การอดทนต่อการทดสอบ
โดย อ.อับดุลฮะมีด บรอฮิมี
จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ศรัทธาจะต้องอดทนต่อการทดสอบ ถึงแม้การทดสอบนั้นจะร้อนแรงเพียงใดก็ตาม เพราะแท้จริง ภายหลังจากความยากลำบาก ย่อมมีความสะดวกง่ายดายอย่างแน่นอน และโทษทันธ์ในโลกดุนยานี้ มันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับการลงโทษในอาคิเราะฮ์
ท่านอานัส รายงานว่า
"แท้จริง ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้เข้าไปเยี่ยมเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะตาย
ท่านถามว่า : ท่านเผชิญกับความตายอย่างไร ?เขาตอบว่า : ฉันหวังความเมตตาจากอัลลอฮ์ และฉันก็หวาดหวั่นต่อความผิดของฉัน
ท่านเราะซูล ได้ปลอบเขาว่า : และความกลัวนั้น มันจะไม่รวมอยู่ในหัวใจของบ่าวในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากพระองค์ อัลลอฮ์ ประทานสิ่งที่เขามุ่งหวัง และให้เขาได้พ้นจากสิ่งที่เขาหวาดหวั่น"
ดังนั้น ท่านอย่าได้ทำให้การงานนั้นเสียไป ทั้งที่ท่านถูกต้องตามหลักฐานของฮะดิษนี้ ซึ่งบางครั้งความตายอาจมาถึงโดยไม่คาดคิด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้ศรัทธานั้นย่อมอดทน และพอใจกับสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงกำหนดไว้ ซึ่งหากเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะได้รับผลบุญ และหากเขาต้องตายเขาจะกลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์
ท่านเราะซูล กล่าวว่า
"ของขวัญอันล้ำค่าของผู้ศรัทธาคือ ความตาย"
(บันทึกโดย อัฏฏอบรอนีย์)
ภัยพิบัติของกลุ่มชนหนึ่ง เป็นผลดีต่อชนอีกกลุ่ม
มีผู้กล่าวสนับสนุนเรื่องนี้ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ นั้นจะไม่ทรงสร้างสิ่งใดขึ้นมา นอกจากจะแฝงด้วยวามเมตตา บางครั้งความเมตตาอาจเกิดกับบรรดาผู้ถูกทดสอบ หรือแก่คนที่ไม่ถูกทดสอบ แม้แต่การลงโทษอันเจ็บปวด ทรมานต่อพวกผู้ปฏิเสธในนรกญะฮันนัม ก็เป็นความเมตตา และเป็นความเมตตาที่ได้แก่บ่าวผู้ศรัทธา เพราะฉะนั้น ภัยพิบัติของชนกลุ่มหนึ่ง จึงเป็นผลดีของชนอีกกลุ่มหนึ่ง หากพระองค์อัลลอฮ์ มิทรงสร้างการลงโทษอันเจ็บปวด แน่นอน ผู้ที่ได้รับความสุขทั้งหลาย ย่อมไม่รู้คุณค่าของความสุขที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงโปรดปรานแก่พวกเขาว่าเป็นอย่างไร แล้วความสุขมากมายก็จะไม่เป็นที่รับรู้ และในที่นี้พระองค์อัลลอฮ์ ทรงสร้างสิ่งตรงข้ามมากมาย เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ของการได้รู้จักความสุข
หากไม่มีกลางคืน ย่อมไม่รู้คุณค่าของการมีกลางวัน
หากไม่มีความเจ็บไข้ โรคภัย ย่อมไม่รู้ถึงการมีสุขภาพดี
และเช่นเดียวกันกับการให้รู้จักกับความยากจน ขัดสน ท้องฟ้า และสรวงสวรรค์ ทุกสิ่งย่อมมีสิ่งตรงข้ามกันเสมอ ซึ่งชาวสวรรค์จะภาคภูมิใจ ดีใจมากขึ้น เมื่อเขาคิดถึงความเจ็บปวดทรมานของชาวนรก ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขของชาวสวรรค์ ชาวนรกจะได้เห็นว่าชาวสวรรค์ไม่มีความทุกข์ทรมาน การลงโทษอันใดเลย
เป็นที่รู้ดีว่า การทดสอบทั้งหลายที่ประสบกับบ่าวนั้น จะต้องป้องกันผลักดันมันให้ได้ บ่าวไม่ได้ถูกให้อดทนต่อมันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ให้ต้องขจัดมันออกไปด้วย
ท่านนะบี กล่าวว่า
"ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ศรัทธา ที่จะยอมลดตัวของเขานั้น ต้องแบกรับสิ่งที่เกินความสามารถ"
และแน่นอนความอดทนอันน่าชื่นชมเพี่ยงอย่างเดียว ไม่ใช่วิธีที่จะขจัดความเจ็บปวดของการทดสอบได้ และความสุขนั้นบางที่ก็เป็นบททดสอบแก่ผู้ที่มีความสุข ดังนั้นคนเราจึงถูกทดสอบทั้งสุข และทุกข์ และกี่มากน้อยแล้วที่การทดสอบ คือ ความสุขที่เกิดขึ้นกับผู้ทดสอบ และบางทีความขัดสนการเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นสิ่งที่ดีแก่บ่าว ซึ่งหากเขาสุขภาพดี มีทรัพย์มากมายก็กลายเป็นคนที่ฝ่าฝืน และไม่สำนึกในความเมตตาก็เป็นได้
พระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"หากพระองค์ ทรงหยิบยื่นริสกี ให้แก่บ่าวของพระองค์อย่างง่ายดาย
พวกเขาย่อมละเมิดขอบเขต ของพระองค์ในแผ่นดินนี้อย่างแนอน"
(อัชชูรอ / 24)
ความเมตตาทั้งหมด นอกจากความศรัทธา และจรรยาอันดีงาม ล้วนแต่เป็นบททดสอบที่มนุษย์จะต้องถูกทดสอบทั้งสิ้น และบรรดาที่ตรงข้ามกับความเมตตา ก็ถือเป็นความเมตตาที่พวกเขาได้ถูกทดสอบ แน่นอการรู้นั้น ถือเป็นการเตรียมพร้อม และความเมตตา แต่บางครั้งการรู้นั้นก็เป็นการทดสอบเช่นกัน และการไม่ต้องรู้ก็ถือเป็นความเมตตา เช่น อายุของบ่าวที่ถูกกำหนดไว้ หรือการที่บ่าวไม่รู้ความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของผู้คน ที่มีต่อเขา ซึ่งหากความลับนี้ถูกเปิดเผยต่อเขา แน่นอนเขาย่อมกังวล หวาดหวั่นอยู่กับมัน
และกี่มากน้อยแล้วที่ความเมตตาที่บ่าวพยายามจะรักษามันไว้ กลับกลายเป็นความหายนะสู่ตนเอง ความเจ็บปวดและโรคภัยทั้งหลาย เป็นสิ่งที่มาเยียวยาจิตวิญญาณและร่างกาย และมาเติมความสมบูรณ์ให้แก่มนุษย์ ดังนั้นผู้ทรงให้มีโรคภัยที่ให้ความเจ็บป่วยนั้น มิใช่อื่นใด นอกจากเพื่อเยียวยาเขานั่นเอง และที่ได้ทดสอบเขาก็เพื่อให้เขาได้เข้มแข็ง และให้เขาต้องตายเพื่อจะได้ฟื้นคืนชีพ
แน่นอนพระองค์ทรงปิดกั้นความสุขส่วนใหญ่ ด้วยสิ่งที่เป็นที่รังเกียจนานาชนิด และทรงทำให้มันเป็นสะพานเชื่อมโยงสู่ความสุข ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญหามักกล่าวว่า แท้จริงความสุขนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยความทุกข์ ความสะดวกสบายเกิดขึ้นได้จากความยากลำบาก ดังนั้น ความเจ็บปวดต่างๆ และความทุกข์ยากนี้นับเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งความทุกข์ก็คือสาเหตุของความเมตตานั่นเอง เช่น ฝน และ หิมะ ที่ตกลงมา และลมที่พัดมา กับสิ่งที่มากับลม และจากความเจ็บปวดเดือดร้อนต่างๆ และผลประโยชน์มากมายที่มาพร้อมกัน
และเช่นกันหากสตรีมองแค่เพียงความเจ็บปวดของการอุ้มครรภ์และการคลอดบุตร แน่นอนนางคงไม่ต้องการแต่งงาน แต่ในความเจ็บปวดทุกข์ยากนี้ยังมีความสุขของการเป็นแม่ และการให้กำเนิดที่มากกว่าความเจ็บปวดทุกข์ยากหลายเท่านัก ยิ่งไปกว่านี้จะเห็นว่า สตรีที่มีลูกไม่ได้ต้องไปหาแพทย์ เพื่อทำให้สามารถมีลูกได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอันใด ไม่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่พระองค์ทรงห้าม
บางอย่างความเสื่อมเสียได้ปรากฏชัดเจนกว่าสิ่งดี เช่น พระองค์ ตรัสถึง "สุรา" ว่า โทษของมันนั้น ใหญ่กว่าประโยชน์ของมัน หากบ่าวได้มองเห็นว่า ผลร้าย และความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้น จากสุรานั้นมีมากมายเพียงใด เขาย่อมจะไม่เอามันมาดื่มกินอย่างแน่นอน