สิทธิมนุษยชนในอิสลามยุคปัจจุบัน
  จำนวนคนเข้าชม  6449

สิทธิมนุษยชนในอิสลามยุคปัจจุบัน


           ภายหลังจากกลุ่มประเทศอาหรับและประเทศมุสลิมได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกขององค์การสหประชาชาติและได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาฉบับต่างๆและมีการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้มีข้อเรียกร้องให้กลุ่มประเทศมุสลิมร่างปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและได้มีการศึกษาถึงหลักการ แนวคิด ตลอดจนแนวทางในการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนในอิสลามอย่างกว้างขวาง

          จนกระทั่งที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศขององค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ในคราวประชุมครั้งที่ 19 เมื่อปี ค.ศ. 1989 ได้มีมติเห็นชอบปฏิญญาอิสลามว่าด้วยสิทธิมนุษยชนประกอบด้วย 25 มาตรา ซึ่งแม้จะมีการประกาศที่ล่าช้ากว่าปฏิญญาสากลถึง 41 ปี แต่ปฏิญญาอิสลามว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนั้น ถือเป็นการประยุกต์ใช้หลักการของบทบัญญัติอิสลามเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผลพวงหรือได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์ใดเหมือนคำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น หลังจากประชาคมโลกได้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากสงครามโลกครั้งที่ 2


สรุปปฏิญญาอิสลามว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

 ปฏิญญาอิสลามว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย 25 มาตราสรุปได้ดังนี้

 ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณาปรานี

 “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล เพื่อจะได้ทำความรู้จักกันและกัน แท้จริง ผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า”(อัลกุรอาน 49 : 13)


มาตราที่ 1

1.1  มนุษยชาติ คือ ครอบครัวเดียวกัน ทุกคนมีหน้าที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ เป็นลูกหลานของอาดัม และมนุษย์มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน  มีภาระหน้าที่ตามบทบัญญัติเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกเนื่องจากความแตกต่างด้านเลือดเนื้อ สีผิว ภาษา เชื้อชาติ ความเชื่อ ความคิดเห็นทางการเมือง ฐานะทางสังคม หรืออื่นๆ การศรัทธาที่ถูกต้องคือ หลักประกันและตัวบ่งชี้สถานภาพที่แท้จริงของมนุษย์
1.2  สิ่งถูกสร้างทั้งหมด คือ ครอบครัวที่เป็นสมาชิกของอัลลอฮ์ และผู้ที่เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮ์ คือ ผู้ที่สร้างคุณประโยชน์แก่สมาชิกของพระองค์ ไม่มีเกียรติ และศักดิ์ศรีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เว้นแต่ความยำเกรงและคุณงามความดีเท่านั้น


มาตราที่  2

2.1  ชีวิต คือ พรอันประเสริฐที่อัลลอฮ์ มอบไว้ให้กับมนุษย์ทุกคน ทั้งปัจเจกบุคคล สังคม และประชาชาติจะต้องปกป้องชีวิตจากการถูกรุกราน และทุกคนไม่มีสิทธิเหนือชีวิตผู้อื่นเว้นแต่ที่กำหนดใน  ศาสนบัญญัติ

2.2  ห้ามมิให้มีกระทำการอันใดที่เป็นเหตุแห่งการทำลายล้างชีวิตมนุษย์

2.3  การรักษาชีวิตให้ดำรงคงอยู่ เป็นสิ่งที่วายิบ (ต้องกระทำละเว้นมิได้)

2.4  ศพมนุษย์จะต้องได้รับเกียรติ และล่วงละเมิดไม่ได้ยกเว้นในกรณีที่อนุโลมโดยศาสนบัญญัติ


มาตราที่  3

      ในกรณีที่มีความขัดแย้งและมีการใช้กองกำลังและอาวุธ ไม่อนุญาตให้ฆ่าผู้หญิง คนแก่ เด็กเล็ก ผู้บาดเจ็บย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาล ต้องให้อาหารที่เพียงพอแก่เชลยศึกพร้อมทั้งน้ำดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม  ห้ามทำร้ายศพ การแลกเปลี่ยนเชลยศึกย่อมกระทำได้


มาตราที่ 4

     มนุษย์ทุกคนย่อมมีเกียรติและศักดิ์ศรี ทั้งที่ขณะยังมีชีวิตหรือสิ้นชีวิตศพแล้ว รัฐและสังคมต้องมีมาตรการรักษาศพและจัดหาสถานที่ฝังศพ


มาตราที่ 5

5.1 ครอบครัว คือ เสาหลักที่ค้ำจุนการพัฒนาสังคม  การแต่งงาน คือ มาตรการหลักในการเสริมสร้างครอบครัว ผู้ชายและผู้หญิงมีสิทธิเลือกคู่ครองได้

5.2 สังคมและรัฐต้องหามาตรการส่งเสริมการแต่งงาน พร้อมทั้งปกป้องครอบครัวจากภยันตรายทั้งปวง


มาตราที่ 6

6.1 สตรีมีฐานะที่เท่าเทียมกับบุรุษด้านศักดิ์ศรีและเกียรติยศ

6.2 บุรุษมีหน้าที่ให้การคุ้มครองและหาปัจจัยยังชีพแก่ครอบครัว


มาตราที่ 7

7.1 บิดามารดา สังคมและรัฐมีหน้าที่ให้การดูแลบุตร ตั้งแต่แรกเกิด รวมทั้งการให้การอบรม ส่งเสริมด้านกายภาพ การให้การศึกษาและการให้การอบรมทางจิตใจ  

7.2 บิดามารดา เป็นผู้ที่มีสิทธิในการเลือกวิธีในการอบรมลูก รวมทั้งต้องคำนึงถึงอนาคตของลูกภายใต้กรอบของจริยธรรมอันดีงาม

7.3 บิดามารดามีสิทธิที่ลูกมอบให้ รวมทั้งสิทธิของญาติผู้ใกล้ชิดตามกรอบที่กำหนดในศาสนบัญญัติ


มาตราที่ 8

     มนุษย์มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ที่พึงได้ ตราบใดที่คงสภาพความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ตามกฏหมาย


มาตราที่ 9

9.1 การแสวงหาความรู้ ถือเป็นข้อบังคับในศาสนา และถือเป็นหน้าที่ของสังคมและรัฐในการส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนในสังคมมีความรู้

9.2 องค์กรทางการศึกษา ต้องให้ความรู้แก่สมาชิกในสังคม และให้การอบรมด้วยวิธีการที่ครอบคลุม สมดุลทั้งโลกนี้และโลกอาคิเราะฮ์


มาตราที่ 10

     ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา และไม่มีการฉกฉวยโอกาสเพื่อเปลี่ยนแปลงศาสนาดั้งเดิมของแต่ละคน อันเนื่องมาจากความยากจน ความอ่อนแอหรือความไม่รู้ของเขา


มาตราที่ 11

11.1 มนุษย์เกิดมาในสภาพที่เป็นอิสระ ทุกคนไม่มีสิทธิ์บังคับด้วยการให้เป็นทาส ไม่มีสิทธิเหยียดหยามผู้อื่น และไม่มีระบบการเป็นทาสนอกเหนือจากการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ เท่านั้น

11.2 การยึดครองและการล่าอาณานิคมเป็นสิ่งต้องห้าม สังคมใดถูกยึดครองมีสิทธิที่จะประกาศตนเป็นอิสระพร้อมกำหนดทางเลือกสำหรับตนเอง ประชาคมโลกต้องปกป้องประเทศที่ถูกรุกราน และประชาคมโลกย่อมมีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองและจัดการทรัพยากรของตนเอง


มาตราที่ 12

      มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการอพยพและเลือกที่อยู่อาศัยทั้งในและต่างประเทศ และในกรณีที่มีความจำเป็น บุคคลย่อมมีสิทธิลี้ภัยยังประเทศอื่น ตราบใดที่อยู่ในกฏระเบียบที่ถูกต้อง


มาตราที่ 13

     การทำงานในสาขาอาชีพ เป็นสิทธิ์ที่รัฐและสังคมต้องให้การคุ้มครอง ประชาชนมีสิทธิ์ในการ ประกอบอาชีพ และผู้ประกอบอาชีพมีสิทธิได้รับความปลอดภัยและการคุ้มครองตามระเบียบการประกันสังคม


มาตราที่ 14

     มนุษย์ทุกคนมีสิทธิประกอบอาชีพที่สุจริต โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม


มาตราที่ 15

     มนุษย์มีสิทธิถือครองในทรัพย์สินด้วยวิธีการที่ถูกต้อง และมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตนเองถือครองอยู่


มาตราที่ 16

     ห้ามมีการยับยั้งการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน เว้นแต่ด้วยการอนุโลมตามหลักศาสนบัญญัติเท่านั้น


มาตราที่ 17

17.1 มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลภาวะและสิ่งรบกวน

17.2 สังคมและรัฐต้องให้การคุ้มครองสุขภาพของมนุษย์และต้องจัดการอำนวยความสะดวกที่เป็นปัจจัยความต้องการพื้นฐานของสังคม

17.3 มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ มีเกียรติ มีความพอเพียงสำหรับตนเองและผู้ที่อยู่ภายใต้อุปการะ ซึ่งครอบคลุมด้านโภชนาการ เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย การศึกษา ยารักษาโรค และปัจจัยความต้องการพื้นฐานอื่นๆ


มาตราที่ 18

18.1 มนุษย์มีสิทธิใช้ชีวิตอย่างปกติสุขทั้งต่อตนเอง ศาสนา ครอบครัว เกียรติยศและทรัพย์สมบัติ

18.2 มนุษย์มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตส่วนตัวทั้งในบ้านตนเอง ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ การติดต่อสื่อสาร ไม่อนุญาตให้ติดตามบุคคลใดเพื่อสืบความลับส่วนตัวหรือยุ่งเกี่ยวชีวิตส่วนตัวของบุคคลอื่น

18.3 ที่อยู่อาศัยย่อมได้รับความคุ้มครอง ไม่มีใครสามารถเข้าบ้านผู้อื่นเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้าน ไม่อนุญาตให้ทำลายบ้านเรือนหรือขับไล่ผู้คนออกจากบ้านของตัวเอง


มาตราที่ 19

19.1 มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกันภายใต้หลักศาสนบัญญัติ ไม่ว่าในระดับผู้ปกครองหรือสามัญชน

19.2 ทุกคนย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้กฏหมาย

19.3 ภาระหน้าที่ถือเป็นส่วนบุคคล ถ่ายโอนหรือโยกย้ายไม่ได้

19.4 ไม่มีการลงโทษ หรือปรับยกเว้นตามข้อบังคับที่กำหนดไว้ในศาสนบัญญัติ

19.5  ผู้ถูกกล่าวหา ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะได้รับการตัดสินในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด


มาตราที่ 20

     ไม่อนุญาตจับกุม กักขัง หน่วงเหนี่ยว หรือเนรเทศผู้ใด เว้นแต่ในกรณีที่อนุโลมโดยศาสนบัญญัติ ไม่อนุญาตกระทำการใดๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดทรมานด้านร่างกายและจิตใจไม่ว่าด้วยวิธีการใด ไม่อนุญาตให้มนุษย์เป็นสิ่งทดลองทางการแพทย์ และทางชีววิทยา


มาตราที่ 21

     การจับบุคคลเพื่อเป็นตัวประกันหรือเรียกค่าไถ่เป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ว่าในรูปแบบใดหรือมีวัตถุประสงค์อันใดก็ตาม


มาตราที่ 22

22.1  บุคคลย่อมมีสิทธิ์แสดงความคิดของตนเอง ตราบใดที่ไม่กระทบกับบทบัญญัติทางศาสนา

22.2  บุคคลย่อมมีสิทธิ์ในการเผยแพร่ความดีงาม และยับยั้งความชั่วร้าย ตราบใดที่อยู่ในกรอบแห่ง ศาสนบัญญัติ

22.3  การเผยแพร่ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่ต้องไม่กระทบกับศักดิ์ศรี และไม่ล่วงละเมิดสิ่งที่นับถือตามความเชื่อในสังคม โดยเฉพาะสิ่งที่กระทบกับเกียรติของบรรดาศาสนทูตและพฤติกรรมไร้ศีลธรรมทั้งปวง

22.4  ไม่อนุญาตให้เกิดการยุยงและการสร้างความแตกแยกในสังคม


มาตราที่ 23

23.1  การบริหารการจัดการและการพัฒนาสังคม ถือเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากอัลลอฮ์ ไม่อนุญาตให้มีการผูกขาดอำนาจหรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด

23.2  มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการประเทศทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม และบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับตำแหน่งตามบทบัญญัติที่ถูกต้อง


มาตราที่ 24

     สิทธิและเสรีภาพที่ปรากฏในปฏิญญานี้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขและกฏกติกาของศาสนบัญญัติ


มาตราที่ 25

     ศาสนบัญญัติที่กำหนดโดยอิสลาม คือ แหล่งอ้างอิงเดียวที่สามารถนำมาอธิบายได้และให้คำชี้ชัดในทุกมาตราที่ปรากฏในคำปฏิญญานี้


 สรุป

           การศึกษาวิจัย  การสัมมนา การส่งเสริมและการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน จะไร้ซึ่งความหมาย และเป็นเพียงหยดน้ำหมึกบนเศษกระดาษ และคำพูดที่ไร้ค่า หากไม่ได้รับการขานรับในภาคปฏิบัติของประชาคมโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศมหาอำนาจ  โดยหลักการแล้วประเทศต่างๆในโลกปัจจุบันล้วนแล้วแต่ยอมรับคำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่ในความจริงมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้กลายเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดที่รุนแรงและโหดร้าย   บ่อยครั้งที่มีการล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และหากศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งอดีตและปัจจุบัน สรุปได้ว่ากลุ่มที่มีศักยภาพในการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รุนแรงและมีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ อำนาจรัฐและกลไกของรัฐนั่นเอง

          ด้วยเหตุดังกล่าว  สิทธิมนุษยชนในอิสลามจึงไม่ใช่เป็นเพียงหัวข้อสัมมนาในเวทีโลกหรือเสียงเรียกร้องและอนุสัญญาระดับนานาชาติเท่านั้น หากเป็นบทบัญญัติทางศาสนาที่มีเป้าประสงค์ให้การคุ้มครองมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  คลอดออกมาใช้ชีวิตบนโลกนี้ในทุกช่วงอายุ จนกระทั่งชีวิตหลังจากความตาย ทุกขั้นตอนของชีวิตมนุษย์ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามครรลองของศาสนาที่ได้วางกรอบและแนวทางอันเที่ยงตรง เพื่อมนุษย์จะได้ใช้ขีดความสามารถของตนเองสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมพัฒนาศักยภาพสู่เป้าประสงค์สูงสุดของชีวิตที่มีความสุขอย่างถาวรและยั่งยืน


เรียบเรียงโดย อ.มัสลัน  มาหะมะ