ท่านอัมรฺ อิบนิล ญะมัวะฮฺ 2
  จำนวนคนเข้าชม  2275


ท่านอัมรฺ อิบนิล ญะมัวะฮฺ 2          

           ในยามดึกสงัดของคืนหนึ่ง บุตรของอัมรุบนุลญะมัวะฮฺกับพี่น้องที่ชื่อ มุอ๊าช อิบนิ ญะบัล จึงย่องเข้าไป หารูปปั้นมะนาตแล้วก็แบกออกไปจากที่นั้น นำไปทิ้งในบ่อทิ้งขยะของบนีซะละมะห์ เสร็จแล้วก็กลับเข้าบ้านโดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันใหม่ อัมรุบนุลณะมัวะฮฺ เดินเข้าไปหามะนาตอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อจะเคารพบูชา แต่เขาไม่พบมันเสียแล้ว จึงออกมาสบถกับลูกว่า :

          พวกเองนี่เลว.....แท้ๆ เมื่อคืนนี้ใครกันนะที่บังอาจทำกับพระเจ้าเราได้?

         ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครปริปาก จึงทำให้อัมรุบนุลญะมัวะฮฺต้องค้นหาทั้งในบ้านและนอกบ้าน เขาอารมณ์เสีย โกรธจัด ถึงกับคาดโทษเอากับลูกๆ ต่างๆ นาๆ จนกระทั่งพบรูปปั้นหัวทิ่มอยู่ในบ่อทิ้งขยะ จึงนำมาชำระล้างทำความสะอาดลูบไล้ด้วยน้ำหอมราคาแพง เสร็จแล้วจึงนำกลับมาไว้ ณ ที่เดิม

เขากล่าวว่า :

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ หากรู้ว่าใครคือผู้ทำการกับเจ้าอย่างนี้ข้าจะตอบแทนทำโทษให้สาสมทีเดียว

         ในคืนต่อมา ชายหนุ่มที่เป็นบุตรเหล่านั้นก็ย่องเงียบเข้าไปเอารูปปั้นทิ้งบ่อเน่าเหม็นนั้นอีก และพอ รุ่งเช้าชายชราผู้เป็นพ่อก็ออกค้นหาจนพบรูปปั้นอยู่ในบ่อเปรอะเปื้อนขยะเน่าเหม็นสกปรก เขาก็นำ มาล้างทำความสะอาด ชะโลมด้วยน้ำหอมและนำกลับไปไว้ที่เดิมอีก ชายหนุ่มเหล่านั้นยังคงทำอยู่เช่นนั้นทุกวัน โดยผู้เป็นพ่อไม่สามารถจับได้ว่าใครคือตัวการ

วันหนึ่งพ่อ ของพวกเขา นำดาบมาแขวนไว้กับคอรูปปั้นและกล่าวว่า :

         โอ้มะนาต ข้าขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าไม่รู้จริงๆว่าใครมันบังอาจทำกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้ หากเจ้ามีความดีอยู่บ้างมีฤทธิ์เดชก็จงปกป้องความชั่วให้พ้นตัวเจ้าเองด้วยเถอะนะ และนั่น ดาบอยู่ที่คอเจ้าแล้ว

          พูดจบเขาก็เข้านอน เมื่อชายหนุ่มผู้เป็นลูกแน่ใจว่า พ่อนอนหลับสนิทแล้วจึงย่องไปที่รูปปั้นนั้นอีก ถอดดาบที่แขวนอยู่ออกจากคอ แล้วนำออกมานอกบ้าน ใช้เชือกมัดรูปปั้นนั้นติดกับสุนัขตาย เสร็จเรียบร้อยก็โยนทั้งคู่ลงไป ในบ่อเน่าเหม็นของบนีซะละมะห์ จมปลักอยู่กับสิ่งโสโครกรวมอยู่ในบ่อนั้น ครั้นพ่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นรูปปั้นจึงออกค้นหาอีก และพบว่ามันคว่ำหน้าอยู่ในบ่อเน่าเหม็นนั้นเอง มิหนำซ้ำคราวนี้ยังถูกผูกมัดติดกับสุนัขตายตัวหนึ่งด้วย แถมยังถูกยึดดาบไปอีก

ในครั้งนี้ เขาไม่นำ รูปปั้นนั้นขึ้นมาอีกแล้วปล่อยทิ้งไว้ในนั้นเลย เขากล่าวว่า :

         ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ถ้าหากรูปปั้นนี้เป็นพระเจ้าที่แท้จริงมันจะต้องไม่นอนคว่ำหน้าอยู่กับสุนัขตาย ท่ามกลางบ่อเน่าเหม็นเช่นนี้

          ต่อมาเขาจึงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามของอัลเลาะห์

          อัมรุบนุลญะมัวะฮฺได้ลิ้มรสหวานชื่นของการศรัทธา เขาเสียใจต่อวันเวลาที่ผ่านพ้นมาในช่วงที่เขาทำชิรกฺ จึงทำให้เขาทุ่มเททั้งร่างกาย และวิญญาณเพื่อ รับใช้ศาสนาใหม่อย่างสุดจิตสุดใจ มอบตัวเองทรัพย์สินเงินทองและบุตรให้อยู่ในการฎออะห์ เชื่อฟังปฎิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์

          จนกระทั่งเกิดสงครามอุฮุด อัมรุบนุลญะมัวะฮฺและบุตรทั้งสามคนเตรียมตัวออกศึกสงคราม เพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูของอัลเลาะห์ เขาพิจารณาดูบุตรทุกคนซึ่งมีความทะเยอทะยานกระตือรือร้น คล้ายกับสิงโตร้ายที่อยู่กลางป่า เร่าร้อนปรารถนาจะตายชะฮีดในสนามรบ ตามความพอพระทัยของอัลเลาะห์ ภาพนั้น ทำให้เขาเกิด ความปรารถนาอย่างแรงกล้า เขาจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าต้องการออกรบพร้อมกับลูกๆภายใต้ธงของ ท่านรอซูล  ให้จงได้

           แต่ลูกๆมีความเห็นตรงกันว่า พ่อไม่ควรออกศึกสงคราม เพราะอายุก็ชรามากแล้ว แถมยังมีขาข้างหนึ่ง ไม่สมประกอบอีกด้วย และ อัลลอฮฺ ทรงผ่อนผันให้ผู้มีอุปสรรค ดังนั้นแล้วพ่อจะบังคับ ตัวเองในเรื่องทีพระองค์ทรงผ่อนผันทำไม?

          คำพูดของลูกๆทำให้ชายชราผู้เป็นพ่อโกรธ จึงไปหา ท่านรอซูล ร้องเรียน เรื่องดังกล่าว

โดยกล่าวว่า :

         โอ้ท่านนบีของอัลเลาะห์ ลูกๆของฉันพยายามจะกีดกันไม่ให้ได้รับความดีด้วยการออกศึกสงคราม ในครั้งนี้ เขาบอกว่าฉันมีขาไม่สมประกอบ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันหวังเหลือเกินว่าจะได้เดินบน สวรรค์ทั้งๆที่มีขาไม่สมประกอบเช่นนี้แหละ

เมื่อท่านรอซูล ได้ฟังดังนั้น ท่านจึงกล่าวกับบุตรของเขาว่า :

          จงปล่อยเขาเถิด หวังว่าอัลเลาะห์ จะทรงให้เขาได้รับชะฮีดโดยการตายในสนามรบ

          พวกลูกๆจึงยอมปล่อยให้ท่านเข้าร่วมสงครามอุฮุดด้วยตามคำสั่งของท่านรอซูล ก่อนจะถึงเวลาออกทำสงคราม ท่านอัมรุมนุลญะมัวะฮฺได้กล่าวคำอำลาศรีภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย คล้ายกับว่าจะไม่ได้พบกันอีก เสร็จแล้วท่านจึงหันหน้าไปทาง "กิบลัต" พลางยกมือกล่าวดุอาอฺว่า :

            โอ้อัลลอฮฺ โปรดประทานชะฮีด การตายในสนามรบให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อย่าให้ข้าพระองค์ต้องกลับ มาหาครอบครัวด้วยความล้มเหลวเลย

            แล้วท่านก็ออกสงคราม ท่ามกลางลูกๆทั้งสามคน และพรรคพวกจากบะนีซะละมะห์อีกจำนวนมาก 
 
            เมื่อการรบเริ่มขึ้น เหล่าทหารหาญก็กระจายกำลังกันเพื่อป้องกันท่านรอซูล ท่านอัมรุบนุลญะมัวะฮฺนั้น อยู่แนวหน้ากระโดดด้วยขาข้างเดียว

โดยส่งเสียงก้องว่า :

           ฉันคิดถึงสวรรค์เหลือเกินๆ

          โดยมีลูกชายของท่านชื่อค๊อลลาด อยู่ข้างหลัง ทั้งพ่อและลูกต่างเข้าฟาดฟันศัตรูเพื่อปกป้องท่าน รอซูล จนกระทั่งสิ้นชีวิตในสนามรบด้วยกันทั้งคู่ กล่าวคือพ่อตายและอีกไม่กี่นาทีต่อมาลูกก็ตายตาม ไปด้วย

เมื่อสงครามสงบลง ท่านรอซูล ก็กลบหลุมศพเหล่าทหารหาญที่ตายชะฮีด

และท่านได้กล่าวกับบรรดาศอหะบะฮฺว่า :
 
          จงฝังพวกเขาไว้ทั้งเลือดและบาดแผลนั้นแหละ ฉันจะเป็นพยานให้แก่พวกเขาเอง

และท่านกล่าวว่า :

         เฉพาะมุสลิมที่ตายในสนามรบนั้น ในวันกิยามะห์ เลือดของเขาจะไหลออกมา สีเลือดนั้นเหมือนสีหญ้าฝรั่น กลิ่นเลือดนั้นเหมือนกลิ่นชมดเชียง

และท่านกล่าวอีกว่า :

         จงฝังอัมรุบนุลญะมัวะฮฺ ในหลุมเดียวกับ อับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ เพราะทั้งสองเต็มใจสละโลกนี้

      ขออัลเลาะห์ทรงพอพระทัยท่านอัมรุบนุลญะมัวะฮฺ และเหล่าทหารหาญที่ตายชะฮีดในสงครามอุฮุดและขอให้พระองค์ ทรงบันดาลให้หลุมฝังศพของพวกเขา มีแสงรัสมีสว่างเจิดจ้า ด้วยเทอญ

วัสสลาม


  Click<<<  ท่านอัมรฺ อิบนิล ญะมัวะฮฺ  1             

จาก หนังสือประวัติซอฮาบะห์ 1

เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์