บิล้าล บินรอบาฮ์ (มุอัซซิน)
โดย อ.อับดุลฮามี๊ด บรอฮีมี
ชีวิตของท่าน
ท่านบิล้าล บินรอบาฮ์ เกิดที่นครมักกะฮ์ ก่อนการฮิจเราะฮ์ราว 43 ปี ท่านใช้ชีวิตเติบโตขึ้นที่นครมักกะฮ์ เป็นทาสของพวกบนีอับดุดดาร ภายใต้การดูแลของอุมัยยะฮ์ บินคอลัฟ
ครั้นเมื่อ ท่านเราะซูลมุฮัมมัด ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ อัลลอฮ์ ให้ทำหน้าที่นำอิสลามมาเผยแพร่นั้น ท่านบิล้าล เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้ารับอิสลามกลุ่มแรก ขณะที่เข้ารับอิสลามนั้นมีผู้เข้ารับอิสลามเพียงน้อยนิด ซึ่งมีท่านหญิงคอดีญะฮ์ บินติคุวัยลิด ท่านอบูบักร์ อัซซิดดี๊ก ท่านอาลีอิบนุ อาบีฎอลิบ ท่านอัมมาร บินยาซิร และแม่ของท่านคือ นางสุมัยยะฮ์ ท่านซุฮัยบ์ อัรรูมิย์ และนอัลมิกด๊าด บินอัลอัซวัซ
ความอดทนต่อการถูกทำร้าย ทรมาน
ท่านบิล้าล ได้รับการถูกทรมาน ถูกทารุณกรรม และได้รับกาลงโทษอย่างแสนสาหัส ชนิดที่ว่า ไม่มีใครเคยได้รับการทำร้าย จากพวกมุชริกีนเช่นนี้มาก่อน เพราะผู้ที่เข้ารับอิสลามในขณะนั้น ส่วนใหญ่มีญาติมิตร คอยให้การปกป้องคุ้มครอง นอกจากท่านบิล้าล ท่านอัมมาร บินยาซิร กับพ่อและแม่ของท่าน และท่านซุฮัยบ์ ที่ไม่มีใครให้การปกป้องคุ้มครอง พวกกุเรชจึงได้ทรมานพวกเขาอย่างแสนสาหัส เพื่อเป็นการแสดงตัวอย่างให้ได้เห็น (เชือดไก่ให้ลิงดู)
ครั้งหนึ่ง อุมัยยะฮ์ บินคอลัฟ กับพวกมุชริกีนกลุ่มหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเที่ยตรง เป็นเวลาที่เม็ดทรายในมักกะฮ์ร้อนเป็นไฟ พวกเขาถอดเสื้อผ้าของบิล้าล แล้วนำเกราะเหล็กมาสวมใส่ และให้เปลวแดดที่ร้อนระอุ และเม็ดทรายที่ร้อนดังถ่านไฟ แผดเผาท่านบิล้าล จากนั้นก็เฆี่ยนด้วยแซ่ พร้อมกับบังคับให้ด่าทอท่านนะบีมุฮัมมัด ไปด้วย แต่ท่านบิล้าล มิได้ปริปากพูดคำใดออกมา นอกจากคำว่า "อาฮาดุลอาฮัด" พระองค์คนเดียว (เป็นคำพูดที่ยืนยันถึงเอกภาพของอัลลอฮ์) ทั้งที่ท่านได้รับการทรมานอย่างสาหัสเช่นนี้ จนในท่สุด อุมัยยะฮ์ เกิดความระอาที่จะทรมาน จึงได้เอาเชือกมาผูกคอ และให้พวกเด็กๆ และบรรดาไพร่ ลากจูงตระเวนไปตามที่ต่างๆ ของมักกะฮ์
ต่อมาท่านอบูบักร อัซซิดดี๊ก ได้ปลดป่อยบิล้าให้เป็นไท (อิสระ) โดยท่านอบูบักร์ จ่ายทองคำหนักถึง 9 เอาซน์ (1 เอาซน์ เท่ากับ 1/16 ปอนด์) ให้กับอุมมัยยะฮ์ บินคอลัฟ เพื่อซื้อตัวท่านบิล้าล ซึ่งอุมัยยะฮ์ ได้โก่งราคาให้สูงขึ้น โดยคิดว่าท่านอบูบักร คงไม่กล้าซื้อ
ทั้งที่ในใจของอุมัยยะฮ์ คิดว่า "อย่าว่าแต่ 9 เอาซน์ เลย แม้ให้ราคาสักหนึ่งเอาซน์ ก็จะขายท่านบิล้าล"
และส่วนท่านอบูบักร์ ได้คิดในใจเช่นกันว่า "อย่าว่าแต่ 9 เอาซน์ เลย หากโก่งราคาขึ้นไปถึง 100 เอาซน์ ฉันก็จะซื้อ"
ท่านบิล้าลดีใจเป็นที่สุด กับชีวิตใหม่ ที่เป็นอิสระ ที่ท่านไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อนเลย ท่านบิล้าลจึงอพพไปยังนครมะดีนะฮ์ กับผู้อพยพทั้งหลาย
ท่านบิล้าลได้ทำหน้าที่เป็น มุอัซซิน (อาซาน) ของท่านเราะซูล จวบจนท่านเราะซูล ถึงแก่กรรม เมื่อท่านเราะซูล จากไป ท่านบิล้าล ยังคงทำหน้าที่อาซาน เมื่อถึงคำอาซานที่ว่า "อัชฮาดุอันนามุฮัมมะดัรรอซูลุลลอฮ์" ท่านได้ร้องไห้โฮ ออกมาโดยมิอาจกลั้นไว้ได้ ท่านจึงขออนุญาตต่อท่านอบูบักร์ ยุติการทำหน้าที่อาซาน เพราะท่านมิอาจข่มความรู้สึกของท่านได้ หลังจากที่ท่านเราะซูล ได้ล่วงลับไป
ต่อมาท่านได้เดินทางไปพร้อมกับ ผู้แทนกลุ่มแรก ของบรรดามุสลิม และพำนักอยู่ที่ ดารอยา ใกล้กับเมือง ดามัสกัส จนกระทั่งท่าน อุมัร อิบนุคอฎฎอบ ได้เดินทางไปที่ดามัสกัส ท่านอุมัร จึงมีคำสั่งให้ท่านบิล้าล ทำหน้าที่อาซานอีกครั้ง ซึ่งท่านอุมัร รักและเทิดทูนท่านบิล้าลมาก ท่านอุมัรจะกล่าวเสมอว่า "แท้จริงท่านอบูบักร์ นายของเรา เป็นผู้ปลดปล่อยนาย(บิล้าล)ของเรา ให้เป็นไท (อิสระ)"
เมื่อเสียงอาซาน ของท่านบิล้าล ได้ถูกเปล่งขึ้นอีกครั้ง ท่านอุมัร ตลอดจนบรรดาซอฮาบะฮ์ ที่อยู่ที่นั่น ถึงกลับร้องไห้ออกมา เพราะพวกเขาเคยได้ยินเสียงนี้ ในสมัยท่านเราะซูล ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทำให้กระตุ้นความรู้สึก และความอาวรณ์ที่มีต่อท่านเราะซูล จึงทำให้พวกเขาทั้งหมดร้องไห้ออกมา
วาระสุดท้าย
ก่อนที่ท่านบิล้าล จะเสียชีวิตลง ท่านพร่ำกล่าวแต่คำว่า
"พรุ่งนี้ เราจะได้พบกับผู้ที่เป็นที่รักยิ่ง ... มุฮัมมัด และบรรดาเหล่าศอฮาบะฮ์ ของท่าน"
ขออัลลอฮ์ ทรงโปรดตอบแทนคุณงาม ความดี ของท่านบิล้าล ที่มีต่ออิสลาม ด้วยเถิด