮะล้าล) สำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ)
ดังที่อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
พวกนางนั้น มิได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่พวกนาง
(อัลมุมตะฮินะห์ 60 : 10)
ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้เขามาแต่งงานกับหญิงมุสลิม และไม่อนุมัติให้หญิงมุสลิมไปแต่งงานกินอยู่กับเขา
หากฮุก่มของอัลเลาะห์ ถูกนำมาใช้ในข้อนี้อย่างจริงจัง ประเทศมุสลิม บ้านมุสลิม ก็จะสะอาดปลอดภัยจากอาชญากรรม ดังที่กล่าวมาแล้ว และจะทำให้สังคมมุสลิมมีแต่ความสงบสุขไม่ตกต่ำดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ผู้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย สิ่งที่ทำให้เสียอิสลาม ซึ่งมีอยู่แพร่หลายมากมาย ในปัจจุบันสังคมมุสลิม นับเป็นต้นเหตุของการเกิดลัทธินอกคอกมากมายแพร่หลายมากขึ้น อันเป็นเหตุให้มุสลิมสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) ทั้งนี้ก็เพราะส่วนมากแล้วพวกเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือ อิสลาม และอะไรไม่ใช่อิสลามนั่นเอง
สิ่งที่ทำให้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) อีกประการหนึ่ง ก็คือ ผู้ใดไม่ถือว่าบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี(มุชริกีน) ตกเป็นผู้ปฏิเสธ(กาฟิรฺ) หรือเกิดความคลางแคลงใจสงสัยในการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ของบรรดาผู้ตั้งภาคี(มุชริกีน) หรือเห็นคล้อยตามไปด้วยว่าแนวทางของบรรดาผู้ตั้งภาคีกับอัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว เขาผู้นั้นก็ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) แล้วนั่นเอง
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
25. แท้จริงบรรดาผู้ผินหลังกลับของพวกเขาหลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว ชัยฎอนมารร้ายได้ล่อลวง พวกเขาได้ให้ความหวังแก่พวกเขา (ว่าจะมีชีวิตยืนนาน)
26. ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้เกลียดชังสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงประทานลงมาว่าเราจะเชื่อฟังปฏิบัติตามในกิจการบางอย่าง แต่อัลเลาะห์ทรงทราบดีถึงความลับของพวกเขา(*1*)
27. แล้ว(สภาพของพวกเขา) จะเป็นเช่นไร เมื่อมะลาอิกะห์มาเอาชีวิตของพวกเขาโดยตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา (*2*)
28. ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่จะก่อความกริ้วแด่อัลเลาะห์ และพวกเขารังเกียจความโปรดปรานของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล(*3*)
(ซูเราะห์ มุฮัมหมัด 47 : 25-28)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) ทั้งนี้เพราะพวกมุชริกีนได้กล่าวแก่บรรดาผู้เกลียดชังถึงสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานลงมาคืออัลกุรอานว่าเราจะร่วมมือกับพวกท่านในการเป็นศัตรูต่อร่อซูล และด้วยการขัดขวางบรรดามุอฺมินมิให้เข้าทำการญิฮาด แล้วอัลเลาะห์จะทรงเปิดเผยความลับของพวกเขา
(2) สภาพของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ขณะที่มะลาอิกะห์แห่งการลงโทษมาเอาชีวิตของพวกเขาโดยมีฆ้อนเหล็กมาเพื่อตีใบหน้าและหลังของพวกเขา
(3) ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกริ้วคือการชิริกและการฝ่าฝืน และสิ่งที่อัลเลาะห์พอพระทัยคือการเตาฮีด และการงานที่ดี ดังนั้นสิ่งที่พวกเขากระทำไปก็จะเป็นการไร้ผลไม่ได้ผลบุญเป็นการตอบแทน
อัลเลาะห์ ตรัสว่า :
และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาตเหล่านั้น (คือไม่ยอมศรัทธาและทำเป็นลืม ) แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด (คือผู้ปฏิเสธอายาตต่าง ๆของเรา)
(ซูเราะห์ อัซซัจญ์ดะห์ 32 : 22)
อัลเลาะห์ ตรัสไว้อีกว่า :
เรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองเพื่ออื่นใดเว้นแต่ด้วยความจริง และวาระที่ถูกกำหนดไว้ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ผินหลังให้จากสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือน (*1*)
(ซูเราะห์ อัลอะฮฺก็อฟ 46 : 3)
----------------------------------------------------------------------------------
(1) คือเรามิได้สร้างทั้งสองและสิ่งที่อยู่ในมันโดยไร้ประโยชน์ แต่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเคล็ดลับและเป็นการชี้บ่งถึงความเป็นเอกภาพของเรา และเดชานุภาพอันสมบูรณ์ของเรา และวาระที่ถูกกำหนดไว้คือวาระแห่งการสูญสลายมันทั้งสองนั้นคือวันกิยามะฮฺ แต่พวกกุฟฟารเหล่านั้นผินหลังให้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับการตักเตือนว่าจะมีการลงโทษโดยที่พวกเขามิได้ใคร่ครวญและเตรียมตัวเพื่อเผชิญหน้ากับวันแห่งการตอบแทน
ข้าแต่อัลเลาะห์ ขอพระองค์ทรงให้เรามีความเข้าใจแจ่มแจ้งในอิสลาม และโปรดให้เรายืนหยัดอยู่กับอิสลาม จนกระทั่งถึงวันที่เราจะได้พบกับพระองค์โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเถิด โอ้พระเจ้าแห่งโลกทั้งผอง ข้าแต่อัลเลาะห์ ขอพระองค์ทรงให้เราได้เห็นความจริงเป็นความความจริง และโปรดให้เราได้ปฏิบัติตามความจริงนั้นด้วยเถิด และโปรดให้เราได้เห็นความเท็จเป็นความเท็จ และโปรดให้เราได้ห่างไกลจากความเท็จเหล่านั้นด้วยเถิด