สาเหตุที่ไม่กินหมู ตอน คุณค่าทางอาหาร
โดย อ.สง่า วิไลวรรณ
ขึ้นชื่อว่า อาหารแล้ว ไม่เพียงแต่จะให้ความเอร็ดอร่อยในรสชาติจากากรสัมผัสของลิ้น ความอิ่มทางกระเพราะ ตลอดจนทดแทน-ชดเชยเลือดเนื้อ ส่วนที่เป็นพลังงานออกไปเท่านั้น แต่อาหารที่ดีย่อมต้องมีคุณค่าในการเสริมร่างกายให้เจริญเติบโต-ไม่เป็นพิษเป็นภัย ต่อองคาพยพทุกส่วน ไม่ว่าระบบใด แม้แต่ในด้านอารมณ์และจิตใจอีกด้วย ยังไม่เท่านั้น ยังต้องเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ประการสำคัญที่สุดก็คือ ต้องเป็นอาหารที่ได้มาด้วยความบริสุทธ์ ยุติธรรม อันหมายถึงสิ่งทีได้มา ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง หรือไม่ก็ซื้อหามาอย่างถูกธรรมนองครองธรรม หรืออาจจะรับมอบมาจากผู้อื่นที่เขาเต็มใจให้เรา
ในระบอบศาสนาอิสลาม ได้มีบัญญัติในคัมภีร์อัล-กุรอานสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ ดังปรากฏจากบทที่ 2 (สูเราะฮฺ อัล-บาเกาะเราะฮฺ) บัญญัติที่ 168 และ 172
"มนุษย์เอ๋ย ! จงบริโภคสิ่งซึ่งได้อนุมัติ (จากบัญชาแห่งอัลลอฮฺ) ที่ดี (คือได้มาโดยถูกต้อง-ชอบธรรม และมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย) อันได้จากหน้าแผ่นดิน และ จงอย่าปฏิบัติตาม รอยเท้าของชัยฏอน(ซาตาน) แท้จริง-มันเป็นศัตรูโดยเปิดเผยของเจ้า"
"โอ้มวลชนผู้ศรัทธา ! จงบริโภค จากสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เรา(อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า)ได้ประทานเป็นเครื่องยังชีพแก่เจ้า(ซึ่งจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ) และขอบพระคุณต่ออัลลอฮ์ หากว่าพระองค์เท่านั้น เป็นที่เจ้าเคารพภักดี"
จะเห็นได้จากนัยของ 2 บัญญัตินี้ว่า คุณค่าทางอาหารในทัศนะของอิสลามนั้น ต้องเป็น"อาหารที่ดี" ความดีของอาหารนั้น อยู่ที่การอนุมัติของพระผู้อภิบาล เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นของแน่ว่า ในกรณีอาหารนั้นเป็นสิ่งโอชารส ราคาแพงคุณภาพสูงส่งสักปานใด วิเศษสักแค่ไหน หากไม่เป็นที่อนุมัติจากพระองค์ ย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม เช่นอาหารที่ได้มาในทางทุจริตเป็นต้น เพราะประการต่อมาของโองการที่หยิบยกอัญเชิญมานี้ มุ่งประเด็นที่อยู่ในความหมายของ "อาหารที่ดี" อันหมายถึงดีในทุกสถานภาพรวมทั้งสะอาดปราศจากพิษภัยทั้งร่างกายและอารมณ์จิตใจ เมื่อปรุงแล้วก่อความปราโมทย์แก่ผู้บริโภค โดยไม่มีการตะขิต-ตะขวงแต่ประการใด ในการใช้เป็นอาหารยังชีพ ผลที่ติดตามมาจากการปฏิบัติตามบัญญัตินี้คือ เราจะได้อาหารที่เป็นเรื่องง่ายในระบบการย่อย และ มีคุณประโยชน์ในการบำรุงอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องหมายบ่งชัดประการหนึ่งว่าเราควรเคารพภักดี ต่อพระผู้เป็นเจ้า เพียงองค์เดียวอย่างแท้จริง แต่หากเราไม่นำพาในพระบัญชาของพระองค์ ก็เท่ากับเราได้ดำเนินตามรอยมารร้าย ซึ่งเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์ และ ตั้งตนเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยของเรา อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไม่ใช่การเป็นใจกับศัตรู เราก็ต้องตกอยู่ในฐานะผู้ทรยศเช่นเดียวกับมันด้วย ในเรื่องนี้ พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในบทที่ 5 (สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ) พระบัญญัติที่ 88 อีกว่า :
"และจงบริโภค จากสิ่งที่อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่เจ้า ซึ่งเป็นสิ่งอนุมัติและดี และสำรวมตนต่ออัลลอฮฺพระผู้ ที่เจ้ามีศรัทธา"
ยังไม่เท่านั้นเราได้พบใน บทที่ 23 (สูเราะฮฺ อัล-มุอ์มินูน) บัญญัติที่ 51 อีก เป็นการกำชับให้สังวรว่า พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งประการที่เราประพฤติ
"เราะสูล (ศาสนฑูต) ทั้งปวงเอ๋ย! จงบริโภคจากสิ่งที่ดี (ทั้งหลาย-ทั้งปวง)และจงประกอบการดี แท้จริง! ฉัน(อัลลอฮฺ) ฉันรอบรู้ยิ่งในกิจกรรมของเจ้า "
นอกจากนั้นแล้ว อาหารที่ดีตามนัยของอิสลาม ยังได้เน้นหนักในเรื่องวิธีการนำมาปรุงเป็นอาหารอีกด้วย หากไม่ถูกตามแนวทาง ก็จะกลายเป็นอาหารต้องห้าม ตามที่ปรากฏในพระดำรัส ของพระผู้อภิบาล ในคัมภีร์อัล-กุรอาน อันเป็นคัมภีร์สูงสุดของมนุษย์ชาติ และ เป็นคัมภีร์เพียงเล่มเดียวของอิสลาม ในบทที่6 (สูเราะฮิ อัล-อันอาม) บัญญัติที่ 121 ว่า...
"และจงอย่าบริโภคสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺมิได้ระบุ (กล่าว) บนมัน และแท้จริง-นั้นเป็นการฝ่าฝืนอย่างแจ้งชัด... "
ความจากบัญญัตินี้ พี่น้องร่วมชาติที่ต่างสรณะ อาจไม่เข้าใจ ขอชี้แจงว่า ในการฆ่าสัตว์เพื่อนำมาประกอบอาหารนั้น อิสลามใช้ให้มุสลิม ฆ่าด้วยวิธีเชือดที่คอเพื่อให้หลอดลม และ เส้นโลหิตใหญ่ขาด ด้วยอาวุธมีดที่มีความคมจัด ทั้งนี้เพื่อให้สัตว์นั้นตายโดยปราศจากการทรมาน ในขณะจะลงมือเชือดนี้แหละ มุสลิมจะต้องกล่าวนานของพระผู้อภิบาลเป็นการแสดงถึงความกตัญญู-รู้คุณ ในการมอบหมายเครื่องยังชีพต่อเขา และเพื่อเป็นการสำเนียกถึงความเกรียงไกรของพระองค์ ในการให้และเรียกชีวิตคืนด้วย ในการนี้มีคำกล่าว 2 อย่างคือ
บิสมิลลาฮฺ : ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ "กับ "บิสมิลลาฮฺ อัลลอฮฺอักบัร : ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกร ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตามถนัด ผู้เชือดนั้นไม่จำกัดว่า จะต้องเป็นชายเท่านั้น เพราะได้พบหลักฐานจากบันทึกของท่าน อิม่ามอัล-บุคอรี ว่า แม้แต่หญิงก็เชือดได้ ขอให้เป็นมุสลิมคือนับถือศาสนาอิสลามก็แล้วกัน
อนึ่ง-สำหรับสัตว์ที่ต้องการเชือด ด้วยการระบุพระนามอันเกรียงไกรและพิศุทธ์ ได้แก่สัตว์บกซึ่งเป็นเลือดอุ่น มี เป็ด ไก่ วัว ควายแพะ แกะ และนก เป็นอาทิ ส่วนสัตว์น้ำ อันได้แก่จำพวกปลา ส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลือดเย็น ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเช่นสัตว์บก มีข้ออนุมัติให้บริโภคได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับสัตว์บริโภคอีกมากมาย ซึ่งจะหารายละเอียดได้จากบทความทางวิทยาการเรื่อง สัตว์ที่หะลาล (อนุมัติ) และหะรอม (ต้องห้าม) ในการบริโภคตามบัญญัติอิสลามโดย หัมซะฮฺ วิไลวรรณ
จะเห็นได้ว่า คุณค่าทางอาหาร อันหมายถึงต้องเป็นอาหารที่ดี-มีคุณประโยชน์ อันอยู่ภายใต้ความหมายอันยิ่งใหญ่ของการเป็นอาหารที่ได้รับการอนุมัติจากพระผู้อภิบาลนั้น กินใจความกว้างขวาง และ มุ่งประเด็น ไปสู่ความสูง-ความดีงามตลอดเวลา แม้กระทั่งการกินอยู่ที่ฟุ่มเฟือย-สุรุ่ยสุร่าย ก็ถูกนับเนื่องว่า เป็นสิ่งไม่ต้องกับคติธรรมของอิสลาม ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอัล-กุรอาน บทที่ 7(สูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ) พระบัญญัติ (อายะฮฺ) ที่ 31 ว่า...
"ลูกๆอาดัม(มนุษย์ชาติ)เอย!จงตบแต่งการแต่งกายของเจ้าให้เรียบร้อย (เครื่องนุ่งห่มและร่างกายสะอาดมรรยาทดี)ทุกเวลานมาซ(กราบภักดีพระผู้เป็นเจ้า) และจงกินและดื่ม(อัลลอฮฺ)ไม่ทรงโปรดปรานผู้สุรุ่ยสุร่าย "
ทีนี้เรามาพิจารณากันดูว่า หมูหรือสุกรที่เมื่อไม่นานนี้ ชาวไทยเรารู้จักกันดีในความเข้าใจของผู้ใหญ่ลี ว่า หมาน้อยธรรมดา นั้นมีคุณค่าทางอาหารมากมายทีเดียว จึงมีในจิตสำนึกของคนส่วนหนึ่งว่าเป็นอาหารที่วิเศษ
1.คุณประโยชน์ในทางเสริมสร้าง
ขอให้พิจารณากันถึงแง่นี้ด้วยใจเป็นธรรม และ มีสติสักหน่อยเถิด เพราะปกติวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไปนั้น มักเลือกสรรสิ่งซึ่งดีกว่า เหนือกว่า สวยกว่า ก่อนอื่น ธรรมชาติเช่นนี้ถ้าไม่เลยเถิดหรือเกินควร ก็ไม่เรียกว่า เห็นแก่ตัวหรือรู้มาก หากแต่เป็นวิสัยของคนฉลาดซึ่งรู้จักเลือก หรือรู้จักคุณค่าของสรรพสิ่งเท่านั้น ส่วนประกอบอันมีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกายของอาหารเนื้อที่เราใช้เป็นอาหารประจำวันนั้นได้บอกอะไรแก่เราบ้าง และเนื้อหมูมีคุณค่าอยู่ในอันดับใดเมื่อนำมาเทียบกับเนื้ออื่นๆในขนาดเดียวกัน
รายการเนื้อ เปอร์เซ็นต์โปรตีน
1. ไก่อ่อน 20.2
2. ควาย(กระบือ) 19.6
3. วัว(โค) 19.6
4. ไก่แก่ 18.0
5. ปลาช่อน 18.0
6. ปลาหมึก 16.4
7. ไก่กลาง 16.0
8. หมูเนื้อแดง 14.0
9. หมูติดมัน 11.0
ในเมื่อเนื้อหมูมีเปอร์เซ็นต์โปรตีน ซึ่งมีคุณค่าอาหารต่ำสุด แต่มีโรคร้ายมากที่สุด เหมือนจะเป็นสิ่งชดเชย เช่นเดียวกัน ก็ย่อมไม่เป็นการฉลาดอะไรเลย ที่ไขว่ขว้าหามันมาบริโภค ในขณะที่เนื้อสัตว์ชนิดอื่น ที่มากด้วยคุณประโยชน์สูงกว่า-เหนือกว่า-ดีกว่า และแม้ที่สุดซื้อหาได้ง่ายกว่า ในสนนราคาที่ต่ำสุดก็คือ ความอิ่มท้องที่ต้องรองรับอันตรายจากโรคร้ายทุกขณะจิตในการบริโภคหมูนั้น ไม่คุ้มค่ากับการที่จะเสี่ยงแม้แต่น้อย
นอกจากโปรตีนแล้ว หมูก็ไม่มีส่วนประกอบที่มีประโยชน์เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่นเลย ยกเว้น ไขมัน ซึ่งมนุษย์ก็ไม่ต้องการกรดไขมันที่อิ่มตัว จากอาหารประเภทสัตว์มากมาย จนเกินความต้องการ เพราะความต้องการของร่างกายด้านไขมันนั้น ต้องการกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว จากที่อื่นมากกว่า เช่น ในน้ำมันพืช โดยทั่วไปเป็นต้น ขณะเดียวกันหมูก็มีไขมัน ซึ่งผลิตกรดไขมันประเภทอิ่มตัวให้เราอย่างล้นเหลือ ดังนั้นเมื่อบริโภคหมูมากหรือบ่อยครั้งเท่าใด ร่างกายก็จะสะสมไขมัน ที่สร้างกรดไขมันชนิดอิ่มตัวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งถ้าปริมาณของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวมีไม่เพียงพอกันแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดโรคหลอดโลหิตแข็งตัวและโรคระบบการทำงานของหัวใจได้คุณค่าทางอาหารด้านนี้ของหมู จึงนับได้ว่าเลวร้ายเอามากๆ
2.คุณค่าในทางปราศจากพิษภัย
ในด้านนี้ไม่ต้องกล่าวอะไรมากมายนัก เพราะได้กล่าวมามากแล้วว่า หมูเป็นศูนย์รวมของสรรพโรคอย่างเอกอนันต์ทีเดียว มากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ ของเนื้อหมูสามารถซ้อนพยาธิตัวจิ๊ดชนิดมีเกราะหุ้มได้อย่างดีที่สุด และเป็นเนื้อที่ทำให้ระบบการย่อยยุ่งยากที่สุดเหมือนกัน เพราะการย่อยยากของมันนั้นเอง แพทย์จึงไม่ยอมให้คนเจ็บมาบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหมู
อาจสรุปได้ว่า ในด้านคุณค่าทางอาหารของหมูนั้น นอกจากจะไม่ดีพอแล้ว ยังไม่ปลอดภัยอีกด้วย เหตุนี้กระมังเรา-จึงได้พบจากการบันทึกปาฐกกถาของ มนัส ศุภกุล ตอนหนึ่งมีใจความว่า...ครั้นมาพิจารณาถึงเนื้อหมู ศาสนิกอื่นๆเขารับประทานกันทั้งนั้น มากบ้าง น้อยบ้าง สุดแต่ความเจริญของประเทศ ในประเทศที่เจริญมากๆเขามีการเลี้ยงวัวนมกัน หมูเป็นเองที่เขารับประทานกันน้อยที่สุด นอกจากแฮมธรรมดาเท่านั้น แต่ในอาหารหนักประจำวันเขาจะไม่ใช้เนื้อหมูเลย ข้าพเจ้าเคยอยู่กับคนอังกฤษหลายปี และไม่เคยปรากฏว่า ให้มีแม่ครัวสั่งซื้อหมูเลย ซื้อแต่เนื้อวัว เนื้อแพะ และแกะ หมูเขารับประทานกัน 4 โมงเย็น เป็นชิ้นแฮมนิดเดียวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า เขารู้แล้วว่า เนื้อหมูนี้ไม่ดี แต่กินนั้นเป็นพวกสมูทแฮม อย่างที่เก็บได้เท่านั้น ผู้ที่รู้จักเลือกของดีกินเสียก่อน เรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด เพราะเราก็ศึกษาได้เลยว่า ของอะไรดี-อะไรไม่ดี
http://sordigeen.com/viewtopic.php?f=22&t=76