ประเภทที่สอง
การหลั่งน้ำอสุจิด้วยเจตนา เช่นด้วยการจูบ จับสัมผัส การสำเร็จความใคร่
เพราะว่ามันเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ใคร่ ซึ่งการถือศีลอดจะใช้ไม่ได้นอกจากต้องงดจากสิ่งนี้ ดังที่มีปรากฏในหะดีษกุดสีย์ว่า
"เขาได้ละทิ้งอาหาร เครื่องดื่ม และอารมณ์ใคร่ของเขา เพราะข้า"
บันทึกโดยอัลบุคอรีย์
การจูบและสัมผัสโดยไม่หลั่งนั้นไม่ทำการถือศีลอดเสีย เนื่องจากมีหะดีษในตำราหะดีษเศาะฮีหฺทั้งสองจากอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ว่า
"ท่านนบี ได้จูบในขณะที่ถือศีลอด และได้คลุกคลีกับภรรยาในขณะที่ถือศีลอด แต่ท่านเป็นผู้ที่สามารถระงับอารมณ์ของท่านได้ดีที่สุด"
ในเศาะฮีหฺมุสลิมมีรายงานว่า
อุมัร บิน สะละมะฮฺ ได้ถามท่านนบี ว่า ผู้ถือศีลอดจูบได้ไหม ?
ท่านนบี กล่าวว่า "จงถามนางผู้นี้ – ท่านหมายถึง อุมมุ สะละมะฮฺ – "
นางก็ได้บอกกับเขาว่า ท่านนบี ได้เคยทำเช่นนั้น
แล้วท่านนบี ก็กล่าวว่า "ทว่าพึงทราบเถิด ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ แท้จริงฉันเป็นผู้ที่ยำเกรงและหวาดหวั่นต่ออัลลอฮฺมากที่สุดในหมู่พวกเจ้า"
แต่ว่า ถ้าหากผู้ถือศีลอดกลัวว่าตัวเขาจะหลั่งอสุจิด้วยการจูบของเขาหรือด้วยเหตุอื่นๆ หรืออาจจะนำพาไปถึงขั้นการมีเพศสัมพันธ์ในที่สุดเนื่องจากไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ ดังนั้นการจูบและการเล้าโลมนั้นก็หะรอมสำหรับเขาเพื่อเป็นการป้องกันสิ่งไม่พึงประสงค์ และป้องกันไม่ให้การถือศีลอดเสีย ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ท่านนบี จึงได้สั่งให้ผู้ที่อาบน้ำละหมาดสูดน้ำเข้าจมูกให้ลึก เว้นแต่ขณะนั้นเขาเป็นผู้ที่ถือศีลอดอยู่ ก็ไม่ต้องสูดน้ำเข้าจมูกให้ลึก เพราะกลัวว่าน้ำจะเข้าไปยังโพรงด้านใน
ส่วนการหลั่งอสุจิเนื่องด้วยการฝันหรือคิดเฉยๆ โดยไม่ได้ลงมือกระทำใดๆ นั้น ไม่ทำให้การถือศีลอดเสียไป เพราะการฝันไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ถือศีลอด ส่วนการคิดจินตนาการนั้นถูกอนุโลม ดังคำพูดของท่านนบี ที่ว่า
"แท้จริง อัลลอฮฺ ทรงอนุโลมแก่ประชาชาติของฉัน ในสิ่งที่ใจพวกเขาครุ่นคิด ตราบใดที่ไม่ลงมือทำหรือพูดออกมา"
เป็นหะดีษมุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม