เสบียงนักดาอีย์ผู้เชิญชวนสู่อัลลอฮฺ
เชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน
เสบียงที่สอง : ความอดทน
นักดาอีย์ต้องเป็นผู้ที่มีความขันติอดทน
- อดทนในการดำเนินงานดะอฺวะฮฺ
- อดทนต่ออุปสรรคของการดะอฺวะฮฺ
- และอดทนต่อความเดือดร้อนที่นักดาอีย์อาจต้องประสบ
อดทนในการดำเนินงานดะอฺวะฮฺ
นั่นคือนักดาอีย์ต้องเป็นผู้ที่มีความอุตสาหะ ไม่ละทิ้ง และไม่เบื่อหน่าย แต่ให้ยืนหยัดในงานดะอฺวะฮฺจนสุดความสามารถ ยืนหยัดในข่ายกรณีที่การดะอฺวะฮฺมีประโยชน์กว่า ดีกว่า และมีผลยิ่งกว่า เขาจงอดทนและอย่าเบื่อหน่าย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความเบื่อได้ย่างเข้ามาในชีวิตนักดาอีย์ ความเหนื่อยหน่ายและการละทิ้งก็จะตามมาในที่สุด แต่ถ้าเขามีความอุตสาหะและอดทนในการดะอฺวะฮฺ แท้จริง เขาจะได้รับผลบุญเป็นผลบุญในระดับของเหล่า อัศ-ศอบิรีน (บรรดาผู้ที่อดทน) และสุดท้ายเขาจะประสบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน
อัลลอฮฺได้ตรัสแก่นบี ว่า:
"เหล่านั้นคือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวอันเร้นลับที่เราได้ประทานวิวรณ์มายังเจ้า(มุหัมมัด) เจ้าไม่รู้เรื่องนี้และกลุ่มชนของเจ้าก็ไม่รู้มาก่อนเลย
ดังนั้น เจ้าจงอดทน แท้จริงบั้นปลายที่ดีนั้นจะบังเกิดขึ้นสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง"
(ฮูด, 11 : 49)
อดทนต่ออุปสรรคของการดะอฺวะฮฺ
นักดาอีย์ต้องเป็นผู้ที่มีความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ นานาของการดะอฺวะฮฺ จากการถูกต่อต้านและตอบโต้ เพราะทุกคนที่ย่างก้าวสู่สนามดะอฺวะฮฺย่อมหนีไม่พ้นการถูกต่อต้านและขัดขว้างอย่างแน่นอน ดั่งที่อัลลอฮฺตรัสว่า:
"และเช่นนั้นแหละ เราได้ทำให้มีศัตรูผู้กระทำผิดแก่นบีทุกคนและพอเพียงแล้วที่พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้แนะทางฮิดายะฮฺ และทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ"
(อัล-ฟุรฺกอน, 25 : 31)
สัจธรรมของการดะอฺวะฮฺคือ ย่อมมีผู้ต่อต้าน คัดค้าน ตอบโต้ และใส่ไคล้เคลือบแคลง แต่ทั้งนี้นักดาอีย์จำเป็นต้องอดทนและฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้นให้ได้ ถึงแม้จะถูกครหาว่าการดะอฺวะฮฺของเขานั้นผิดหรือจอมปลอม ตราบใดที่การดะอฺวะฮฺของเขานั้นตั้งอยู่บนหลักการของอัลกุรอานและสุนนะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ เขาก็จงอดทนต่ออุปสรรคเหล่านั้นเถิด
แต่ก็มิได้หมายความว่า ให้เขายืนกรานในสิ่งที่เขาพูดและเผยแพร่(ในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกแต่มันกลับผิดในข้อเท็จจริง)ทั้งๆ ที่สัจธรรมได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว ผู้ที่ยืนกรานหรือดื้อดึงอยู่กับสิ่งที่เขาเผยแพร่ทั้งๆ ที่ความถูกต้องนั้นค้านกับสิ่งที่เขานำเสนอ ก็ย่อมเสมือนกับบุคคลที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
"พวกเขาโต้เถียงกับเจ้าในความจริงหลังจากที่มันได้ประจักษ์ขึ้นแล้ว"
(อัล-อันฟาล, 8 : 6)
การต่อต้านสัจธรรมหลังจากที่มันได้ประจักษ์ขึ้นคือคุณลักษณะที่ถูกตำหนิ อัลลอฮฺได้ตรัสถึงผู้ที่มีคุณลักษณะนี้ว่า:
"และผู้ใดที่ฝ่าฝืนเราะสูลุลลอฮฺหลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามในสิ่งที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธานั้น
เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย"
(อัน-นิสาอ์, 4 : 116)
โอ้นักดาอีย์ !
หากสิ่งที่มาค้านกับการเผยแพร่ของท่านคือสัจธรรม ท่านก็จงน้อมรับมันแต่โดยดี(อย่าถือทิฐิและผลักไสสัจธรรมนั้น) แต่ถ้าหากมันเป็นสิ่งจอมปลอมท่านก็จงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจที่จะเดินไปข้างหน้าในการทำงานดะอฺวะฮฺของท่าน
อดทนต่อความเดือดร้อนที่นักดาอีย์อาจต้องประสบ
และเช่นเดียวกัน นักดาอีย์ต้องอดทนต่อความเดือดร้อน เพราะนักดาอีย์ย่อมต้องเผชิญกับมันไม่ว่าจะโดยทางวาจาหรือการกระทำ แม้แต่บรรดาศาสนทูตของอัลลอฮฺก็ยังถูกรังควานทั้งด้วยวาจาและการกระทำ
อัลลอฮฺตรัสว่า:
"เช่นนั้นแหละ ไม่มีเราะสูลคนใดมายังบรรดา(หมู่ชน)ก่อนหน้าพวกเขา เว้นแต่พวกเขากล่าวหาว่าเราะสูลนั้นเป็นนักเล่นกลหรือคนบ้า"
(อัซ-ซาริยาต, 51 : 52)
ท่านมีความคิดเห็นเช่นไรต่อผู้ทีได้รับวะฮียฺจากพระผู้อภิบาล แต่เขากลับถูกตราหน้าว่า เป็นนักไสยศาสตร์หรือคนวิกลจริต ? มิต้องสงสัยเลยว่าเขาย่อมรู้สึกเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นบรรดาศาสนทูตก็อดทนต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับความเดือนร้อนจากคำพูดครหาและการกระทำสร้างความเดือดร้อนเหล่านั้น
ท่านจงครุ่นคิดถึงเราะสูลคนแรก นั่นคือนบีนูหฺ อะลัยฮิสสลาม ดูสิว่า กลุ่มชนของเขาได้เดินผ่านมาในขณะที่เขากำลังสร้างเรืออยู่ พวกเขาได้เย้ยหยันและดูแคลนท่านนบีนูหฺ แล้วท่านก็ตอบไปว่า
"หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่าน เช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย
แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษอันยั่งยืนจะประสบแก่เขา"
(ฮูด, 11 : 38 – 39)
ไม่เพียงแค่การเย้ยหยันเท่านั้น แต่พวกเขายังขู่จะหมายชีวิตนบีนูหฺ อะลัยฮิสสลาม อีกด้วย
"พวกเขากล่าวว่า โอ้ นูหฺ หากท่านไม่หยุดยั้ง (จากการดะอฺวะฮฺ) แน่นอนท่านจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขว้างด้วยก้อนหิน"
(อัช-ชุอะรออ์, 26 : 116)
นั่นคือ ท่านจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกฆ่าโดยการถูกปาด้วยก้อนหิน ดังกล่าวนี้คือการขู่ฆ่าพร้อมกับสำทับว่าพวกเขาจะขว้างปาคนอื่นๆ อีกด้วยเพื่อสำแดงถึงอำนาจ และท่านก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกปาด้วย แต่ทั้งนี้ก็มิได้ทำให้ท่านนบีนูหฺหวาดผวาและหยุดนิ่งจากการดะอฺวะฮฺ ทว่าท่านยังคงเดินหน้าและเผยแผ่ศาสนาจนสุดท้ายอัลลอฮฺได้เปิดทางนำแก่กลุ่มชนของนบีนูหฺ
ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ก็เช่นเดียวกัน กลุ่มชนของท่านได้ปฏิเสธอีกทั้งยังประจานท่านต่อหน้ามหาชน
"พวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงนำเขามาท่ามกลางสายตาของประชาชน หวังว่าเขาทั้งหลายจะได้เป็นพยาน"
(อัล-อัมบิยาอ์, 21 : 61)
หลังจากนั้นพวกเขาได้ขู่หมายเอาชีวิตด้วยวิธีการเผา
"พวกเขากล่าวว่า จงเผาเขาเสีย และจงช่วยเหลือพระเจ้า(รูปเคารพ)ทั้งหลายของพวกท่าน หากพวกท่านจะกระทำเช่นนั้น"
(อัล-อันบิยาอ์, 21 : 63)
แล้วพวกเขาก็ได้ก่อไฟอันมหึมา และได้โยนนบีอิบรอฮีมด้วยหนังสติ๊กใหญ่ เพราะพวกเขามิอาจอยู่ใกล้กองไฟได้เนื่องจากความร้อน แต่ทว่าพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรได้ตรัสว่า:
"เรา (อัลลอฮฺ) กล่าวว่า ไฟเอ๋ย จงเย็นลงและให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด"
(อัล-อัมบิยาอ์, 21 : 69)
แล้วไฟก็ได้เย็นลงและมีความปลอดภัย และท่านนบีอิบรอฮีมก็รอดพ้นจากเปลวไฟอันลุกโชนนั้น สุดท้ายชัยชนะก็ประสบแก่ท่าน
"และพวกเขาปรารถนาที่จะวางแผนร้ายแก่เขา (คือต้องการจะเผานบีอิบรอฮีม) แต่เราได้ทำให้พวกเขาประสบกับความสูญเสียมากยิ่งกว่า"
(อัล-อัมบิยาอ์, 21 : 70)
ท่านนบีมูซาก็เช่นเดียวกัน ฟิรฺเอานฺได้ขู่หมายจะเอาชีวิตท่าน:
"(ฟิรฺเอานฺกล่าวว่า) จงปล่อยฉัน ฉันจะฆ่ามูซา และให้เขาวิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขา
แท้จริงฉันเกรงว่า เขาจะมาเปลี่ยนศาสนาของพวกท่านหรือจะก่อความหายนะให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน"
(ฆอฟิรฺ, 40 : 26)
แต่สุดท้ายชัยชนะก็ประสบแด่นบีมูซา อะลัยฮิสสลาม
"และการลงโทษที่เลวร้ายก็จะห้อมล้อมบริวารของฟิรฺเอานฺ"
(ฆอฟิรฺ, 40 : 45)
ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ก็เช่นเดียวกัน ท่านต้องเผชิญกับการข่มเหงรังแกจากชาวยิว อีกทั้งยังถูกกล่าวหาท่านว่าเป็นลูกนอกสมรส และพวกเขาก็ได้ฆ่าและตรึงกางเขนท่าน(ตามความเชื่อของพวกเขา) แต่อัลลอฮฺ ตรัสว่า:
"และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซาและหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขา(ผู้ตรึงกางเขนนั้น)ถูกจำแลงให้ดูเหมือน(อีซา)แก่พวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขานั้น แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับเขา พวกเขาหามีความรู้ใดๆ ต่อตัวเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่าเขาด้วยความแน่ใจ หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขา(อีซา)ขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ"
(อัน-นิสาอ์, 4 : 157 - 158)
แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือให้นบีอีซารอดพ้นจากพวกเขาและนี่ ศาสนทูตท่านสุดท้าย ผู้นำของบรรดาศาสนทูตและเป็นผู้นำของลูกหลานอาดัมนบีมุหัมมัด อัลลอฮฺได้ตรัสเกี่ยวกับท่านว่า:
"และจงรำลึกขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาวางอุบายต่อเจ้า เพื่อกักขังเจ้า หรือฆ่าเจ้า หรือขับไล่เจ้าออกไป
และพวกเขาวางอุบายกันและอัลลอฮฺก็ทรงวางอุบาย และอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้เยี่ยมกว่าในหมู่ผู้วางอุบาย"
(อัล-อันฟาล, 8 : 30)
"และพวกเขากล่าวว่า โอ้ผู้ซึ่งข้อตักเตือนถูกประทานแก่เขา แท้จริง ท่านเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน"
(อัล-หิจญ์รฺ, 15: 6)
"และพวกเขาจะกล่าวว่า จะให้เราทอดทิ้งพระเจ้าต่างๆ ของพวกเราเพื่อนักกวีบ้าคนหนึ่งกระนั้นหรือ?"
(อัศ-ศ็อฟฟาต, 37 : 36)
ท่านได้รับการข่มเหงจากพวกเขาไม่ว่าจะโดยการกระทำหรือคำพูดดั่งที่รู้กันในหมู่นักประวัติศาสตร์อิสลาม แต่ถึงกระนั้นท่านก็อดทน ดังนั้น นักดาอีย์ทุกคนจึงต้องประสบกับอุปสรรคอย่างเลี่ยงไม่พ้น แต่เขาก็ต้องอดทนฉะนั้นครั้นเมื่ออัลลอฮฺ ได้ตรัสแก่เราะสูลของพระองค์ว่า
"แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้าเป็นขั้นตอน"
(อัล-อินสาน, 36 : 23)
สิ่งที่ถูกคาดหวังไว้ก็คือ พระองค์จะกล่าวหลังจากอายะฮฺนั้นว่า และจงขอบคุณต่อนิอฺมัติของอัลลอฮฺที่ได้ประทานอัลกุรอาน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระองค์กลับตรัสว่า
"ดังนั้น เจ้าจงอดทนต่อข้อตัดสินของพระเจ้าของเจ้า"
(อัน-อินสาน, 36 : 24)
นี่ก็เป็นการบ่งบอกว่าทุกคนที่ยืนหยัดในสิ่งที่อัลกุรอานได้กล่าว จำเป็นที่จะต้องประสบกับสิ่งที่จะต้องมีความอดทนอย่างมหาศาล ดังนั้น จำเป็นสำหรับนักดาอีย์ที่จะต้องเป็นผู้มีความขันติอดทนอย่างสูงและยืนหยัดในงานดะอฺวะฮฺจนอัลลอฮฺจะเปิดประตูความสำเร็จให้แก่เขา ไม่จำเป็นว่าความสำเร็จนั้นจะต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ประการสำคัญก็คือสิ่งที่เขาได้เผยแพร่นั้นยังคงอยู่และถูกนำมาปฎิบัติตลอดไป ตัวบุคคลมิได้เป็นสิ่งสำคัญ ที่สำคัญคืองานดะอฺวะฮฺ
ถ้าหากงานดะอฺวะฮฺของเขายังคงเหลือให้เห็นอยู่ แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วก็ตาม แท้จริงแล้ว เขาก็เสมือนยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
"หรือว่าผู้ที่ตาย แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น และเราได้ให้แสงสว่างแก่เขาซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินทางไปในหมู่มนุษย์
จะเหมือนกับผู้ที่เสมือนอยู่ในบรรดาความมืดโดยไม่เคยออกจากมันเลยกระนั้นหรือ"
(อัล-อันอาม, 6 : 122)
ที่จริงแล้ว ชีวิตของนักดาอีย์ ไม่ใช่แค่เฉพาะให้วิญญาณยังคงอยู่ในร่างกายของเขาเท่านั้น แต่คือการให้ผลงานการดะอฺวะฮของเขายังคงมีชีวิตอยู่ในหมู่ผู้คน
จงดูเรื่องราวของอบูสุฟยาน กับ ฮิร็อกฺล์ (Heraclius กษัตริย์ของโรม) เมื่อเขาทราบข่าวการบังเกิดขึ้นของท่านนบีมุหัมมัด เขาก็ได้เรียกท่านอบู สุฟยาน และได้ถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับท่านถามถึงรูปร่างของท่าน เชื้อสายวงศ์ตระกูลของท่าน สิ่งที่ท่านได้เผยแพร่ และถามถึงสาวกของท่าน และเมื่ออบู สุฟยานได้ตอบคำถามของฮิร็อกฺล์ทั้งหมดตามความเป็นจริง เขาก็ได้บอกกับอบู สุฟยานว่า
"หากสิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นความจริงแล้วไซร้ สักวันเขาจะครอบครองสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าทั้งสองนี้"
สุบหานัลลอฮฺ !
ใครจะคาดคิดว่ากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับนบีมุหัมมัด ทั้งๆ ที่ขณะนั้นท่านยังไม่ได้ปลดแอกคาบสมุทรอาหรับจากการเป็นทาสของชัยฏอนและอารมณ์ใฝ่ต่ำเลย ใครเลยจะคาดคิดว่าชายผู้คนนี้จะเอ่ยคำพูดเช่นนั้นได้ ? และด้วยเหตุนี้ เมื่อท่านอบู สุฟยานได้เดินทางออกไป ท่านได้กล่าวแก่กลุ่มชนของท่านว่า
"เรื่องของอิบนุ อบี กับชะฮฺ (หมายถึงท่านนบีมุหัมมัด) นั้นใหญ่หลวงนั้น แท้จริงกษัตริย์กรุงโรมนั้นเกรงกลัวเขา"
ท่านนบี ได้ครอบครองอำนาจของเฮราคลีอุส (ฮิร็อกฺล์) ก็เนื่องด้วยการดะอฺวะฮฺของท่านหาใช่เพราะตัวของท่านเอง เพราะการดะอฺวะฮฺของท่านได้ขจรไปทั่วพื้นแผ่นดินนี้ และได้ทำลายบรรดาเจว็ด การตั้งภาคี และผู้ที่นิยมชมชอบมัน บรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงปราชญ์ได้ปกครองผืนแผ่นดินหลังจากท่านนบีมุหัมมัด ก็ด้วยเพราะการดะอฺวะฮฺและชะรีอะฮฺ (กฎหมาย) ของท่านนบี ฉะนั้น นักดาอีย์ต้องอดทนอดกลั้น และสุดท้ายชัยชนะก็จะประสบแก่เขาในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ หรืออาจจะหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้วหากเขามีความเชื่อมั่นและบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ
"มูซาได้กล่าวแก่พวกพ้องของเขาว่า จงขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺเถิด และจงอดทนด้วย แท้จริง แผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ
ซึ่งพระองค์จะทรงให้มันสืบทอดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์และบั้นปลายนั้นย่อมเป็นของผู้ยำเกรงทั้งหลาย"
(อัล-อะอฺรอฟ, 7 : 128)
อัลลอฮฺ ตรัสว่า :
"แท้จริง ผู้ใดที่ยำเกรงและอดทน แน่นอน อัลลอฮฺจะมิทรงให้รางวัลของบรรดาผู้ทำความดีนั้นสูญหายไป"
(ยูสุฟ, 12 : 90)
แปลโดย : ฟัยซอล อับดุลฮาดี / islamhouse.com