ความประเสริฐของเวลาซุบฮิ และอัศริ
  จำนวนคนเข้าชม  18519

ความประเสริฐของเวลาซุบฮิ และอัศริ

โดยอาจารย์ กอเซ็ม เดชเลย์

มีรายงานจากท่านนอบีฮุรอยเราะห์ แจ้งว่า : ท่านรอซูล กล่าวว่า :

          มะลาอิกะห์ช่วงกลางวันและมะลาอิกะห์ช่วงกลางคืน จะมาผลัดเปลี่ยนเวรกัน และจะมารวมกันในเวลาละหมาดฟัจริ (ซุบฮิ) และอัศริ หลังจากนั้นมะลาอิกะห์ที่อยู่ร่วมกับพวกท่าน(พวกที่ทำการละหมาด) ในช่วงที่ผ่านมาก็จะกลับขึ้นไป แล้วพระเจ้าของพวกเขา(อัลเลาะห์) จะทรงถามพวกเขาว่า : (ซึ่งพระองค์ทราบดีอยู่แล้ว)
          ท่านทั้งหลายละทิ้งบ่าวของฉันมาในสภาพเช่นไร?
มลาอิกะห์ทั้งหลายจะตอบว่า :
          เราละทิ้งพวกเขามาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาด และเราก็ไปหาพวกเขาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาดอยู่

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ และมสุลิม)

คำอธิบาย

          อัลเลาะห์ ได้ทรงสัญญาว่า จะปกปักษ์รักษาบ่าวของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงมอบหมายทหารของพระองค์นั่นก็คือมะลาอิกะห์ ให้มาคอยดูแล คุ้มครองและจดบันทึก บางท่าน(มะลาอิกะห์) มีหน้าที่คุ้มครองบรรดามุอฺมินจากบรรดาชัยฏอนและญิน บางท่านก็มีหน้าที่จดบันทึกความดีและความชั่วที่บรรดามุอฺมินได้พูดหรือกระทำ

          และฮะดีษที่เรากำลังทำความเข้าใจและอธิบายอยู่นี้ ท่านรอซูล ได้บอกกับเราว่า : นอกเหนือจากบรรดามะลาอิกะห์ที่คอยคุ้มครองดูแลและคอยจดบันทึกคุณงามความดีต่างๆแล้ว ยังมีมะลาอิกะห์ที่คอยเป็นพยานยืนยัน ซึ่งมะลาอิกะห์เหล่านี้จะมารวมตัวกันในเวลาละหมาด และจะกลับขึ้นไปยังพระเจ้าของพวกเขา เพื่อที่จะรายงานเรื่องราวต่างๆ (ซึ่งพระองค์อัลเลาะห์ นั้นทรงทราบดี) เกี่ยวกับความจงรักภักดีของบรรดามุอฺมินในการทำอิบาดะห์และการในการมาร่วมละหมาดญะมาอะห์ แม้ว่าเขาเหล่านั้น(มุอฺมิน) จะมีความยากลำบากหรือว่าต้องใช้ความเพียรพยายามมากเพียงใดก็ตาม

           มะลาอิกะห์มีร่างกายที่เป็นรัศมี อัลเลาะห์ทรงสร้างมาจากรัศมีและทรงให้ความสามารถพิเศษในการจำแลงร่างเป็นรูปต่างๆตามต้องการ และมะลาอิกะห์ส่วนใหญ่นั้นเป็นทหารของอัลเลาะห์ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ อิบาดะห์ต่อพระองค์ และรำลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ

พระองค์ตรัสว่า :

          และไม่มีผู้ใดรู้จำนวนไพร่พลของ(ทหาร)ของพระเจ้าของเจ้า นอกจากพระองค์ และนี่ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นข้อตักเตือนแก่มนุษย์
(อัลมุดดัรซิร 74 : 31)

          และก่อนที่อัลเลาะห์ จะสร้างอาดัม พระองค์ได้ทรงบอกบรรดามะลาอิกะห์ว่า อาดัม และลูกหลานจะนำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่แผ่นดิน และพระองค์ทรงทราบก่อนหน้านี้แล้วว่า แท้จริงอาดัมคือผู้แทนของพระองค์บนหน้าผืนแผ่นดินนี้ และมะลาอิกะห์ได้ถามอัลเลาะห์ ถึงบาทหน้าที่ของอาดัม และลูกหลานในการเกิดขึ้นมาครั้งนี้ และได้แสดงความคิดเห็นว่า : พวกเขา(มะลาอิกะห์) กลัวว่าอาดัมจะทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนและสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน พระองค์ทรงตอบบรรดามลาอิกะห์ว่า : แท้จริงพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แล้ว และความดีงามต่างๆจะเกิดขึ้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงทราบดีในขณะที่พวกเขาไม่ทราบอะไรเลย

อัลเลาะห์ ตรัสว่า :

          และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสแก่มะลาอิกะห์ว่า แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งในพิภพ มะลาอิกะห์ได้ทูลขึ้นว่า พระองค์จะทรงให้มีขึ้นในพิภพ ซึ่งผู้บ่อนทำลาย และก่อการนองเลือดในพิภพกระนั้นหรือ ทั้งๆที่พวกข้าพระองค์ให้ความบริสุทธิ์ พร้อมด้วยการสรรเสริญพระองค์ และเทิดทูนความบริสุทธิ์ในพระองค์ พระองค์ตรัสว่า แท้จริงข้ารู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้

(อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 30)

          ดังนั้นเมื่อมะลาอิกะห์ได้มาร่วมกับมุอฺมินในเวลาละหมาดทั้งสอง คือฟัจรฺ และอัสริ และเป็นพยานยืนยันถึงการเคารพอิบาดะห์ และการฏออะห์(ภักดี) ที่พวกเขาได้เห็นจากการกระทำของมุอฺมิน

          ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการยอมรับในข้อผิดพลาดเมื่อครั้งก่อน ในวันซึ่งพวกเขากลัวว่า อาดัมและลูกหลานจะมาสร้างความเสื่อมเสียบนผืนแผ่นดิน แต่ปัจจุบันนี้และทุกๆวันจะกลับขึ้นไปหาอัลเลาะห์ และรายงานสภาพของมุอฺมิน และจะเป็นพยานยืนยันในการเคารพภักดีของพวกเขา โดยกล่าวว่า :

          “เราละทิ้งพวกเขามาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาด และเราได้ไปหาพวกเขาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาด”

          และการเลือกเวลาฟัจริ และอัสริ เป็นเวลาผลัดเปลี่ยนเวรของมะลาอิกะห์ ยังเป็นการย้ำให้เห็นถึงความประเสริฐของสองเวลานี้ รวมถึงความประเสริฐของผู้ที่ละหมาดทั้งสองเวลานี้อย่างตรงเวลา อัลเลาะห์ ยังทรงเน้นย้ำถึงการรักษาละหมาดทั้งสองเวลานี้ โดยที่พระองค์ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเวลาใดแน่นอนชัดเจน

ดังที่พระองค์ตรัสว่า

          ท่านทั้งหลายจงรักษาการละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง และจงยืนละหมาดเพื่ออัลเลาะห์โดยนอบน้อม

(อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 238)

          และสำหรับสาเหตุหรือฮิกมะห์ในการที่อัลเลาะห์ ทรงตรัสเกี่ยวกับละหมาดสองเวลานี้อย่างกว้างๆ โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นเวลาฟัจริ และอัสริ เพื่อเราจะได้ทุ่มเทอุตสาหะในการรักษาละหมาดสองเวลานี้ โดยหวังว่าคงได้รับการตอบรับจากอัลเลาะห์ ไม่เวลาหนึ่งก็เวลาใดจากสองเวลานี้

         แท้จริงการละหมาดเป็นสื่อกลางระหว่างบ่าวกับพระผู้ทรงสร้างเขาเป็นเสมือนการขอบคุณต่อความโปรดปรานและเนี๊ยะมะห์ต่างๆของพระองค์

          การละหมาดนั้นเป็นการอภัยโทษ เป็นการปกปิดข้อตำหนิต่างๆ เป็นการชำระล้างความผิดเล็กๆน้อยๆ ทำให้สะอาดทั้งภายในและภายนอก ละหมาดจะมาปิดกั้นผู้ที่ทำละหมาดจากสิ่งน่ารังเกียจและสิ่งไม่ดีงามต่างๆ ผู้ที่ดำรงรักษาละหมาดเพื่ออัลเลาะห์ อย่างบริสทธิ์ใจนั้น พระองค์จะทรงยกสถานะของเขา และจะชื่นชมเขาต่อหน้าปวงบ่าว และเหล่ามะลาอิกะห์ของพระองค์ ซึ่งพวกเขาจะเป็นพยานยืนยันถึงความรักความพอใจของอัลเลาะห์ ที่มีต่อผู้ดำรงรักษาละหมาด

          ท่านอุ๊กบะห์ บิน อามิร กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูล กล่าวว่า :

          พระเจ้าของท่านนั้นพึงพอใจคนเลี้ยงแกะที่เขาเลี้ยงแกะอยู่บนยอดเขา เขาอะซานและละหมาด เขาเกรงกลัวฉัน ดังนั้นฉันได้อภัยโทษให้แก่บ่าวผู้นี้ของฉัน และได้ให้เขาเข้าสวรรค์
(บันทึกโดยอิมาม อบูดาวู๊ด และอันนะซาอีย์)

          และเมื่อท่านรอซูลมีความกลัดกลุ้มใจ ท่านจะเข้าสู่การละหมาด ดังมีรายงานจากท่าน ฮุซัยฟะห์ ว่า :

          ท่านนบีนั้น เมื่อมีเรื่องทำให้ท่านไม่สบายใจท่านจะละหมาด
(บันทึกโดยอบูดาวูด)

           เมื่อมุอฺมินรักอัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์อย่างจริงใจ และมีความหวังว่าจะได้อยู่กับท่านนบี ในสวรรค ก็ไม่มีหนทางใดที่จะทำให้เขาสมหวังนอกจากการรักษาการละหมาด สุญูดต่ออัลเลาะห์(ซ.บ.)ให้มากๆ

          ท่านรอบีอะห์ บิน กะอฺบ์ อัลอัสละมีย์ กล่าวว่า : ฉันเคยอยู่กับท่านรอซูล คอยเอาน้ำละหมาดมาให้ท่าน และทำธุระให้ท่าน ท่านรอซูล จึงกล่าวกับฉันว่า :
          จงขอฉันซิ
ฉันกล่าวว่า :
          ขอให้ฉันได้อยู่กับท่านในสวรรค์
ท่านนบีกล่าวว่า :
          จะขออย่างอื่นอีกไหม?
ฉันกล่าวว่า :
          มีเพียงเท่านี้ครับ
ท่านนบี กล่าวว่า :
          ดังนั้น ท่านจงช่วยฉัน(ให้บรรลุตามที่ต้องการ) โดยการสุญูดให้มากๆ
(บันทึกโดยอิมามมุสลิม และอบูดาวูด)

          จึงสมควรและจำเป็นที่เราจะต้องรักษาการละหมาด ละหมาดให้ตรงตามเวลา และสั่งสอนครอบครัว และลูกหลานของเราให้รักษาการละหมาด เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้เราได้รับความปลอดภัย และทำให้พวกเขาพ้นจากการลงโทษจากอัลเลาะห์ และเป็นการตอบรับคำสั่งของพระองค์ที่ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า :

          และจงใช้ครอบครัวของเจ้าให้ทำการละหมาด และจงอดทนในการปฏิบัติ เรามิได้ขอเครื่องยังชีพจากเจ้า เราต่างหากเป็นผู้ให้เครื่องยังชีพแก่เจ้าและบั้นปลายนั้นสำหรับผู้ที่มีความยำเกรง

(ตอฮา 20 : 132)

          ท่านรอซูล กำชับหนักหนาให้สอนลูกหลานทำละหมาด และให้ลงโทษพวกเขาหากพวกเขาไม่กระทำ ดังฮะดีษที่ว่า :

          จงให้บุตรหลานของพวกท่านทำละหมาดตั้งแต่มีอายุ 7 ปี และจงตีพวกเขาหากพวกเขาไม่ทำละหมาด เมื่อมีอายุ 10 ปี และจงแยกที่นอนระหว่างพวกเขา(ลูกชายและลูกสาว)
(บันทึกโดยอิมามอบูดาวู๊ด)

          ขออัลเลาะห์ทรงให้เรานั้นเป็นผู้ที่รักษาการละหมาด และปฏิบัติละหมาดตรงตามเวลา และขอให้พระองค์ได้ทรงทำให้การละหมาดเป็นรัศมีแก่เราในชีวิตแห่งดุนยานี้ และขอให้พระองค์ทรงอภัยโทษให้ในความผิดต่างๆของเรา และขอพระองค์ได้ทรงให้เราเป็นบรรดาผู้ที่ได้ยินคำพูดที่ดีงามแล้วปฏิบัติตามคำพูดนั้น อามีน

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษ

1. การละหมาดนั้นเป็นอิบาดะห์ที่สูงส่งที่สุด เพราะคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างอัลเลาะห์ กับมะลาอิกะห์นั้นเกี่ยวกับการละหมาด
2. ฮะดีษนี้ใช้ให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาดฟัจริ และอัสริ เพราะมะลาอิกะห์จะมาผลัดเปลี่ยนกันในสองเวลานี้ ซึ่งต่างจากละหมาดเวลาอื่นๆ
3. ฮะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชาติของท่านนบีนั้น ประเสริฐกว่าประชาชาติอื่นๆ

 


เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์