ฮิจเราะฮ์กับการรังสรรค์สังคมสันติภาพ
เรียบเรียงโดย อ.มัสลัน มาหะมะ
ฮิจเราะฮ์ตามความหมายด้านภาษาแล้ว หมายถึง การย้ายถิ่นฐาน การอพยพ ฮิจเราะฮ์อาจสื่อความหมายด้านนามธรรม ซึ่งหมายถึง การไม่ให้ความสำคัญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การไม่สนใจหรือการละทิ้งพฤติกรรมที่ไม่ดีสู่พฤติกรรมที่ดี
ส่วนความหมายตามหลักวิชาการคือ การอพยพของนะบีมุฮัมมัด และเหล่าเศาะฮาบะฮ์ (บรรดาสาวก) จากนครมักกะฮ์ สู่นครมะดีนะฮ์ รัฐแห่งแรกในอิสลาม เนื่องจากถูกกดขี่ทรมานและถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพในการประกอบพิธีทางศาสนาไม่สามารถปฏิบัติและแสดงตนตามความเชื่อศรัทธาของตนเอง
มุสลิมสมัยการปกครองของท่านเคาะลีฟะฮ์อุมัร บินค็อฏฏอบ พร้อมใจกันเลือกเหตุการณ์ฮิจเราะฮ์เป็นจุดเริ่มต้นของการนับปฏิทินอิสลาม เพื่อให้มุสลิมได้น้อมรำลึกเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ในการดำเนินชีวิต
การเริ่มต้นฮิจเราะฮ์ของนะบีมุฮัมมัด
หลังจากบรรดามุสลิมีนได้ทยอยอพยพสู่นครมะดีนะฮ์ และไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่ในนครมักกะฮ์เว้นแต่ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกลุ่มผู้ไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยในการเดินทาง นะบีมุฮัมมัด ได้เตรียมการอพยพพร้อมรอรับคำสั่งจากอัลลอฮ์ เพื่อกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการฮิจเราะฮ์ นะบีมุฮัมมัด ได้ให้อบูบักรและอาลีบิน อบูฏอลิบ ชะลอการฮิจเราะฮ์ ทุกครั้งที่อบูบักรขออนุญาตเพื่อฮิจเราะฮ์ นะบีมุฮัมมัด ตอบว่า : ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน บางทีอัลลอฮ์ ได้กำหนดสหายเดินทางสำหรับท่านก็เป็นได้ อบูบักรจึงหวังว่า นะบีมุฮัมมัด จะเลือกเขาเป็นสหายในการเดินทางครั้งนี้ จึงซื้ออูฐไว้ 2 ตัว เพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
อบูบักรได้เตรียมอูฐ 2 ตัวเพื่อเป็นพาหนะการเดินทาง และได้ว่าจ้างผู้นำทางที่มีความเชี่ยวชาญเส้นทางในทะเลทรายชื่อ อับดุลลอฮ์ บิน อุร็อยก็อฏ ซึ่งยังไม่ได้เป็นมุสลิม อับดุลลอฮ์ได้รับมอบอูฐทั้งสองตัวเพื่อให้การดูแลก่อนที่จะไปรับทั้งสองท่านในช่วงเวลาและสถานที่ที่ได้ตกลงกันไว้
ส่วนอาลีบินอบูฏอลิบ นะบีมุฮัมมัด ได้ชะลอการฮิจเราะฮ์ของเขาเพื่อมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่ในวินาทีที่คับขันและเต็มไปด้วยภยันตราย วิกฤตมักสร้างวีรบุรุษ และวีรบุรุษมักฟันฝ่าวิกฤตในฐานะผู้ประสบชัยชนะอยู่เสมอ อบูบักรและอาลีจึงเป็นวีรบุรุษต่างวัยและต่างวุฒิภาวะที่ได้รับมอบหมายจากนะบีมุฮัมมัด ให้ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อเล่าขานในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามอย่างไม่มีวันลืม
อุมมุลมุมินีนอาอิซะฮ์ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่นะบีมุฮัมมัด ฮิจเราะฮ์ว่า : “โดยปกติแล้ว นะบีมุฮัมมัด มักไปเยี่ยมบ้านของอบูบักรในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงพลบค่ำ จนกระทั่งเมื่อวันที่อัลลอฮ์ ทรงอนุญาตให้นะบีมุฮัมมัด ฮิจเราะฮ์ ท่านมาพบพวกเราท่ามกลางเวลาอันร้อนระอุ(ช่วงเวลาหลังเที่ยงวันถึงตอนเย็น)ซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใดออกจากบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวเลย เมื่อเห็นนะบีมุฮัมมัด เข้ามาในบ้านของเรา
อบูบักรจึงกล่าวว่า : ท่านรสูลุลลอฮ์จะไม่มาหาพวกเราในเวลาเช่นนี้เว้นแต่มีเรื่องสำคัญแน่นอน
นางอาอิชะฮ์เล่าว่า : หลังจากนะบีมุฮัมมัด เข้าบ้านแล้ว อบูบักรจึงรีบลุกจากเตียงของท่านเพื่อให้ นะบีมุฮัมมัด นั่งแทน(เพื่อเป็นการให้เกียรติ) และไม่มีผู้คนในบ้านของอบูบักรเว้นแต่ฉันและพี่สาวฉันที่ชื่ออัสมาอ์เท่านั้น ท่านจึงสั่งให้อบูบักรเชิญผู้คนในบ้านออกจากบ้าน
อบูบักรจึงกล่าวว่า : โอ้รสูลุลลอฮ์แท้จริงทั้งสองคนคือบุตรสาวของฉันเอง ท่านมีเรื่องสำคัญประการใดหรือ ?
นะบีมุฮัมมัด ตอบว่า : อัลลอฮ์ ทรงอนุญาตให้ฉันออกจากมักกะฮ์และฮิจเราะฮ์สู่นครมะดีนะฮ์แล้ว
อบูบักรจึงรีบถามว่า : แล้วใครเป็นสหายการเดินทาง
นะบีมุฮัมมัด ตอบว่า : ท่านคือสหายการเดินทางของฉัน
อาอิซะฮ์เล่าต่อว่า ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ฉันไม่เคยพบเห็นบุคคลที่ร้องไห้เนื่องจากความดีใจเสมือนกับที่ฉันเห็นอบูบักรร้องไห้ในวันนั้น
นะบีมุฮัมมัด ได้ตกลงกับอบูบักรเกี่ยวกับแผนการเดินทาง ทั้งสองได้ใช้ถ้ำซูรเป็นที่หลบซ่อนชั่วคราวโดยที่ถ้ำซูรตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมักกะฮ์ ในขณะที่มะดีนะฮ์ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทางตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทั้งนี้เพื่อเป็นกลอุบายที่จะอำพรางการไล่ล่าติดตามของชาวกุร็อยช์ ทั้งสองได้คัดเลือกบุคคลที่คอยสอดแนมข่าวคราวความเคลื่อนไหวของชาวกุร็อยช์ ตลอดจนมอบหมายภารกิจต่างๆที่พึงปฏิบัติช่วงที่ทั้งสองหลบซ่อนในถ้ำ
นะบีมุฮัมมัด กลับบ้านอีกครั้งและมอบหมายให้อลีบินอบูฏอลิบส่งคืนของมีค่าต่างๆที่ชาวมักกะฮ์ฝากไว้ ทั้งนี้ชาวมักกะฮ์มักนำของมีค่าต่างๆมาฝากไว้ที่บ้านของนะบีมุฮัมมัด เนื่องจากไว้วางใจในความซื่อสัตย์ของท่าน บรรดาวัยรุ่นกุร็อยช์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำการฆ่านะบีมุฮัมมัด ได้ล้อมบ้านท่านช่วงเวลากลางคืน นะบีมุฮัมมัด จึงมอบหมายให้อาลีนอน ณ ที่นอนของท่านพร้อมใช้ผ้าห่มคลุมตัวอาลี ทำให้บรรดากุร็อยช์มั่นใจว่านะบีมุฮัมมัด กำลังนอนอยู่ พวกเขาเผลอหลับไปจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ นะบีมุฮัมมัด สามารถออกจากบ้านด้วยความปลอดภัย และไปพบกับอบูบักร ณ สถานที่ที่ได้นัดหมายไว้ ทั้งสองเดินทางหลังเที่ยงคืนสู่เป้าหมายชั่วคราวคือ ถ้ำซูร
ข้างฝ่ายชาวกุร็อยช์ เมื่อแผนการณ์ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้สร้างความโกรธแค้นแก่พวกเขายิ่งนัก เมืองมักกะฮ์จึงเกิดความโกลาหลวุ่นวาย และพวกเขาได้กรูเข้าไปจับท่านอาลีและทรมานด้วยการลากตัวเขาไปยังกะบะฮ์เพื่อบังคับให้อาลีเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อาลีก็ไม่ปริปากแม้คำเดียว พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยัง บ้านอบูบักร และบังคับขู่เข็ญนางอัสมาอ์ บุตรสาวของอบูบักรให้บอกสถานที่หลบซ่อนของทั้งสองท่าน แต่นางอัสมาอ์ก็ไม่ยอมปริปากเช่นเดียวกัน นางจึงถูกตบตีโดยอบูญะฮัล (แกนนำชาวกุร็อยช์)จนกระทั่งตุ้มหูของนางหลุดกระเด็น
ชาวกุร็อยช์จึงประชุมโดยด่วนเพื่อหาทางจับนะบีมุฮัมมัด และอบูบักร พวกเขารีบส่งกองกำลังปิดล้อมเมืองมักกะฮ์และประกาศตั้งรางวัลอูฐจำนวน 100 ตัวสำหรับผู้ที่สามารถจับทั้งสองไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย การไล่ล่าจึงเริ่มขึ้นแทบพลิกแผ่นดินเมืองมักกะฮ์ แต่ก็ไร้เงาของทั้งสองท่าน ทีมไล่ล่าได้เข้าประชิดถ้ำซูร จนกระทั่งอบูบักรมองเห็นเท้าของพวกเขา แต่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ พวกเขาก็ต้องกลับด้วยมือเปล่า ทั้งๆที่เป้าหมายสำคัญอยู่ใกล้แค่เอื้อม
สาเหตุการฮิจเราะฮ์ของนะบีมูฮัมมัด
1. มุสลิมไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวมักกะฮ์อย่างไร้มนุษยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังการเสียชีวิตของอะบูฏอลิบ (อาของนะบีมุฮัมมัด ) และท่านหญิงคอดีญะฮ์(ภรรยาของนะบีมุฮัมมัด ) ซึ่งสมัยที่ท่านทั้งสองมีชีวิตอยู่เปรียบเสมือนเสาหลักที่คอยปกป้องและคุ้มครองนะบีมุฮัมมัด และมุสลิมต้องเผชิญต่ออุปสรรคด้วยความอดทน เสียสละ และได้บทเรียนอันล้ำค่าว่า ภัยคุกคามภายนอกที่เป็นการทรมานร่างกายและจิตใจ สร้างความสูญเสียทางชีวิตและทรัพย์สินไม่สามารถสั่นคลอนความศรัทธาอันมั่นคงและความตั้งใจที่แน่วแน่ของศรัทธาชนแม้แต่น้อย นักประวัติศาสตร์ได้เรียกปีที่ท่านทั้งสองเสียชีวิต(ปีที่ 10 หลังจากการประกาศเป็นศาสนทูต) เป็นปีแห่งความเศร้าโศก
2. ผลพวงแห่งการทำสัตยาบันอัล อะเกาะบะฮ์ครั้งแรกและครั้งที่สองระหว่างนะบีมุฮัมมัด และชาวยัษริบ(ชื่อเดิมของนครมะดีนะฮ์)อันประกอบด้วยผู้แทนเผ่าเอาวซ์และคอซร็อจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาในการให้คำสัตยาบันอัล อะเกาะบะฮ์ครั้งที่สอง ซึ่งทั้งสองเผ่าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคุ้มครองและปกป้อง นะบีมุฮัมมัด เสมือนพวกเขาคุ้มครองและปกป้องภรรยาและลูกหลานของตนเอง
3. แผนการณ์อันชั่วร้ายของชาวกุร็อยช์ที่ได้ลงมติกำจัดนะบีมุฮัมมัด โดยวิธี “ซุ่มแล้วฆ่า” ด้วยการคัดเลือกเยาวชนเป็นผู้แทนจากเผ่าต่างๆ แต่ละคนถือดาบคนละด้าม และร่วมลงมือปฏิบัติการฆ่านะบีมุฮัมมัด โดยพร้อมกัน เพื่อบีบบังคับให้เผ่าบะนีอัลดุมะนาฟ (เผ่าของนะบีมุฮัมมัด ) ยินยอมรับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากไม่สามารถที่จะล้างแค้นและทำสงครามกับเผ่าต่างๆในนครมักกะฮ์ได้
หลังจากการให้คำสัตยาบัน นะบีมุฮัมมัด ได้เห็นอนาคตอันสดใสของสาส์นอิสลามที่นครมะดีนะฮ์ โดยเฉพาะท่าทีของประชาชนชาวมะดีนะฮ์ ที่ตอบรับรุ่งอรุณแห่งอิสลามด้วยความบริสุทธิ์ใจ มะดีนะฮ์ คือ แผ่นดินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเพาะพันธุ์เมล็ดสัจธรรมแห่งอิสลาม อัลลอฮ์ ได้เปิดโปงกลอุบายดังกล่าวแก่นะบีมุฮัมมัด และอนุญาตให้ฮิจเราะฮ์สู่นครมะดีนะฮ์
บนเส้นทางสู่มะดีนะฮ์
หลังจากวันเวลาผ่านไป การไล่ล่าจึงเริ่มผ่อนคลาย อับดุลลอฮ์ บิน อุร็อยก็อฏ ผู้รับหน้าที่เป็นผู้นำทางจึงไปพบทั้งสองท่าน ณ จุดนัดพบ นะบีมุฮัมมัด และอบูบักรเริ่มออกเดินทางโดยมีอามิร บิน ฟุฮ็อยเราะฮ์(ทาสของอบูบักร)เป็นผู้อำนวยความสะดวกและคอยให้บริการ ในขณะที่อับดุลลอฮ์ บิน อุร็อยก็อฏมีหน้าที่เป็นผู้นำทางพวกเขาใช้เส้นทางที่ผู้คนไม่เดินทางผ่าน ตลอดระยะเวลาการเดินทางต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางตลอดเวลา เริ่มด้วยการมุ่งสู่ทางทิศใต้ บางครั้งก็ใช้เส้นทางทิศตะวันตก และเมื่อถึงเส้นทางที่ผู้คนไม่ค่อยเดินผ่าน ก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือตามแนวทะเลแดงสู่ปลายทางมะดีนะฮ์
นะบีมุฮัมมัด ถึงกุบาอ์(ห่างจากมะดีนะฮ์ประมาณ 3 ไมล์)และพำนักอยู่ที่กุบาอ์เป็นเวลา 4 วัน ช่วงเวลาดังกล่าว นะบีมูฮัมมัดได้สร้าง มัสยิดกุบาอ์ ที่ถือเป็นมัสยิดแห่งแรกในอิสลามและเป็นมัสยิดที่มีสร้างบนรากฐานแห่งการตักวา(ความยำเกรงต่ออัลลอฮ์)
ระหว่างการเดินทางจากกุบาอ์ถึงเมืองมะดีนะฮ์ นะบีมุฮัมมัด ได้มีโอกาสละหมาดวันศุกร์ครั้งแรก ณ หมู่บ้านบะนีสาลิม บิน เอาวฟ หลังจากเสร็จสิ้นละหมาดวันศุกร์ นะบีมุฮัมมัด เริ่มเดินทางเข้าสู่มะดีนะฮ์ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่น ระยะเวลาการเดินทางของนบีมูฮัมมัด ที่เริ่มต้นออกจากบ้านที่นครมักกะฮ์ สู่นครมะดีนะฮ์ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 15 วัน นับเป็นการเดินทางที่เป็นจุดพลิกผันของประวัติศาสตร์และยังเป็นการเดินทางที่เปี่ยมด้วยคุณค่า สิริมงคล และการคุ้มครองจากอัลลอฮ์ มนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับเกียรติจากอัลลอฮ์ ให้เป็น นะบี คนสุดท้ายเพื่อเป็นแบบอย่างสำหรับมนุษยชาติในทุกยุคทุกสมัย
บทเรียนจากฮิจเราะฮ์
การฮิจเราะฮ์ของนะบี มีบทเรียนมากมายสรุปได้ดังนี้
1. การฆาตกรรม
มักเป็นมาตรการสุดท้ายของผู้อธรรม หลังจากมาตรการไม้อ่อนและการเย้ายวนในรูปแบบอื่นๆไม่เป็นผลและไม่สามารถยับยั้งความมุ่งมั่นของการเรียกร้องสู่สัจธรรม การอุ้มแล้วฆ่า หรือ ซุ่มแล้วฆ่า ล้วนเป็นวิธีการที่ฝ่ายอธรรมยึดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอยู่เสมอ ซึ่งประวัตินะบียุคก่อนๆก็ไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้ แต่อัลลอฮ์ ทรงกำหนดทุกอย่างตามความประสงค์ของพระองค์
2. ความไว้วางใจ
การที่ชาวมักกะฮ์ได้มอบความไว้วางใจแก่นะบีมุฮัมมัด ด้วยการฝากของมีค่าให้ดูแล และสังคมมักกะฮ์ได้ตั้งฉายานะบีมุฮัมมัด ว่า อัลอะมีน(บุรุษผู้ซื่อสัตย์) เพราะคุณสมบัติสำคัญสำหรับผู้ประกาศสัจธรรม คือ การที่มีใจซื่อมือสะอาด ไม่มีประวัติที่ด่างพร้อย เปี่ยมด้วยคุณธรรมจริยธรรมอันดีงาม เป็นที่รักและไว้วางใจของผู้คน คุณสมบัติเช่นนี้เป็นที่ระแวงของผู้อธรรมยิ่งนัก เพราะความหวาดกลัวของผู้อธรรม คือ การเปิดโปงความจริงและการแพร่ขยายสัจธรรม
คุณสมบัติและพฤติกรรมของนะบีมุฮัมมัด น่าจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับมุสลิมในการใช้ชีวิตร่วมกันท่ามกลางสังคมอันหลากหลายที่สามารถแสดงถึงความดีงาม แปลคำสอนสู่ภาคปฏิบัติที่มนุษย์สามารถสัมผัสถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริงของอิสลาม
นะบีมุฮัมมัด สามารถริบทรัพย์สมบัติดังกล่าว อย่างน้อยเพื่อเป็นเสบียงสำหรับการเดินทาง และเจ้าของทรัพย์สินก็มีเจตนาร้าย ซึ่งท่านสามารถกระทำได้และน่าจะเป็นเหตุผลที่รับได้ แต่นะบีมุฮัมมัด ไม่ทำเช่นนั้น เพราะอิสลามถือว่าการปราบปรามความอยุติธรรมด้วยการสร้างความอยุติธรรมใหม่ทดแทนนั้น ไม่ใช่เป็นแนวทางและคำสอนของอิสลาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในบางครั้ง ศาสนาอิสลามต้องมัวหมองและด่างพร้อยเพราะพฤติกรรมส่วนหนึ่งของมุสลิมด้วยกันเอง
3. ความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์
ช่วงการฮิจเราะฮ์ นับเป็นภาวะคับขันที่สุดในชีวิตนะบีมุฮัมมัด ท่านจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ แต่ท่านเลือกที่จะใช้วิธีปุถุชนธรรมดา เพื่อเป็นบทเรียนให้ทุกคนรู้ว่า เมื่อมนุษย์รู้จักใช้เหตุปัจจัยที่ดี ครบถ้วนและเต็มความสามารถแล้ว เขาย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์
นะบี สามารถขอพรจากอัลลอฮ์ ให้ความช่วยเหลือตามความต้องการของท่าน สามารถวอนขอ บุร็อก (พาหนะที่ท่านเคยขี่ช่วงอิสเราะมิอ์ร็อจ) และสามารถนำพาท่านไปยังที่หมายเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่ นะบีเลือกที่จะประสบความยากลำบาก มีการเตรียมการอย่างรัดกุม วางแผนอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน แม้กระทั่งต้องขอความช่วยเหลือจากชนต่างศาสนิกก็ตาม
สังคมมุสลิมจำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างความปรีชาสามารถของอัลลอฮ์ กับความไม่รับผิดชอบในการแสวงหาความสำเร็จ จนกระทั่งบางครั้งสังคมมุสลิมมักตกในหลุมพรางแห่งความเชื่ออันไร้สาระ หลงเชื่อในอิทธิฤทธิ์อภินิหารอย่างงมงาย โดยที่ไม่ให้ความสำคัญกับการทุ่มเทกำลังและการมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
4. การเลือกเพื่อนเดินทาง
การที่นะบีมุฮัมมัด ฮิจเราะฮ์สู่มะดีนะฮ์ซึ่งมีอบูบักรที่มีบุคลิกที่อ่อนโยนแต่สุขุมลุ่มลึกเป็นสหายเดินทาง โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากแกนนำมุสลิมท่านอื่นๆ ที่มีบุคลิกเข้มแข็งและน่าเกรงขาม นับเป็นการตัดสินใจอันเฉลียวฉลาดของนะบีมุฮัมมัด ที่ยึดหลักการแก้ปัญหาแนวสันติวิธี ถือเป็นเกียรติประวัติและความประเสริฐของอะบูบักรและครอบครัวของท่านในการมีส่วนร่วมปกป้องและอุปถัมภ์ศาสนานี้ในห้วงเวลาแห่งวิกฤตที่ไม่มีผู้ใดหรือครอบครัวใดที่ได้รับเกียรติ เช่นนี้อีกแล้ว
5. การแก้ไขความขัดแย้งนะบีมุฮัมมัด สามารถจุดเชื้อเพลิงด้านเผ่าพันธุ์เพื่อปลุกกระแสความรุนแรงให้เกิดสงครามกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะหลังจากที่แกนนำกุร็อยช์ และผู้กว้างขวางส่วนหนึ่งในเมืองมักกะฮ์ได้ทยอยเข้ารับอิสลาม ในขณะที่ผู้เสียเปรียบในสังคมต่างรอคอยผู้ปลดปล่อยโซ่ตรวนแห่งความอยุติธรรมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถจุดประกายความขัดแย้งที่มีพลังที่สุด แต่ท่านไม่เคยใช้เงื่อนไขด้านเผ่าพันธุ์เป็นข้ออ้างสำหรับการปลุกกระแสความขัดแย้งในสังคม เพราะสงครามที่เกิดขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งด้านเผ่าพันธุ์ไม่อยู่ในสารระบบของอิสลาม
นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวไว้ความว่า :“ ผู้ที่เรียกร้องบนฐานแนวคิดการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ ผู้ที่ทำสงครามบนฐานแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์
และผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากการต่อสู้ในการปกป้องและพิทักษ์รักษาแนวคิดการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ เขาเหล่านั้นไม่ใช่เป็นประชาชาติของฉัน ”
6. ความแตกต่างของเยาวชน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่เยาวชนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นปกป้องอิสลาม ดังภารกิจที่ปฏิบัติโดย อับดุลลอฮ์บุตรอะบูบักร อาอิซะฮ์และอัสมาอ์ โดยเฉพาะท่านอาลี บินอะบูฏอลิบที่ถือเป็นสุดยอดของการอุทิศตนนั้น ในอีกฉากหนึ่งของสังคมมีเยาวชนอีกกลุ่มที่ถูกยั่วยุและล้างสมองจากกลุ่มมิจฉาชนให้ปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญด้วยการรวมพลังฆ่านะบีมุฮัมมัด
พลังเยาวชนเปรียบเสมือนสายน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก เพียงแต่ต้องการคนชี้นำที่เปิดทางให้ไปในทิศทางที่สมควร หากถูกต้องจะยังประโยชน์อันมหาศาล แต่หากถูกปล่อยไปตามกระแสแล้ว พลังแห่งสายน้ำเหล่านั้น ไม่เป็นเพียงต้นเหตุแห่งความปั่นป่วน โกลาหล และความสูญเสียเท่านั้น แต่จะเป็นสัญญาณแห่งความเศร้าสลดเลยทีเดียว
7. ความปรีชาสามารถของอัลลอฮ์การที่มีใยแมงมุมและเหล่านกเข้ามาทำรังที่ปากถ้ำ ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของนะบีและอบูบักร์ จนทำให้ชาวกุร็อยช์ตายใจและไม่คาดคิดว่าจะมีคนย่างกรายเข้าไปในถ้ำนั้น เป็นบทเรียนอันล้ำค่าแก่เราว่า ความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ ที่มีต่อผู้ให้ความช่วยเหลือศาสนาของพระองค์นั้นมากมายเหลือคณานับ ด้วยความปรีชาสามารถของอัลลอฮ์ พระองค์สามารถเกณฑ์เหล่าทหารของพระองค์ให้ทำหน้าที่ปกป้องผู้ทำงานเพื่ออิสลามจากภยันตรายต่างๆ ถึงแม้มนุษย์ทั้งผองจะปฏิเสธและไม่ยอมให้ความช่วยเหลือก็ตาม เพราะ อัลลอฮ์ ทรงมีเหล่าทหารหาญทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดินที่พร้อมปกป้องผู้ที่ปกป้องอิสลาม ใครเคยนึกบ้างไหมว่าเส้นใยแมงมุมและรังนกที่เปราะบางที่ใครๆสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งยิ่งกว่ากองทัพที่สร้างความปลอดภัยแก่นะบีและสหายรักของท่าน
บทสรุป
เป็นการดียิ่ง หากเราทำความเข้าใจหะดีษบทหนึ่งความว่า
“ผู้ที่ฮิจเราะฮ์(อพยพ)ที่แท้จริงคือผู้ที่อพยพ(ละทิ้ง)สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้าม”
นับเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หากสังคมมุสลิมตื่นตัวเพียงแค่การศึกษาประวัติฮิจเราะฮ์ ตลอดจนต้อนรับฮิจเราะฮ์เป็นเทศกาลประจำปีอย่างเอิกเริก แต่แนวคิดจุดยืน พฤติกรรม การปฏิบัติ รวมถึงการแสดงออกของสังคมมุสลิมยังสวนทางกับบทบัญญัติทางศาสนาและเจตนารมณ์ของฮิจเราะฮ์อันแท้จริง