คุตบะฮฺ อิดิลอัฎฮา 1430 ฮ.ศ.(4)
  จำนวนคนเข้าชม  3435

คุตบะฮฺ อิดิลอัฎฮา 1430 ฮ.ศ.(4)

 


الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد


          มนุษย์ทั้งหลายก่อนนี้ มีชีวิตอยู่อย่างมืดมน  ทุกอย่างถูกก่อขึ้นเพื่อสนองความต้องการและเติมเต็มอารมณ์ของตนเอง... คนดีไร้ซึ่งรางวัล คนชั่วถูกปล่อยลอยนวลไร้บทลงโทษ... ไร้ศีลธรรมใดๆ...ขณะที่ศาสนาก็เป็นเพียงสิ่งผิวเผินในชีวิต ไม่มีผลใดๆต่อวิญญาณ  ชีวิตและจิตใจของผู้คนเลย... ไร้ซึ่งอิทธิพลใดๆ ต่อจรรยามารยาทและการสังคมอยู่ร่วมกัน...

            แต่สำหรับอิสลาม ได้สร้างความศรัทธาเป็นเสมือนสถาบันด้านจรรยา คอยขัดเกลาจิตใจ และเติมเต็มเจตจำนงอันกล้าหาญ หัวใจที่เข้มแข็งพร้อมหมั่นตรวจสอบตนเอง... ในบางครั้งบางคราว หากพลังแห่งความเป็นเดรัจฉานเกิดพยศ และทำให้มนุษย์ต้องพลั้งพลาด  แม้นยามนั้น จะไม่มีสายตาใดพบเห็นหรือห่างไกลเกินมือกฎหมายก้าวล่วงถึงก็ตาม ความศรัทธานี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นจิตใต้สำนึกอันแรงกล้าและเฝ้าคอยทิ่มแทงจิตใจหรือฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา จนเจ้าของของมันมิอาจเป็นสุขอยู่ได้อีกต่อไป จนกว่าจะได้สารภาพผิดเบื้องหน้ากฎหมาย และพร้อมเสนอรับการลงโทษอันหนักด้วยท่าทีสงบและยินดี เพื่อหวังปลดเปลื้องจากความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์  และการลงโทษในวันอาคิเราะฮ์

          การศรัทธาที่มีต่ออัลลอฮ์ ต่อนะบีมุฮัมมัด    และวันสุดท้าย รวมทั้งการยอมนอบน้อมศิโรราบต่ออัลลอฮ์  และศาสนาของพระองค์  ทำให้ชีวิตที่เคยบูดเบี้ยว ได้เที่ยงตรงและมีค่าขึ้น... ทำให้ทุกปัจเจกชนในสังคมกลับคืนสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมของตนเองโดยไม่มีความบกพร่องหรือการล่วงละเมิด กลไกแห่งมนุษยชาติได้กลายเป็นดั่งช่อดอกไม้หลากสีที่ปราศจากหนาม  มนุษย์ทั้งหลายกลายเป็นครอบครัวเดียวกันที่ต่างถืออาดัมเป็นบิดา  และอาดัมก็ถูกสร้างมาจากดิน  คนอาหรับมิได้ประเสริฐเลอเลิศกว่าคนไม่ใช่อาหรับ และคนไม่ใช่อาหรับก็มิได้ประเสริฐเลิศเลอไปกว่าคนอาหรับ เว้นแต่ด้วยความยำเกรง (ต่อพระเจ้า) เท่านั้น 

         นะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า “พวกท่านทุกคนล้วนเป็นลูกหลานอาดัม ขณะที่อาดัมก็ถูกสร้างมาจากดิน  และขอให้แต่ละกลุ่มหยุดการเอาบรรพบุรุษของตนเองมาอวดใหญ่อวดโต หรือ(มิฉะนั้น)พวกเขาจะประสบกับความต่ำต้อย ณ อัลลอฮฺยิ่งกว่าแมลงปีกแข็ง(ชนิดหนึ่ง)เสียอีก” (รายงานโดยอะบูดาวูด/5118)

          ทุกชนชั้น ทุกเชื้อชาติในสังคมมุสลิมล้วนต่างเอื้ออาทร ช่วยเหลือและอาศัยพึ่งพากันโดยไม่มีใครคิดจะเบียดเบียนกัน  ขณะที่ผู้ชายก็อยู่ในฐานะผู้คุ้มครองดูแลผู้หญิงด้วยคุณสมบัติต่างๆที่อัลลอฮ์ ให้มาเหนือกว่าและด้วยทรัพย์สินเงินทองที่เขาต้องจ่ายไป... ผู้หญิงทั้งหลายก็เป็นกุลสตรีที่ดี เคร่งครัดศาสนา และรักษาความลับตามที่อัลลอฮ์   ทรงรักษาไว้ สำหรับนางก็เช่นเดียวกับบุรุษในเรื่องความดีที่พึงได้รับ... ทุกคนในสังคมล้วนเป็นผู้มีหน้าที่และจะถูกสอบสวนในหน้าที่ที่รับผิดชอบ... ผู้นำมีหน้าที่ความรับผิดชอบและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา... บุรุษมีหน้าที่ต่อครอบครัวและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา... สตรีมีหน้าที่ในบ้านของสามีและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของนาง... คนใช้ก็มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของนายและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาเช่นเดียวกัน.. เหตุนี้สังคมมุสลิมจึงเป็นสังคมที่มีวุฒิภาวะ มีสติ และรับผิดชอบในหน้าที่ของแต่ละคนเสมอ...


الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد


          ในสังคมที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้  นะบีมุฮัมมัด   ได้ลุกขึ้นมาคลายปมเชือกที่พันธนาการไว้  แล้วท่านก็กลายเป็นดั่งวิญญาณและร่างกาย  ทำหน้าที่เป็นดั่งหัวใจและดวงตาของสังคม... ท่านคือมนุษย์ปุถุชนที่พระเจ้าทรงประทานคุณลักษณะแห่งความงดงามและสมบูรณ์อันสูงส่ง  ... ผู้ใดได้พบเห็นท่านชัดๆ ก็จะเกรงขาม... และผู้ใดได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอย่างลึกซึ้งก็จะรักและประทับใจ...
 
          ด้วยศรัทธาอันกว้างขวาง ลึกซึ้ง และคำสั่งสอนอันชัดแจ้งของนะบีมุฮัมมัด   ... ด้วยการอบรมขัดเกลาที่ชาญฉลาด ละเอียดอ่อน และบุคลิกภาพอันเป็นอัตลักษณ์ของท่าน... ด้วยความประเสริฐของอัลกุรอาน คัมภีร์แห่งฟากฟ้าที่แฝงไปด้วยความมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายอย่างไม่มีสิ้นสุด คำสอนในลักษณะนี้เอง ที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ได้ชุบชีวิตใหม่ขึ้นมาท่ามกลางมนุษยชาติที่กำลังจะตกอยู่ในสภาพจวนเจียนจะหายนะ

          ท่านพยายามมุ่งมั่นให้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้น ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้ถึงความสมบูรณ์มั่งคั่ง  และไม่มีใครรู้ถึงสถานที่อยู่ของมันมาก่อนเลย เสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกกดทับอยู่ใต้แผ่นดิน... และแล้วด้วยอนุมัติแห่งอัลลอฮ์ ความศรัทธาและหลักความเชื่ออันถูกต้องก็งอกเงยขึ้นมา ณ สถานแห่งนั้น....พร้อมดวงวิญญาณใหม่ที่ถูกชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น   ด้วยไออุ่นของสภาพแวดล้อมและพรสวรรค์อันเปล่งประกาย    ทุกคนถูกวางตัวอย่างเหมาะสมกับสภาพที่ถูกสร้างให้มา... เป็นสถานที่ราวกับว่าไม่เคยถูกสำรวจหรือค้นพบมาก่อน... ราวกับวัตถุธาตุที่จู่ๆก็กลายเป็นรูปเป็นร่างที่เจริญเติบโตขึ้นและกลายเป็นมนุษย์ที่เคลื่อนไหว ... ราวกับซากศพที่เคยแน่นิ่ง แล้วกลายมามีชีวิตชีวาที่สามารถปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มภาคภูมิ... ราวกับคนตาบอดที่มองไม่เห็นหนทาง จู่ๆ ก็กลายมาเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์คอยช่วยชี้นำมนุษยชาติ
 
 ความว่า “ผู้ที่เคยตายสนิท ต่อมาเราทำให้เขาฟื้นชีวิตขึ้นแล้วทำให้เขามีรัศมีหนึ่งที่คอยส่องนำให้เขาเดินไปในท่ามกลางมนุษย์ จะเหมือนดั่งผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมนไร้ซึ่งทางออกได้อย่างไรเล่า ?”(อัลอันอาม , 6 : 122 )

           ท่านมีความมุ่งมั่นทุ่มเทกับชนชาติอาหรับที่กำลังประสบความเสียหาย... รวมถึงมุ่งมั่นกับมนุษย์อื่นๆด้วย... เพียงไม่นานนักโลกก็พบว่า พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยหรือเป็นผู้นำ มนุษยชาติไปเสียแล้ว...  อุมัร  บิน   ค็อฏฏอบ ผู้ซึ่งเคยเป็นเพียงชายหนุ่มที่คอยเลี้ยงต้อนอูฐให้กับบิดา  เป็นบุคคลที่บึกบึน กล้าหาญคนหนึ่งของชาวกุร็อยช์... ไม่เคยถูกคาดหวังจากสังคมสำหรับดำรงตำแหน่งอันสูงๆ... และบรรดามิตรสหายก็ไม่เคยคาดคิดด้วยว่าเขาจะมีศักยภาพสักปานใด... แต่ทันใดนั้น โลกก็ต้องตะลึงกับอัจฉริยภาพและความเป็นผู้นำของเขา  ที่แม้แต่บัลลังก์ของกษัตริย์โคสโร  ยังต้องสั่นสะเทือน

           เช่นเดียวกับคอลิด  อิบนุลวะลีด ผู้ซึ่งเป็นเพียงทหารม้าคนหนึ่งของกุร็อยช์ เป็นเด็กหนุ่มที่ช่ำชองในการรบวงจำกัด ที่จำเป็นต้องมีบุคคลระดับผู้นำของกุร็อยช์คอยช่วยเหลือให้การชี้แนะเสมอ...ชื่อเสียงเรียงนามก็มิได้เป็นที่รู้จักนักในแถบอาณาเขตสมุทรอาราเบียน... แต่เมื่อเขาหันกลับมาชูดาบของพระเจ้า ทุกอย่างเบื้องหน้าก็มิอาจต้านทานเขาไว้ได้... เป็นประหนึ่งสายฟ้าผ่าที่ฟาดลงบนอาณาจักรโรมันและยังคงเป็นความจดจำอันนิรันดร์อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์..

           ทำนองเดียวกับอะบูอุบัยดะฮฺ ผู้มีคุณลักษณะของความปรองดอง   มีสัจจะและอ่อนโยน ทำหน้าที่คุมกองทัพมุสลิม  ครั้นขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพ เขาได้สร้างเกียรติประวัติเอาไว้ด้วยการขับไล่จอมทัพเฮราคลี-อุส(Heraclius)ออกไปจากอาณาเขตและทุ่งหญ้าอันอุดมของเมืองชาม(ซีเรียปัจจุบัน) ได้สำเร็จ  พร้อมกับได้ทิ้งวจีอำลาอมตะหนึ่งไว้ คือ “ขอสันติภาพจงมีแด่ซีเรีย เป็นสันติภาพที่มิอาจพบได้อีกหลังจากนี้”

          และนี้คือ อัมร์  อิบนุล-อาศ ผู้ถูกนับเป็นปัญญาชนคนหนึ่งของกุร็อยช์  ที่ถูกส่งไปพร้อมคณะทูตยังประเทศอะบิสสิเนีย เพื่อเจรจาขอให้กษัตริย์ส่งบรรดาผู้อพยพชาวมุสลิมกลับมักกะฮฺ ซึ่งครั้งนั้นเขาทำงานล้มเหลว... แต่แล้วเขากลับกลายมาเป็นผู้พิชิตอียิปต์ และได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ .

          อีกท่านคือ ซะอ์ด  บินอะบีวักกอศ  บุคคลที่เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์อาหรับก่อนยุคอิสลามว่า เขาเคยเป็นแม่ทัพทหารหรือหัวหน้ากองทัพใดๆ... แต่เขากลายมาเป็นผู้ทำหน้าที่เปิดเมืองต่างๆ ที่การพิชิตอีรัก และอีหร่านยังต้องพึ่งพาชื่อของบุคคลผู้นี้...

          เช่นเดียวกับอะลี บินอะบีฏอลิบ, ซัลมาน อัล-ฟาริซีย์, บิลาล อัล-หะบะชีย์ , ซัยด์ บินษาบิต,  อัล-มิกดาด , อะบูอัล-ดัรดาอ์ , อัมมาร์  บินยาซิร , มุอาซ  บินญะบัล  และอุบัยย์  บินกะอับ   บรรดาบุรุษที่ถูกพัดโบกไปตามลมหายใจของอิสลาม และกลายเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความสมถะมักน้อย และผู้ทรงความรู้อันล้ำลึก...

           ทำนองเดียวกันกับ เศาะฮาบะฮฺท่านอื่นซึ่งถูกสร้างมาภายใต้อุ่นไอแห่งการอบรมของท่านศาสนทูตผู้ไม่รู้หนังสือคือมุฮัมมัด จนพวกเขากลายเป็นบรรดาศาสตราจารย์ของโลก  เป็นผู้จุดประกายความรู้ศาสตร์ต่างๆ  มีถ้อยสำนวนที่เปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญา  ถือเป็นบุคคลที่จิตใจมีคุณธรรมที่สุด  ความรู้ลึกซึ้งที่สุดและมักน้อยที่สุด  ที่เมื่อพูดคำใดออกไป ทุกสมัยก็ต้องรับฟัง  หรือให้ข้อคิดใดๆออกไป ปากกาแห่งประวัติศาสตร์ก็ต้องจดบันทึก...

          พวกเขาเปรียบเสมือนวงแหวนที่แทบมองไม่เห็นขอบที่บูดเบี้ยว หรือเสมือนน้ำฝนที่หลั่งโปรยลงมา จนแทบไม่อาจทราบว่าห่าแรกหรือห่าต่อมาของมันดีกว่ากัน  เป็นกลุ่มชนที่มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์ในด้านต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ ครอบคลุมทุกด้าน... เป็นกลุ่มชนที่ไม่พึ่งพาผู้ใด  ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลายจำเป็นต้องพึงพาพวกเขา... พวกเขาวางรากฐานแห่งความเจริญ  และสถาปนารัฐขึ้นมาโดยไม่มีพันธะสัญญาใดๆ จึงไม่จำเป็นต้องยืมผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไหน หรือขอความช่วยเหลือแนวการบริหารจัดการจากรัฐบาลใด... แต่พวกเขาสามารถสถาปนารัฐขึ้นมา แผ่ขยายอย่างกว้างขางและยิ่งใหญ่ที่สุดมายาวนานกว่า  2  ศตวรรษ... คอยเติมเต็มในทุกๆ ความบกพร่อง  คอยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนอย่างเต็มกำลังและความรับผิดชอบ...รัฐที่แผ่ขยายฐานออกไปอย่างกว้างขวางนี้ ถูกสถาปนาขึ้นมาโดยมีประชาชาติที่เพิ่งเกิดใหม่คอยให้การอุปถัมภ์ค้ำจุน ประชาชาติที่ไม่เคยหยุดนิ่งเฉยในการกระทำความดี  ซึ่งในจำนวนนั้น มีทั้งผู้นำที่ยุติธรรม  กองคลังที่ไว้ใจได้  ผู้ตัดสินที่ซื่อสัตย์  แม่ทัพนายกองที่เคร่งครัดศาสนา   ผู้ปกครองที่นอบน้อมถ่อมตน พนักงานที่มีจิตสาธารณะ และพลทหารที่ยำเกรงต่อพระเจ้า...

          ด้วยความประเสริฐของการอบรมสั่งสอนทางศาสนาที่ดำเนินอยู่ตลอด... ด้วยความประเสริฐของการเผยแผ่เชิญชวนสู่อิสลามที่ยังคงมีอยู่... เป็นวิชาหนึ่งที่ไม่เคยขาดหายไป   เป็นเสบียงอาหารที่ไม่เคยสาบสูญ  รัฐจึงยังคงถูกค้ำจุนให้ดำรงอยู่เสมอด้วยบรรดาบุรุษผู้ใฝ่อาคิเราะฮ์ ยิ่งกว่าเรื่องการเก็บส่วยภาษีจากประชาชน  พวกเขายังคงเพียบพร้อมทั้งด้านการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและด้านการเป็นอยู่... จากจุดนี้เองการพัฒนาแบบอิสลามได้ปรากฏโฉมที่แท้จริงออกมา... และชีวิตที่มีศาสนาได้แสดงอัตลักษณ์ต่างๆออกมาอย่างชัดเจนที่สุดและไม่เคยสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อนเลยในหน้าประวัติของมนุษยชาติช่วงใดๆ...

         นบีมุฮัมมัด ได้ใช้ลูกกุญแจแห่งการเป็นศาสนทูตไขกุญแจแห่งธรรมชาติของความเป็นมนุษย์  และแล้ว ขุมคลังแห่งปัญญาและพรสวรรค์ต่างๆมากมายก็ถูกเปิดเผยออกมาซึ่ง... ด้วยอำนาจของอัลลอฮ์ ท่านจึงสามารถโน้มน้าวให้โลกที่เคยพยศ ยอมหมุนเปลี่ยนไปในทิศทางใหม่  พร้อมกับเปิดศักราชแห่งความสันติสุข นั้นคือยุคของอิสลามที่ยังคงเป็นจุดขาวอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์จนทุกวันนี้...

          ภายใต้การนำของผู้นำที่มีศักยภาพและประชาชาติที่ดีเลิศ โลกจึงสามารถพักผ่อนและนอนหลับอย่างสบายไร้กังวล ปลอดภัยจากการรุกรานที่โหดร้าย ประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถใช้ศักยภาพเต็มที่ในการพัฒนาสังคมสันติสุข ภายใต้การปกครองที่มีความเสมอภาคและยุติธรรม

Next :: >>>> Click