นะบี แห่ง อิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  6749

นะบี แห่ง อิสลาม

(จากคำพูดของโตลสโตย)

โดย เชค อัสไซยยิด ซาบิ๊ก / ประเทศอียิปต์

โตลสโตย กล่าวว่า

         นะบี แห่งอิสลาม เกิดมาในประทศอาหรับ จากพ่อแม่ที่ยากจน  ในชีวิตเริ่มแรกของเขาเป็นผู้เลี้ยงสัตว์ ชอบอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องทุ่งทะเลทราย พินิจพิเคราะห์ตรึกตรองในผู้ทรงสร้างจักวาล (จากหนังสือนะบี แห่งอิสลามในกระจกส่องของอาหรับ)         

          ประชาชนชาวอาหรับในสมัยนั้น เคาพภักดีต่อพระเจ้าต่างๆมากมาย หาหนทางที่จะเข้าใกล้และทำให้พระเจ้าต่างๆเหล่านั้นพอใจอย่างมาก ทำการเคารพสักการะและถวายสัตว์พลีต่างๆ

          เมื่อเขามีอายุมากขึ้นเขามีความเชื่อว่า พระเจ้าต่างๆเหล่านั้นเป็นสิ่งเสียหายใช้ไม่ได้ และ มีพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ ทั้งหลายทั้งมวล ในขณะที่ความศรัทธาของมุฮัมมัด ได้เพิ่มมากขึ้น เขาจึงเรียกร้องประชาชาติ และพวกพ้องไปสู่ความคิดของเขา โดยประกาศว่า อัลลอฮ์ได้ทรงส่งเขามาเพื่อนำทางมนุษย์ชาติ และสัญญาว่าจะให้สายตาของพวกเขาได้เห็นแสงสว่าง ทำลายความเชื่อและการเคารพสักการะที่เสียหาย และใช้ไม่ได้ของพวกเขา เขาได้เที่ยวออกไประกาศหลักยึดมั่นและศาสนาของเขา

         ข้อสรุป ศาสนาที่ศาสนฑูตผู้นี้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่ คือ อัลลอฮ์ มีองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้เคารพสิ่งใด นอกจากพระองค์ และว่าอัลลอฮ์นั้นมีความเมตตา มีความยุติธรรม ต่อบรรดาบ่าวของพระองค์

          แท้จริง จุดจบของมนุษย์นั้น ขึ้นอยู่กับพระองค์ องค์เดียวเท่านั้น เพราะว่า อัลลอฮ์จะทรงให้ผลตอบแทนแก่เขา ด้วยสิ่งที่ดีในชีวิตแห่งโลกหน้า และเมื่อเขาฝ่าฝืนบทบัญญัติ ของอัลลอฮ์ และเดินตามความใคร่ใฝ่ต่ำของเขา พระองค์จะทรงตอบแทนเขาด้วยการลงโทษที่เจ็บปวดในโลกหน้าเช่นกัน

          อัลลอฮ์ ทรงใช้ผู้คนทั้งหลายให้รักพระองค์ และให้พวกเขารักกัน การรักพระองค์ แสดงด้วยการละหมาด และการรักผู้คนทั้งหลายด้วยการอยู่ร่วมกันของพวกเขา ในยามที่มีความสุข และในยามที่มีความทุกข์ และว่า บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และโลกหน้า ถูกกำหนดต่อพวกเขา ให้ใช้ความพยายามอย่างที่สุด เพื่อการขับไล่ทุกสิ่งที่จะก่อให้เกิดความอยาก ความใคร่ของตนเอง และหลีกเลี่ยงออกห่างรสชาดต่างๆแห่งโลกนี้ และแท้จริง ได้ถูกกำหนดแก่เขาไม่ให้รับใช้ร่างกาย และการเคารพภักดีต่อมัน หากแต่จำเป็นที่จะต้องรับใช้วิญญาณ และฝึกฝนอบรมมัน

         มุฮัมมัด ไม่ได้กล่าวให้แก่ตัวเขาว่า เขาเป็นนะบีของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว หากแต่เขามีความเชื่อมั่น ในการเป็นนะบีของมูซา และอีซา และกล่าวว่าแท้จริง พวกยะฮูดีย์(ยิว) และนัศรอนีย์(คริสต์) ไม่ได้ถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนาของพวเขา

           ในอายุการเรียกร้องเชิญชวนในช่วงแรก เขาได้อดทนต่อการกดขี่ข่มเหงรังแก จากพวกที่นับถือศาสนาเก่าๆ อื่นๆมากมาย ซึ่งเป็นสภาพเดียวกับนะบีทุกท่านที่มาก่อนหน้าเขา  ที่เรียกร้องประชาชาติไปสู่ความจริง แต่ทว่าการกดขี่ข่มเหงมิได้ทำให้เขามีความย่อท้อ ท้อแท้แต่ประการใด หากแต่กลับทำให้มีความบากบั่น มานะพยายามในการเรียกร้องเชิญชวนประชาชาติของเขา

         บรรดาผู้ศรัทธานั้น มีความโดดเด่น แตกต่างไปจากพวกอาหรับ ด้วยการถ่อมเนื้อถ่อมตัว มักน้อยในโลกนี้ มีความรักการทำงาน และพอใจในสิ่งที่มีอยู่ และใช้ความอุตสาหะของพวกเขา ในการช่วยเหลือพี่น้องในเรื่องของศาสนา ในขณะที่มีสิ่งทดสอบต่างๆมากมาย

          วันเวลาได้ผ่านไปไม่นานนัก บรรดาผู้คนที่อยู้รอบข้าง ได้ยกย่องให้เกียรติ และจำนวนผู้ศรัทธาได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งของความดีงามในศาสนาอิสลามนั้น คือ การสั่งเสียให้เอาใจใส่ต่อพวกนัศรอนีย์(คริสต์) และยะฮูดีย์ (ยิว) และบรรดาผู้นำในศาสนาของพวกเขา และให้ปฏิบัติต่อพวกเขา ด้วยความดีอย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม คือ อนุญาตให้แต่งงานกับบรรดาหญิงที่นับถือศาสนา คริสต์ และ ยิว  ซึ่งเป็นสิ่งไม่คลุมเครือต่อบรรดาผู้มีสายตายาวไกล จากการอะลุ้มอะล่วยที่ยิ่งใหญ่

         หลังจากนั้น เขาได้ยุติการพูดจาของเขา โดยกล่าวว่า

          ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า นะบีผู้นี้ อยู่ในบรรดาผู้คนที่ดี ที่ได้รับใช้สังคมใหญ่อย่างมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิ ที่พอเพียงแล้ว ที่เขาได้นำประชาติของเขาทั้งหมดทุกคน ไปสู่แสงสว่างแห่งความจริง และทำให้พวกเขาสวามิภักดิ์ สยบแด่ความสุขสันติ งด ละ การหลั่งเลือด และถวายสิ่งสังเวยต่างๆ ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจที่เพียงพอแล้ว ที่เขาเปิดทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ให้แก่ประชาชาติ และสิ่งนี้เป็นการงานอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีใครได้รับ นอกจากผู้ที่ได้รับพละกำลัง วิทยปัญญา ความรู้ที่ดี เท่านั้น

ที่มา : สันติสุขสาร

และคนอย่างเขา มุฮัมมัด นะบี แห่ง ศาสนาอิสลาม สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการยกย่อง และให้เกียรติ